บทที่ 380 ความเฉียบขาดชั่วนิรันดร์ของกษัตริย์ (ตอนจบ) (1)

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“นายท่าน” ฉือจวี้มองซ่งชูอี

ผ่านไปสองวันแล้ว แม้ว่าเจ้าอี่โหลวจะไม่ได้กลับไปที่เสียนหยาง เกรงว่าก็คงอยู่ไม่ไกลจากเสียนหยางเท่าไร ทว่าผู้ส่งสารถูกสกัดกั้นซึ่งแสดงให้เห็นว่าตำแหน่งของเจ้าอี่โหลวอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อารักขาลับตลอดเวลา

ซ่งชูอีจ้องมองดวงอาทิตย์ขึ้นจากระยะไกล แสงสีแดงทองสะท้อนอยู่ในดวงตา

ขบวนรถทั้งหมดกำลังรออย่างเงียบๆ ไม่มีใครรบกวนความคิดของนาง

หลังจากนั้นไม่นาน ซ่งชูอีก็ก้มศีรษะลงและเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำของไป๋เริ่น รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนางและเอื้อมมือไปลูบหัวของมัน

ฉือจวี้กล่าวว่า “ท่านไปที่ด่านหานกู่เถิด ข้าน้อยกำลังส่งสายลับไปยังเมืองเสียนหยางเพื่อสอบถามข่าว ตราบใดที่ท่านไม่ปรากฏตัว คิดว่าท่านแม่ทัพเจ้าจะไม่ตกอยู่ในอันตรายชั่วคราว”

“ตอนที่ท่านอ๋องเพิ่งขึ้นครองราชย์ แม้ไม่มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือก็สามารถยืมกำลังเพื่อสังหารซางจวินได้” ซ่งชูอีกล่าวเชื่องช้า “ซางจวินเป็นขุนนางในรัฐฉินมานานหลายปี ทว่าไม่มีอำนาจใดในราชสำนัก เขาเพียงไม่ต้องการสั่นคลอนระบบกฎหมายที่เขาใช้เวลาสร้างขึ้นทั้งชีวิต หากกฎหมายรัฐฉินถูกทำลาย ชีวิตของเขาจะไร้ความหมาย ข้าเป็นเหมือนซางจวินในข้อนี้”

บางสิ่งใช่ว่าทำไม่ได้ทว่าไม่เต็มใจที่จะทำต่างหาก

ซ่งชูอีกุมอำนาจทหารเป็นเวลาหลายปี มีโอกาสมากมายที่จะสร้างอำนาจมหาศาลให้กับตัวเองแต่นางไม่ได้ทำ แม้จะเป็นเช่นนี้ หากนางเริ่มการกบฏนางก็ยังสามารถโจมตีรัฐฉินอย่างหนักในขณะที่รักษาชีวิตของตัวเองกับเจ้าอี่โหลวได้ แต่นางใช้พลังงานทั้งหมดเพื่อเสริมสร้างรัฐฉินให้แข็งแกร่ง รวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียวมาถึงขั้นนี้ด้วยความยากลำบาก หากอ่อนแอลงจากการกบฏอีกครั้ง ราษฎรจะต้องทนทุกข์ทรมานจากสงครามมากขึ้น แม้ว่าชีวิตของนางจะได้รับการปกป้องในที่สุดทว่าอุดมการณ์และความเพียรของนางก็จะกลายเป็นเรื่องตลก

ไป๋เริ่นราวกับรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของซ่งชูอี ใช้หัวซุกไซ้นางเบาๆ

“ฉือจวี้ ข้ายกไป๋เริ่นให้เจ้าแล้ว ช่วยข้าดูแลมันให้ดีด้วย” ซ่งชูอีหมุนตัว “ข้าขอม้าตัวหนึ่ง”

“นายท่าน!” ฉือจวี้กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ท่านจะกลับไปคนเดียวรึ!?”

“มันจะดีที่สุดถ้าข้าสามารถช่วยชีวิตเขาได้ หากช่วยไม่ได้…” ซ่งชูอีไม่ได้พูดต่อ

ฉือจวี้อดไม่ได้ที่จะบ่นถึงเจ้าอี่โหลวในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาละเมิดความตั้งใจของซ่งชูอีก็คงไม่เดินมาถึงจุดนี้แน่นอน!

ซ่งชูอีสามารถเดาความคิดของเขาได้อย่างคลุมเครือจากสีหน้า แต่ก็เพียงหัวเราะและไม่พูดอะไร

ทุกสิ่งในโลกนี้มีสองด้าน ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่นอิ๋งซื่อที่ทุ่มเททั้งหมดให้กับรัฐฉิน ดังนั้นจึงสามารถรับนางในฐานะขุนนางหญิงได้ แต่ในท้ายที่สุดเขายังบังคับให้นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเนื่องจากการอุทิศตนให้กับฉิน หรือตัวอย่างเช่นเจ้าอี่โหลวที่ให้ความสำคัญกับนางมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงสามารถละทิ้งทุกสิ่งและปฏิบัติตามโดยไม่ขัดขืน แต่ก็ยังเป็นเพราะความรักครั้งนี้ทำให้นางเลือกที่จะกลับไปในเวลานี้ และทำให้นางตกเป็นผู้ถูกกระทำอย่างแท้จริง…

หลังจากเพลิดเพลินกับด้านดีแล้วก็ต้องอดทนต่อภัยพิบัติที่อาจนำมา

นางซาบซึ้งอย่างยิ่งกับการที่เจ้าอี่โหลวได้มอบความรักอันบริสุทธิ์นี้ให้ จะตัดพ้อแม้แต่น้อยได้อย่างไร?

“ท่านได้โปรดทบทวน” ฉือจวี้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเกลี้ยกล่อม “กลับไปตอนนี้ พวกท่านทั้งสองคนอาจจะไม่มีชีวิตรอด หากท่านรักษาชีวิตไว้ ดีเลวอย่างไรก็สามารถแก้แค้นให้ท่านแม่ทัพเจ้าได้”

“ฮ่าๆๆ!” ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง “ชีวิตของฉินอ๋องอยู่ในความล่อแหลมอยู่แล้ว ข้าจะไปหาทางแก้แค้นที่ไหนได้? ทำลายต้าฉินเช่นนั้นหรือ?”

นางเดินไปหาผู้อารักขาคนหนึ่ง “น้องชายท่านนี้ให้ข้ายืมม้าหน่อยเถิด!”

“นายท่าน…” ฉือจวี้ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี แม้ว่าเขาจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปของโลกมาก่อนและเขาก็ไม่เข้าใจความคิดของซ่งชูอีในขณะนี้

“หากเจ้ายังเห็นแก่ความเมตตาที่ข้าช่วยครอบครัวของเจ้าได้ตั้งตัวก็อย่าห้ามข้า” ภายใต้ความจนปัญญา ซ่งชูอีทำได้เพียงต้องทวงหาความเมตตาในอดีต

“เงินทุกแดงของสกุลฉือล้วนเป็นของนายท่าน” ต้นทุนทั้งหมดล้วนมาจากซ่งชูอี แม้แต่วิธีหาเงินก็มีซ่งชูอีเป็นผู้จัดสรร ฉือจวี้ไม่เคยคิดที่จะครอบครองความมั่งคั่งมหาศาลที่เขาได้รับ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยใฝ่หาอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่หรูหราเลย

“ช่างพิลึกนัก!” ซ่งชูอีพลิกตัวขึ้นม้า หลังจากหันหัวม้าแล้วก็หันกลับมาเอ่ยว่า “เด็กผู้ชายที่เกิดออกมาจากท้องภรรยาของเจ้าไม่ใช่ลูกของเจ้าหรอกหรือ? แม้ข้าจะหาภรรยามาให้เจ้า ทว่าเจ้าไถพื้นที่รกร้างอย่างสุดความสามารถทุกคืนวัน แม้จะไม่มีผลงานก็มีผลงาน!”

ความรู้สึกนับร้อยผสมปนเปในใจของฉือจวี้

“ลาก่อน” เมื่อสิ้นเสียงซ่งชูอีก็หวดแส้จากไป

ไป๋เริ่นเห็นดังนี้ ก็รีบวิ่งตามไปทันที

ซ่งชูอีหันมามองมัน หวดแส้เสียงดัง “เพี๊ยะ” แล้วกล่าวเสียงสูง “ไสหัวกลับไป!”

ไป๋เริ่นเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและหลบเลี่ยงแส้อย่างง่ายดายทว่าฝีเท้ากลับช้าลง ซ่งชูอีไม่เคยตะโกนใส่มัน อย่าว่าแต่หวดแส้ตีมันเลย ในขณะนั้นมันรู้สึกได้ถึงแรงผลักดันที่แข็งแกร่งจากซ่งชูอี

ถนนหลวงปกคลุมไปด้วยหิมะยาวจรดท้องฟ้า หูของไป๋เริ่นลู่ลง มองดูคนคนนั้นขี่ม้าจากไปไกลเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ

ในโลกนี้คนที่จงรักภักดีและเป็นที่พึ่งพาของซ่งชูอีที่ดีที่สุดนอกเหนือจากเจ้าอี่โหลวก็ต้องเป็นไป๋เริ่น

นางฝืนใจไม่หันกลับมาจนกระทั่งถึงเสียนหยาง

เมื่อเห็นป้อมปราการของเสียนหยาง ซ่งชูอีก็คิดว่าเจ้าอี่โหลวอาจจะเดินทางไปยังทิศตะวันออกหลังจากผ่านด่านหานกู่ ดังนั้นนางจึงขี่ไปทางทิศตะวันออกเพื่อดูว่าจะได้เจอเขาหรือเปล่า

ในตอนนี้เจ้าอี่โหลวอยู่ทางตอนเหนือของเมือง

เจ้าอี่โหลวแบกชูหลี่จี๋ที่ไม่ได้สติไปยังทิศเหนือ เดิมทีต้องการไปยังบ้านของสกุลฉือเพื่อสอบถามข่าวคราวก่อน ทว่าผู้อารักขามืดติดตามราวกับเงา ไม่สามารถสลัดทิ้งได้แต่อย่างใด เขากลัวว่าการเปิดโปงสกุลฉือจะทำให้ซ่งชูอีสูญเสียพลังในการพึ่งพา ดังนั้นจึงแฝงตัวอยู่ในเขตชานเมืองทางตอนเหนือของนครกับซ่งเจียนอย่างอดทน

ซ่งเจียนเข้าไปในเมืองคนเดียวเพื่อตรวจสอบกล่วงหน้าแต่คาดไม่ถึงว่านครแห่งนี้ได้ถูกวางกับดักเอาไว้แล้ว ผู้อารักขาลับไม่สามารถจัดการกับซ่งเจียนได้ชั่วขณะแต่กลับขังเขาไว้ในนคร เจ้าอี่โหลวไม่ได้รับข่าวคราวใด รออย่างใจจดใจจ่อเป็นเวลาหนึ่งวันสองคืนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาชูหลี่จี๋เข้านครด้วยตัวเอง

เจ้าอี่โหลวไม่เหมือนกับซ่งชูอีผู้มีตำแหน่งสูงที่วันๆ เอาแต่รับแขกอยู่ในจวน ขุนนางเกือบทั้งหมดในเสียนหยางรู้จักเขาไม่ว่าจะปลอมตัวแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

บนทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ทางตะวันออกของเมือง ซ่งชูอีถูกล้อมรอบไปด้วยชายในชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน

“ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้คุ้มกันไท่ฟู่กลับนคร”

ซ่งชูอีคุ้นเคยกับน้ำเสียงที่หยาบกระด้างและมั่นคงนั้นอย่างดี เขาคือกู่ฉิง

ซ่งชูอีสงบอารมณ์ลง ตอนนั้นที่นางได้รับจดหมายตอบรับของสกุลฉือจากผู้ส่งสาร นางก็ได้คาดเดาสถานการณ์ในตอนนี้ไว้แล้ว ผู้อารักขามืดสังหารผู้คน เคยออมมือที่ไหนกัน? การที่ผู้ส่งสารมีชีวิตรอดไม่ใช่เพราะว่าโชคดี แต่เป็นเพราะพวกเขาจงใจเท่านั้น

“ท่านแม่ทัพเจ้าเข้านครแล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

กู่ฉิงเห็นว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง “เพิ่งเข้าขอรับ”

“ไปเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

การเผชิญหน้ารอบนี้ถูกกำหนดให้ไร้ซึ่งความยุติธรรม นอกเหนือจากความเหลื่อมล้ำในอำนาจระหว่างกษัตริย์และขุนนางแล้ว อิ๋งซื่อยังมั่นใจว่านางจะไม่ทำอะไรที่จะทำลายความแข็งแกร่งของฉินในเวลานี้

“กษัตริย์สั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย” คืออะไรกัน?

โดยมากก็เป็นเช่นนี้กระมัง

ซ่งชูอีมาถึงพระราชวังภายใต้การ “คุ้มกัน” ของผู้อารักขาลับ นางไม่ต้องการปรากฏตัวต่อหน้าอิ๋งซื่อด้วยความพยายามที่จะหลบหนี ดังนั้นจึงขอตัวไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ในฐานะที่กู่ฉิงเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนางมาก่อน ก็มีเยื่อใยอยู่บ้างไม่มากก็น้อย จึงนำเรื่องนี้บอกกับขันทีเถาให้เขาได้จัดการ

หมอกควันลอยคละคลุ้งระหว่างที่แช่น้ำ ซ่งชูอีขดตัวเอนกายพิงอยู่ข้างบ่อน้ำอย่างหมดแรง

สาวใช้ที่เช็ดหลังของนางลดศีรษะลงกระซิบ “หมี่”

ซ่งชูอีตกตะลึงแล้วยื่นมือไปหานาง

สาวใช้คว้าแขนนางอย่างรู้งานและช่วยนางถูแขน ซ่งชูอีรู้สึกได้ว่าท่อโลหะขนาดเล็กที่มีความอบอุ่นของอุณหภูมิร่างกายร่วงอยู่ในมือ

ซ่งชูอีไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าหมี่ปาจื่อจะลงมือ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตนเทียบเท่าผู้สนับสนุนของนางมาโดยตลอด ส่วนหมี่ปาจื่อก็รับใช้ข้างกายกษัตริย์มานานหลายปี ทั้งยังมีลูกอีกสองคน ทว่าตำแหน่งกลับไม่ขยับเลยสักนิด หากปล่อยให้เว่ยหว่านเป็นไท่โฮ่ว นางก็ตกเป็นรองตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ?

นอกเหนือจากนี้ด้วยนิสัยของหมี่จีย่อมไม่เต็มใจที่จะเป็นคนธรรมดา เพียงแค่เว่ยหว่านสนับสนุนให้อิ๋งจี้ไปเป็นองค์ชายตัวประกันในรัฐเยียนอย่างเต็มที่ก็ต่อต้านหมี่จีมากพอแล้ว หากนางไม่ตายเว่ยหว่านไม่มีทางรามืออย่างแน่นอน ดังนั้นนางจำต้องมีตัวช่วย ทั้งรัฐฉินไม่มีใครเหมาะสมเท่าซ่งชูอีอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงยอมเสี่ยงตายมาขอความช่วยเหลือ

“วางเสื้อผ้าลง พวกเจ้าออกไป” ซ่งชูอีเอ่ย

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้ค้อมตัวแล้วถอยออกไปจากตำหนัก จากนั้นก็เลิกม่านลง

ซ่งชูอีเปิดท่อจดหมายโลหะออก หยิบผ้าไหมสีขาวแผ่นเล็กๆ ออกมา มีเส้นทางออกจากพระราชวังที่เขียนไว้โดยละเอียดและมีผู้ตอบรับอยู่ทั่วทุกจุด

ดูเหมือนหมี่จีปรับตัวได้เป็นอย่างดีตลอดสิบแปดปีที่อยู่ในวังหลวง!

ซ่งชูอียิ้มแล้วแช่ผ้าไหมสีขาวลงไปในน้ำ มองดูหมึกสีดำละลายหายไปก่อนที่จะยกมันขึ้นมา

หลังจากนางสวมเสื้อเรียบร้อยก็ออกจากตำหนัก เอ่ยถามว่า “พวกเจ้ามีใครรู้บ้างว่าเว่ยเต้าจื่ออยู่ที่ไหน?”

สาวใช้เหล่านี้ไม่รู้เกี่ยวกับแผนการที่น่าตื่นเต้นในระยะหลังนี้ สาวใช้ที่เข้ามาใกล้เพื่อเช็ดผมของนางกล่าวขึ้น “เรียนไท่ฟู่ ได้ยินว่า…เว่ยเต้าจื่อต้องการที่จะพัวพันกับสาวใช้ของท่านอ๋องจึงถูกขังไว้เจ้าค่ะ ส่วนอยู่ที่ไหนนั้นบ่าวไม่ทราบ”

เหมือนที่ซ่งชูอีเดาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิด เว่ยเต้าจื่อไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเพียงนี้ กลัวว่าอิ๋งซื่อจะหาข้ออ้างเพื่อขังเขาไว้มากกว่า

อิ๋งซื่อเคยกล่าวไว้ว่าจะไม่เอาผิดเขาเพราะเรื่องนี้และก็จะไม่ทำ ซ่งชูอีเชื่อเช่นนั้น

เมื่อออกจากห้องอาบน้ำก็มีคนรับใช้นำทางและพานางไปที่มุมหอคอย

อิ๋งซื่อไม่ได้อยู่ในห้องแต่นั่งอยู่ตรงระเบียงหน้าตึก เขาสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีดำสลับน้ำเงิน ผมเผ้าถูกหวีอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ได้สวมมงกุฎ สวมเพียงเครื่องกวนสีดำอันหนึ่งเท่านั้น เยือกเย็นทว่าไม่ทิ้งความสง่างาม เขาผอมลงกว่าเมื่อก่อน ขมับของเขามีผมหงอกแซม แม้แต่การพูดจาก็ยังลำบาก มีเพียงดวงตานกอินทรีคู่นั้นที่ยังคงเย็นเยียบเช่นในอดีต