บทที่ 44 บาปของความไร้เดียงสา

บุหลันเคียงรัก

เสวียนอี่กล่าวด้วยท่าทีเคารพ”อาจารย์บรรยายได้ยอดเยี่ยม ศิษย์ฟังแล้วได้รับประโยชน์มาก ถึงได้หัวเราะออกมา”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อกล่าวหยอกเย้าว่า”อ้อ เมื่อครู่นี้เปิ่นจั้วบรรยายไปถึงไหนแล้ว”

 

 

นี่น่ะหรือ…เสวียนอี่กลอกตาไปมา แล้วนางก็พลันเห็นจื่อซีแอบยกสมุดขึ้นตรงหน้านาง เตือนนางว่าตอนนี้กำลังเรียนอยู่บนที่ห้าสิบสี่

 

 

นางกุมมือคารวะแล้วกล่าวว่า”เมื่อครู่นี้อาจารย์พูดถึงคนที่ยืนเขย่งเท้ากลับไม่สามารถยืนได้มั่นคง คนที่ก้าวเท้าไกลกลับไม่สามารถเดินได้ไกล คนที่ชอบแสดงออกชื่อเสียงกลับไม่โด่งดัง คนที่คุยโอ้อวดตัวเองกลับไม่มีคุณงามความดี ศิษย์ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งมาก”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อมองไปที่นางอย่างสนใจ”บทที่สิบกล่าวไว้ว่าอย่างไร”

 

 

“บทที่สิบกล่าวไว้ว่า หยินหยางคือกฎเกณฑ์วัฏจักรของฟ้าดิน คือกฎการถือกำเนิดและดับสูญของสรรพสิ่ง คือแก่นแท้ของความเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง คือที่มาของการก่อเกิดและการดับสูญ”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อประหลาดใจ”เจ้าท่องได้ทั้งหมดแล้วหรือ”

 

 

เสวียนอี่มีท่าทีจริงจัง”ศิษย์ไม่จำเป็นต้องท่อง เรื่องทุกอย่างสามารถคิดอย่างง่ายๆ ได้ เหตุผลของอาจารย์เองก็ทำให้ไม่ลืม แน่นอนว่าบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลายเองก็เป็นเช่นนี้”

 

 

ตำราเล่มนี้ให้มาเกือบจะหนึ่งปีแล้ว นางไม่มีอะไรทำก็พลิกอ่านไปบ้าง หลายเดือนเข้าก็อ่านไปหลายบท เขียนเรื่องบ้าอะไรพวกนี้มายังจะต้องท่องอีกหรือ

 

 

นางกำลังเตือนว่าให้เขาเอาเรื่องที่น่าสนใจกว่านี้มาหรือ มหาเทพไป๋เจ๋อยิ้มออกมา”แม้แต่ศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดยังสามารถท่องได้อย่างคล่องแคล่ว คิดว่าพวกเจ้าที่เป็นศิษย์พี่ทั้งหลายเองก็คงจะทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เปิ่นจั้วปลื้มใจมาก พวกเจ้ากราบเข้ามาในสำนัก ศิษย์ที่อายุมากที่สุดก็อายุเกือบจะหนึ่งหมื่นปีแล้ว เปิ่นจั้วกลับยังไม่เคยพาพวกเจ้าออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกมาก่อนเลย พอเลยกับที่มหาเทพจูเซวียนส่งเทียบเชิญมาว่าปลายฤดูหนาวนี้ให้ไปที่จวนจูเซวียนอวี้หยาง หินวิญญาณที่เขาเลี้ยงมาเกือบแสนปีขยับตัว ดูแล้วอาจจะมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อะไรกำเนิดขึ้นมา พวกเจ้ายินดีจะไปกับเปิ่นจั้วหรือไม่”

 

 

อาจารย์กลับจะพาพวกเขาออกไปด้านนอก! นี่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย! แม้แต่ไท่เหยาที่ติดตามเขามานานที่สุดก็ยังตั้งตัวไม่ทัน

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อถอนหายใจแล้วกล่าวอีกว่า”เคยได้ยินมาว่าเจดีย์แก้วมรกตในจวนจูเซวียนอวี้หยางมีเล็บขององค์ราชาชื่อโหยวอยู่หนึ่งอัน เปิ่นจั้วไม่เคยมีชะตาต้องได้เจอมาก่อน ครั้งนี้หากว่าโชคดีได้ไปดูใกล้ๆ ก็จะสามารถทำให้ความปรารถนาของเปิ่นจั้วสำเร็จได้”

 

 

มิน่าล่ะ…ในใจของเหล่าลูกศิษย์พลันเข้าใจขึ้นมา เล็บขององค์ราชาชื่อโหยวเขาเอามาไม่ได้ ได้แต่ต้องออกไปดูด้วยตนเอง แต่ก็เกรงว่าหากตัวเองออกไปดูคนเดียวจะดูไม่ดีนัก เลยถือโอกาสให้ลูกศิษย์ช่วยหนุนหลังให้เขา

 

 

ประตูตำหนักถูกเปิดออก เทพรับใช้ต่างก็ประคองหนังสือเล่มหนาเล่มใหม่เข้ามาอย่างแน่นขนัด โต๊ะเล็กข้างกายลูกศิษย์แต่ละคนต่างก็มีหนังสือเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม

 

 

“อีกสามวันจะเริ่มบรรยายถึงเนื้อหาหนังสือเล่มนี้ ไปท่องกันมาก่อนล่วงหน้า เปิ่นจั้วจะสุ่มถาม” มหาเทพไป๋เจ๋อหัวเราะออกมาแล้วมองไปยังบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ต่างร้องขอและบ่นกันพลางกล่าวว่า”อีกอย่าง การไปที่จวนจูเซวียนอวี้หยางในครั้งนี้ พอกลับมาแล้วลูกศิษย์ทุกคนจะต้องส่งบันทึกเรื่องราวที่ได้พบเห็นจำนวนสามพันตัวด้วย”

 

 

บันทึกสิ่งที่พบเห็นสามพันตัว! แล้วยังต้องท่องหนังสืออีก! เพราะเสวียนอี่นั่นแท้ๆ เลย ไม่มีเรื่องอะไรทำแล้วไปท่องหนังสือทำไม ทำให้พวกเขาต่างก็ต้องมาซวยไปด้วย! เป็นศิษย์ของตำหนักหมิงซิ่งทำไมต้องมาลำบากขนาดนี้ด้วย

 

 

เหล่าลูกศิษย์ต่างก็บอกลาแล้วออกไปจากตำหนักเหอเต๋ออย่างมีโมโห

 

 

ตอนที่กู่ถิงเดินเข้ามานั้นใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความนับถือ แล้วกล่าวว่า”เจ้าท่องหนังสือทั้งเล่มได้แล้วจริงๆ หรือ ยอดเยี่ยมมาก เจ้ามันคนเก่งไม่โอ้อวดจริงๆ! “

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจ”หากว่าศิษย์พี่กู่ถิงนับถือข้าล่ะก็ ท่านช่วยอย่าส่งน้ำแกงบำรุงนั่นให้ข้าจะได้หรือไม่…”

 

 

ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะผลของน้ำแกงบำรุงก็ได้” จื่อซียิ้มแล้วรับคำ นางเข้าไปมองดูขาขวาที่พันผ้าขาวเอาไว้”ช่วงนี้ไม่มีเลือดไหลออกมา เห็นก็รู้แล้วว่าตำรับยานั้นใช้ได้ผล”

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจ ท่าทีที่เป็นกันเองของพวกเขาทั้งสองก็ดีอยู่ แต่ว่าน้ำแกงบำรุงนั่นแย่มากจริงๆ แย่จนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว หากว่าให้นางดื่มต่อไปนางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรออกมาได้อีก

 

 

เสียงนกร้องดังก้องไปทั้งตำหนักเหอเต๋อ นกกระเต็นที่ส่งจดหมายให้กับเซ่าอี๋ก่อนหน้านี้บินเข้ามาอย่างดีใจอีกครั้ง มันกระโดดไปมารอให้เซ่าอี๋เอาภาพและกลอนรักแผ่นนั้นพับใส่เข้าไปในวงแหวนทอง

 

 

“ได้แล้ว ปลาดุกอุยน้อย” เซ่าอี๋ส่งนกกระเต็นไปแล้วหันมายิ้มบางๆ “อยากจะให้ศิษย์พี่ส่งเจ้ากลับไปที่ตำหนักน้ำแข็งหรือไม่ หรือว่าจะไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ทิศใต้ก่อน”

 

 

กู่ถิงเห็นเขา รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลงไปหลายส่วน จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป

 

 

เห็นท่าทีของเขากับเซ่าอี๋แล้ว เกรงว่าคงจะยากที่จะมองหน้ากันได้อย่างสนิทใจอีก

 

 

จื่อซีก้มลงไปมองเซ่าอี๋ เขาไม่มีท่าทีกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกำลังยิ้มพลางกล่าวกับเสวียนอี่ถึงกลอนที่ตนเองเขียนลงไปเมื่อครู่นี้ ครั้งที่แล้วที่โลกเบื้องล่างเองก็เช่นกัน เขาปรากฏตัวออกมาอย่างเฉยๆ แล้วก็ไปเฉยๆ จากนั้นยังหายตัวไปอีกสามเดือนไม่ยอมมาเข้าฟังบรรยาย ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

 

 

จื่อซีพลันกล่าวออกมาว่า”ศิษย์น้องเซ่าอี๋ เรื่องที่เหยียนสยาลงไปตัดสัมพันธ์ที่โลกเบื้องล่าง เจ้ารู้หรือไม่”

 

 

เขาตอบได้อย่างฉลาดว่า”ตอนนี้รู้แล้ว”

 

 

จื่อซีขมวดคิ้ว”นางต้องลงไปที่โลกเบื้องล่างเพื่อตัดสัมพันธ์ก็เพราะเจ้า เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ หากว่าเจ้าชอบนางทำไมเจ้าจะต้องทรมานนางด้วย หรือหากว่าเจ้าไม่ได้ชอบนาง แล้วทำไมเจ้าต้องไปยุ่งเกี่ยวกับนางด้วย”

 

 

เซ่าอี๋ลูบไปที่ลายดอกไม้บนแขนเสื้อแล้วกล่าวเสียงเบาว่า”ศิษย์พี่หญิงอยากจะให้ข้าทำอย่างไร”

 

 

“ไม่ได้เกี่ยวกับการที่ว่าข้าอยากจะให้เจ้าทำอะไรเลย” จื่อซีเริ่มมีโทสะ “ข้ายังอยากจะถามเจ้าเรื่อง เจ้ากับฟูหลัวอีกด้วย เจ้าเองก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางกับศิษย์น้องกู่ถิงมีสัญญาหมั้นหมายต่อกัน แล้วทำไมเจ้าไม่รู้จักหลีกเลี่ยง หากว่าเจ้าไม่สนใจชื่อเสียงของฟูหลัว เจ้าก็ควรที่จะสนใจความสัมพันธ์ของศิษย์ร่วมสำนักบ้าง! เทพธิดาสองคนต้องมาทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเจ้า คนหนึ่งต้องถอนหมั้น อีกคนต้องลงไปโลกเบื้องล่าง เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเจ้าเองก็มีความผิด”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวเสียงนุ่มว่า”เหมือนว่าจะผิดอยู่เหมือนกัน”

 

 

“ไม่รู้จักดีชั่ว! ” จื่อซีโมโหจนสะบัดเสื้อแล้วเดินจากไป

 

 

เซ่าอี๋มองไปที่หลังของนางแล้วถอนหายใจพลางยิ้มออกมา”ข้าล่ะกลัวเทพธิดาอย่างนี้ มีท่าทีจริงจัง เข้มงวดและห้ามล่วงละเมิด พูดแต่เรื่องไร้เดียงสาตลอด”

 

 

“แต่ข้ากลับชอบนาง” เสวียนอี่ลูบไปที่ขาข้างขวา นางก็แค่ไม่ชอบน้ำแกงบำรุงของนางเท่านั้น

 

 

เขาอดไม่ได้”ปลาดุกอุยน้อย พูดเรื่องรักกับเทพธิดาอย่างนี้เหนื่อยที่สุด ตอนที่ควรจะปล่อยตัวไปตามอารมณ์นางก็วางศักดิ์ศรีหน้าตาไม่ลง ตอนที่ต้องการหน้าตาศักดิ์ศรีนางกลับทำเรื่องที่ทำให้เจ้าถึงกับต้องตกใจออกมา นางสร้างเงื่อนไขกบทั้งตัวเองและคนอื่น รับไม่ได้กับข้อบกพร่องของทุกเรื่อง อีกหน่อยเจ้าอย่าได้โตขึ้นมาเป็นแบบนี้เชียว”

 

 

มิน่าล่ะ เขาถึงไม่เคยไปยุ่งกับศิษย์พี่หญิงจื่อซีมาก่อนเลย

 

 

“พอแล้ว ถูกนางทำให้หมดอารมณ์เลย” เซ่าอี๋ค้อมเอวลงแล้วอุ้มเสวียนอี่ขึ้นมา”ไปเถอะ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่ตำหนักน้ำแข็ง”

 

 

เสวียนอี่ก้มหน้าลงชมเชยเล็บที่นิ้วมืออยู่ครู่หนึ่ง แล้วพลันคิดขึ้นมาได้ก็ถามว่า”ศิษย์พี่เซ่าอี๋ ท่านไม่คิดจะขอโทษศิษย์พี่กู่ถิงหรือ”

 

 

เซ่าอี๋กล่าว”ทำไมต้องขอโทษ”

 

 

“ท่านทำลายความรักลึกซึ้งของนาง”

 

 

เซ่าอี๋สะดุ้งแล้วยิ้มออกมา”รักลึกซึ้งรึ ในแผ่นดินนี้ ตั้งแต่แดนเทพยันธารเหลืองจิ่วโยว[1][1] ไม่เคยมีเรื่องความรักลึกซึ้ง มีแต่รักมากกว่า เจ้าชอบเสื้อตัวนี้ แล้วเจ้าจะสวมแต่เฉพาะเสื้อตัวนี้อย่างนั้นหรือ ความไร้เดียงสาเป็นโทษอย่างหนึ่ง เผ่าเทพที่ไร้เดียงสาก็มักจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับโทษนั้น หากวันนี้ไม่ใช่ข้า ก็ต้องเป็นเผ่าเทพคนอื่นอยู่ดี อย่างไรเขาก็ต้องถูกทำลาย เดิมเขากับฟูหลัวก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันอยู่แล้ว ปลาดุกอุยน้อย ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าไม่ชอบพวกเขา ที่แท้กลับไม่ใช่อย่างนั้น”

 

 

เสวียนอี่ลองคิดอย่างจริงจัง”ไม่ได้ไม่ชอบ”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า”ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ชอบข้าแล้ว อืม…เรื่องท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าข้าเองก็รู้มาบ้าง จะไปโทษใครได้”

 

 

“ศิษย์พี่เซ่าอี๋คิดมากเกินไปแล้ว” นางมองไปที่เขาแล้วยิ้ม”ข้าชอบท่านมาก”

 

 

เซ่าอี๋คลายปมที่คิ้วออกแล้วยิ้มอย่างมีเสน่ห์ออกมา”เจ้าร้ายกับข้าอย่างนี้ ยังบอกว่าชอบข้า”

 

 

เสวียนอี่พยักหน้า”ข้าต้องชอบท่านแน่อยู่แล้ว หากว่าไม่มีศิษย์พี่เซ่าอี๋ ตำหนักหมิงซิ่งแห่งนี้ก็ต้องน่าเบื่อมากแน่ มีท่านต่างหากถึงจะสนุก”

 

 

เสียงของเขาหวานราวกับน้ำตาล”ปลาดุกอุยน้อยอย่างเจ้านี่ พูดหวานจริง เจ้ามันรู้จักพูดจาเอาใจข้า”

 

 

“เจ้าดีใจก็ดีแล้ว” เสวียนอี่เอาหัวพิงไปที่แกของเขา”หากว่าดีใจจริงๆ ละก็ อีกหน่อยศิษย์พี่ช่วยเอาของอร่อยมาให้ข้ามากหน่อยได้หรือไม่ น้ำแกงบำรุงนั่นข้าดื่มไม่ลงจริงๆ “

 

 

เซ่าอี๋หลุดหัวเราะออกมา”ดีนี่! เจ้าเอาใจข้า อยากจะให้ข้าเอาของกินมาให้เจ้าล่ะสิ”

 

 

นางไม่ยอมพูด แต่ว่าจับไปที่แขนเสื้อของเขาแล้วเขย่าไปมาพลางกล่าวด้วยเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ราวกับแมวน้อย

 

 

เจ้าเด็กนี่อีกหน่อยจะต้องเยี่ยมมากแน่

 

 

“ได้ๆ ข้ารู้แล้ว” เซ่าอี๋ส่ายหัว นางมันร้ายกาจจริงๆ

 

 

—-

 

 

 

 

[1] ธารเหลืองจิ่วโยว : ทางเดินระหว่างโลกมนุษย์ไปยังโลกวิญญาณ