นับตั้งแต่ที่เสวียนอี่ได้รับบาดเจ็บและเดินไม่ได้ มหาเทพไป๋เจ๋อก็ได้กำชับเหล่าลูกศิษย์ให้ผลัดเปลี่ยนกันมารับนางไปฟังบรรยาย เทียบกับกู่ถิงที่สั่งสอนนางทั้งวี่ทั้งวัน เทียบกับไท่เหยาที่ทักทายอย่างสุภาพ และบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลายที่พูดจาน่าเบื่อเหล่านั้น เซ่าอี๋เป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกสนุกที่สุด
เซ่าอี๋จิบชาช้าๆ แล้วก็พลันสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขามองไปยังใต้โต๊ะแล้วก็เห็นน้ำแกงบำรุงหนึ่งก้อนถูกแช่แข็งแปะเอาไว้ใต้โต๊ะ
“นี่คือ? ” เขาเงยหน้าขึ้นไปมองนาง
เสวียนอี่ไม่เปลี่ยนสีหน้า “เป็นน้ำใจของศิษย์พี่กู่ถิงและศิษย์พี่หญิงจื่อซี ศิษย์พี่เซ่าอี๋ระวังหน่อย อย่าทำเสียเรื่องเชียว”
เซ่าอี๋หลุดหัวเราะออกมาทันใด ราะไร้เสียงน่อย อย่าไ”เจ้ากลับแช่แข็งน้ำใจของพวกเขาจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งเชียวหรือนี่”
เทพรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหนึ่งราวกับค้นพบความลับใหญ่ ตะโกนออกมาว่า “อ๋า! น้ำแกงบำรุงนี่! “
เสวียนอี่มองเขาแล้วยิ้ม สายตาแลดูชั่วร้ายอยู่บ้าง “ทำอย่างไรดี ความลับของข้าถูกเจ้ารู้เข้าเสียแล้ว”
เทพรับใช้รีบถอยหลังไปหลายก้าว พูดติดอ่างว่า “ท่าน ท่านจะทำอะไร…”
เสวียนอี่มองไปที่คิ้วตาจมูกและปากของเขา มองอย่างจริงจังและเต็มไปด้วยไปรังสีสังหาร “ข้าจะนับถึงสาม หากว่าเจ้ายังไม่ไป ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าซะ เจ้าจะได้ไม่เอาเรื่องนี้ไปโพนทะนา หนึ่ง สอง…”
เขาร้อง “ว้าก! ” ออกมาแล้วร้องไห้โฮ หันหน้าวิ่งหนีไปจากตำหนักน้ำแข็ง
เสวียนอี่หัวเราะจนห่วงทองบนศีรษะคลายออก นางใช้มือข้างหนึ่งจับเอาไว้พลางหมุนตัวกลับไป กลับพบว่าเซ่าอี๋กำลังใช้มือลูบก้อนน้ำแข็งนั้น ไม่ถึงชั่วพริบตา ก้อนน้ำแข็งน้ำแกงบำรุงก็กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำ หยดลงไปบนพื้นหิมะ
“ข้าช่วยทำลายหลักฐานให้เจ้า” เขาขยิบตาให้นาง
เสวียนอี่หยิบเอาขนมบัวไป๋เฉ่าที่ตัวเองไม่ค่อยชอบกินชิ้นหนึ่งยื่นให้กับเขาด้วยความนอบน้อม”ขอบคุณศิษย์พี่เซ่าอี๋มาก”
เขาเองราวกับไม่ได้สังเกตเห็นโดยสิ้นเชิง รับมันมาแล้วส่งเข้าปากพลางถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เลือดยังไหลออกมาอีกหรือเปล่า”
“ดีมากแล้ว” นางตอบอย่างขอไปที แล้วปัดฝุ่นผงบนมือออก
เซ่าอี๋ยิ้มแล้วลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มนางขึ้นมา เดินเยื้องย่างไปทางตำหนักเหอเต๋อ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ควรจะหายเร็วกว่านี้ถึงจะถูก”
เสวียนอี่ชะงักไปชั่วขณะ พูดตามตรง อาการบาดเจ็บของนางหายเร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก ฉีหนานกล่าวว่าจะต้องใช้เวลาถึงสามสิบปีจึงจะสมานกันดี แต่ว่าตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปแค่สามเดือน ตรงบาดแผลของนางก็เริ่มมีเนื้อใหม่งอกขึ้นมาแล้ว และกำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“ทำไม” นางเหลือบมองเขาแล้วถาม
เซ่าอี๋หันไปมองนาง “เพราะว่าเจ้าดิ่มน้ำใจของศิษย์พี่กู่ถิงกับศิษย์พี่หญิงจื่อซีไปตั้งมากแล้วนี่”
ถ้าน้ำแกงนั้นได้ผลก็ผีหลอกแล้ว เสวียนอี่พิงกับหน้าอกเขาแล้วเริ่มปั้นหิมะเป็นรูปดอกไม้เล่น
กลิ่นอายบนร่างของเซ่าอี๋ไม่เหมือนกับกลิ่นน้ำหมึกบนร่างของไท่เหยา และไม่เหมือนกับกลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าบนร่างของกู่ถิง บนร่างของเขาเป็นกลิ่นหอมหวาน จนนางถึงขนาดสงสัยว่าเขาแอบเอาขนมซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ
เสวียนอี่จับแขนเสื้อของเขาแล้วชำเลืองมองเข้าไปด้านใน ด้านในว่างเปล่าไม่มีอะไร ทำให้นางผิดหวังมาก
“เจ้าปลาดุกอุยน้อยนี่หนักจริงๆ แถมยังไม่ชอบอยู่เฉยๆ อีก” เซ่าอี๋เดินไปบ่นไป ดันนางขึ้นมาอีก
พูดว่านางหนักอีกแล้ว ครั้งนี้เสวียนอี่ไม่แม้แต่จะเหลือบตา นางกล่าวเรียบๆ ว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋อ่อนปวกเปียกเกินไปแล้ว ข้าว่าท่านต้องพิจารณาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายบ้างแล้ว”
เซ่าอี๋ถูกนางหาว่า “อ่อนปวกเปียก” เป็นครั้งที่สอง ก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ปากเจ้านี่นะ จริงๆ เลย”
เสวียนอี่ยังคงไม่สนใจเขา แล้วก้มหน้าก้มตาปั้นดอกไม้ต่อไป
ขาทั้งสองข้างของนางพาดไปที่แขนของเขา ขานางเล็กเรียว ชายกระโปรงรูปดอกชาสีสายัณห์นั้นพลิ้วไปมา ผมกระเซิงของนางประดับไปด้วยวงแหวนสีทองระยิบระยับ ใบหน้าของนางใสและเรียบเนียนราวกับกระเบื้องเคลือบ ไม่จำเป็นต้องผลัดแป้งทาคิ้วนางก็งดงามโดยธรรมชาติแล้ว
ช่างเจริญหูเจริญตาโดยแท้ น่าเสียดายที่เขาไม่มีใจจะไปเกี้ยวปลาดุกอุยน้อยตระกูลจู๋อินผู้นี้
เซ่าอี๋ถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย พลันได้ยินเสียงนกร้องกังวานใสดังเข้ามา ไม่นานก็มีนกกระเต็นตัวเล็กสีครามทั้งตัวบินเข้ามา บินวนเวียนล้อมรอบร่างเขาพร้อมกับร้องเพลง ที่ขาของมันมีห่วงทองแดงรัดเอาไว้หนึ่งวง ในนั้นมีผ้าแพรผืนบางสีขาวที่ไม่รู้ทบกันกี่ชั้นอยู่
พอดึงออกมา ผ้าแพรสีขาวผืนบางก็กางออก ในนั้นเป็นภาพวาดของเทพธิดาในชุดขนห่านสีสันงดงามคนหนึ่ง มวยผมดำขลับ รูปโฉมงดงามหยาดเยิ้ม
บนภาพยังมีกลอนตัวเล็กเขียนเอาไว้บรรทัดหนึ่งว่า “บุรุษยอดรักที่แสนเจ้าเล่ห์ ไม่ยอมพูดคุยกับข้าแล้ว และเป็นเพราะท่าน แม้แต่ข้าวข้าก็กินไม่ลงแล้ว[1]”
เซ่าอี๋จ้องมองเทพธิดาในภาพอยู่นาน แล้วจึงถอนหายใจออกมา “น่าเสียดายที่ทะเลบูรพาไกลเกินไปและข้าเองก็เริ่มเอียนแล้วด้วย”
“ใช่องค์หญิงใหญ่ของเทพมังกรแห่งทะเลบูรพาผู้งดงามคนนั้นหรือเปล่า” เสวียนอี่ถามอย่างสนใจใคร่รู้
เซ่าอี๋ยิ้มยั่วเย้าแล้วเอาแถบผ้าเก็บไว้ในอกเสื้อ “ครั้งที่แล้วเรียกให้เจ้าไปดูเจ้าก็ไม่ไป ครั้งนี้ข้าให้เจ้าดูไม่ได้แล้ว”
คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับจับองค์หญิงใหญ่ของเทพมังกรทะเลบูรพาผู้นั้นไว้ได้จริงๆ
เสวียนอี่เผยสีหน้าเลื่อมใสอย่างหาได้ยากออกมา เอ่ยออกมาจากใจจริงว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ท่านร้ายกาจมากจริงๆ “
ฟูหลัวกับเหยียนสยาทะเลาะกันแทบตายเพื่อเขา คนหนึ่งต้องถอนหมั้น อีกคนต้องลงไปโลกเบื้องล่างเพื่อตัดบ่วงรัก แต่ว่าเขากลับไปเสพสุขอยู่กับปีศาจสาวที่โลกเบื้องล่าง ไม่เพียงเท่านั้น ขนาดองค์หญิงใหญ่ของเทพมังกรทะเลบูรพายังมาหลงงมงายกับเขาอีก
นางให้สามคำ ‘ยอดเยี่ยมมาก’
เซ่าอี๋ยิ้มจนตาหยีแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “ข้าจะถือว่าเจ้ากำลังชมข้า ปลาดุกอุยน้อยชมเกินไปแล้ว”
พูดแล้วเขาก็วางนางลงบนเบาะนั่งเบาๆ ถึงตำหนักเหอเต๋อแล้ว เขามองไปรอบๆ แล้วพลันกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำไมเทพฝูชางถึงไม่อยู่ที่นี่เล่า”
เสวียนอี่ส่ายศีรษะอย่างไม่รับรู้ แล้วพลิกหน้าตำราของตัวเองต่อไป
นางไม่รู้ว่าฝูชางกำลังทำอะไรอยู่ถึงได้ไม่มาฟังบรรยาย แต่ได้ยินพวกศิษย์พี่กู่ถิงพูดว่า เหมือนการลงไปที่โลกเบื้องล่างครั้งนี้จะทำให้วิถีกระบี่ของเขาเลื่อนขั้น ถึงได้ขอลาหยุดไปสักระยะ เขาไม่อยู่ก็ดีแล้ว หนึ่งเดือนกว่านี้ไม่รู้ว่านางจะมีความสุขขนาดไหน
ไม่นานมหาเทพไป๋เจ๋อก็มาถึง ก่อนที่จะได้ฟังเขาบรรยาย เสวียนอี่ยังรู้สึกตั้งตารอคอยอยู่บ้าง แต่ว่าพอได้ฟังเขาบรรยายแล้วนั้น นางกลับรู้สึกเพียงว่าตัวเองง่วงงุนอยากจะหลับแล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบนางหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นมาแล้วพลิกไปพลิกมา ทั้งยังจับมันมาอ่านแบบกลับหัว เรียกได้ว่าน่าเบื่อหน่ายมาก ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเขาจะต้องจงใจแน่ๆ รอให้เหล่าลูกศิษย์เบื่อจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เขาก็จะกล่าวว่า”จบบทเรียน” ได้อย่างไร้ที่ติ และให้พวกเขาสมัครใจยอมเป็นเด็กติดตามเขาแต่โดยดี
ตอนนี้นางคิดว่าไปเป็นเด็กติดตามยังน่าสนใจกว่าเสียอีก
เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดปากหาว แล้วมองไปรอบด้านอย่างเบื่อหน่าย ลูกศิษย์ในตำหนักเหอเต๋อส่วนมากก็ง่วงงุนเหมือนกันกับนาง มีเพียงพวกไท่เหยา จื่อซี และกู่ถิงแค่ไม่กี่คนที่ตั้งใจฟัง ส่วนเซ่าอี๋…เซ่าอี๋ก้มหน้าเขียนอะไรไม่หยุด
เขาจะขยันอะไรปานนี้
เสวียนอี่แอบยืดคอมองไปที่เขาแล้วก็เห็นว่า เขากำลังวาดรูปอยู่ คนงามบนกระดาษสีขาวนั้นเห็นเค้าโครงชัดเจนแล้ว บนหน้าผากประดับไข่มุก ชุดคลุมยาวแขนเสื้อกว้าง และกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับคีบดอกท้อไว้ที่มือด้วยท่าทางห่อเ**่ยว
ที่แท้เขาก็ทำลังวาดภาพตัวเขาเองอยู่
เซ่าอี๋ตวัดวาดกลีบดอกท้อกลีบสุดท้ายแล้วจึงวางพู่กันลง เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่กล่าวว่า “ปลาดุกอุยน้อย ข้าวาดเหมือนหรือไม่”
ใครบอกว่าแค่เหมือน นี่เรียกว่าเขาแทบจะยกท่าทีเศร้าสร้อยตรอมใจของเขาลงมาได้อย่างสมจริงมากต่างหาก
เสวียนอี่พยักหน้า
เซ่าอี๋ขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้ม “เขียนว่าอะไรดี ต้นอ้อสองริมฝั่งขึ้นเขียวชอุ่ม น้ำค้างสีขาวจับตัวเป็นน้ำแข็ง มีหญิงงามนางหนึ่ง กำลังชายตาสื่อรัก”
เสวียนอี่อดไม่ได้หลุดขำพรืดออกมา
เซ่าอี๋เขียนไปพลางก็กล่าวเสียงเนิบนาบไปพลางว่า “อย่าหัวเราะ เจ้าเองก็ต้องมีวันนี้เข้าสักวัน ฟ้าดินมีหยินหยาง ซือหลัว[2]ยังเลื้อยพันไปตามสะพาน[3] เวลายังอีกยาวไกล ใครจะชอบใจที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวคนเดียว ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะน้ำเน่ายิ่งกว่าข้าเป็นหมื่นเท่าก็ได้ อืม จากรูปโฉมของปลาดุกอุยน้อยแล้ว หากว่าให้โตขึ้นอีกหน่อย เกรงว่าคงมีเทพมาชมชอบมากมายแน่ ถึงตอนนั้น ดูสิว่าเจ้ายังจะหัวเราะข้าอีกไหม”
เสวียนอี่หมุนพู่กันในมือไปมา และก็อดคิดไปถึงภาพที่มีเทพมากมายต้องมาสยบแทบเท้านางขึ้นมาไม่ได้ ทั้งกู่ถิงเอย ไท่เหยาเอย ไหนจะฝูชางอีก ทุกคนต่างต้องมากอดขานางอยู่แทบเท้าเพื่อวิงวอนขอให้นางยิ้มให้
ผลคือ นางกลับหัวเราะดังขึ้นไปอีก
เสียงบรรยายบทเรียนของมหาเทพไป๋เจ๋อหยุดลงทันใด การกระทำนี้ทำให้เหล่าศิษย์ที่กำลังง่วงงุนทั้งหลายต่างก็มองมาที่เสวียนอี่
“มีอะไรน่าหัวเราะหรือ” มหาเทพไป๋เจ๋อถามขึ้น
—
[1]เป็นกลอนที่แสดงถึงชายคนรักจงใจหยอกเย้าหญิงสาวและจงใจไม่สนใจนาง หญิงสาวคิดถึงชายหนุ่มมาก จนกินข้าวไม่ลง และบ่นถึงความร้ายกาจของชายหนุ่ม
[2]ซือหลัว : พืชไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง
[3]ซือหลัวพันไปตามสะพาน : เป็นการเปรียบเปรยถึงการที่ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องมีคู่ที่คอยอยู่ด้วย