บทที่ 298
ผ่านไปสามวัน เขาเหิงซาน คณะกำแหงอันยิ่งใหญ่และมีพลานุภาพ

ในฐานะที่เป็นคณะที่มีนักเรียนฝึกร่างกาย และมีวิชาฝึกร่างแข็งแกร่งที่สุด มองจากสิ่งก่อสร้างของคณะกำแหง สามารถเห็นถึงสไตล์ความแข็งแกร่งห้าวหาญ

ภูเขาสูงใหญ่ เหมือนกระบี่คมหนึ่งเล่ม แทงขึ้นไปบนฟ้า

ทั้งคณะสร้างขึ้นตามแนวเขา เชื่อมต่อด้วยโซ่เหล็ก

นักเรียนในคณะอยากเข้าออก ต้องเดินผ่านโซ่เหล็ก ไม่มีการป้องกันใด ทุกสิ่งอาศัยความแข็งแกร่งและมั่นคงของร่างกาย

ด้านล่างโซ่เหล็ก เป็นหน้าผาลึก

สำหรับนักเรียนคณะกำแหง แค่ออกไปก็คือการฝึกฝนอย่างหนึ่งแล้ว
ทุกปีจะมีนักเรียนที่ฝีเท้าไม่มั่นคง พละกำลังแย่ ตกลงไปด้านล่างหน้าผา จนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ถ้าเป็นคณะอื่น ถ้ามีนักเรียนตายง่ายๆ แบบนี้ ต้องวุ่นวายแน่นอน แต่ที่คณะกำแหง เป็นเรื่องที่เห็นจนชิน นักเรียนที่มาใหม่ทุกปี ด่านแรกที่เข้าสู่คณะกำแหง ก็คือการเดินบนโซ่เหล็กพวกนี้
ด้วยเหตุนี้ โซ่เหล็กนี้ถูกนักเรียนคณะกำแหงและคณะกำแหงเรียกว่า โซ่สู่สวรรค์

แค่เดินข้ามโซ่สู่สวรรค์ได้ ก็ก้าวสู่สวรรค์ได้

ประตูหน้าคณะกำแหง มีพลานุภาพยิ่งใหญ่

มีหุ่นเชิดหินวางอยู่ซ้ายขวา สูงใหญ่มีอำนาจ มีกระบี่และดาบในมือ ยืนตระหง่านอยู่

ประตูข้างขวามีแท่นหินวางอยู่ มีตัวหนังสือหนึ่งประโยค

“รักตัวกลัวตาย ห้ามเข้าประตูนี้”

ตัวอักษรเหล่านี้ เป็นกลิ่นอายของคณะกำแหง

แค่เป็นนักเรียนที่มาจากคณะกำแหง ไม่มีใครที่กลัวตาย

จากที่อาจารย์อี้ชิงพูด นักเรียนคณะกำแหง เป็นพวกซื่อบื้อ พอหัวร้อน ก็ลงมือทันที

มีสมองหรือไม่ค่อยว่ากัน แต่เรื่องเลือดร้อน เป็นสิ่งสืบทอดกันมา

ในคณะกำแหง มีห้องตั้งอยู่เรียงราย อย่ามองว่าเป็นคณะที่ใช้กำลังอย่างเดียว สิ่งก่อสร้างของพวกเขา เรียกได้ว่าไม่เป็นรองใครในสถาบันสอนวิชาบู๊

อาจเป็นเพราะเมื่อพวกเขาสู้ มักจะทำลายห้องที่พักเป็นประจำ ดังนั้นทั้งคณะกำแหง ล้วนสร้างจากหิน สไตล์ของห้องแตกต่างกันไป ทำตามความชอบของนักเรียนแต่ละคน

ไม่พูดก็ไม่ได้ นักเรียนคณะกำแหง มีความสามารถในการสร้างห้องจริงๆ สามารถสร้างห้องเป็นรูปแบบต่างๆ ถึงขนาดที่มีนักเรียน ใช้หินสร้างห้องเป็นรูปร่างมังกรขนาดใหญ่

เห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ ถึงนักเรียนคณะกำแหง ออกไปข้างนอกแล้วโดนทำลายพลังปราณ ต่อไปก็ยังสามารถเป็นหัวหน้าคนงานได้!

ตรงกลางคณะกำแหง เป็นลานประลองหินลาวา ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสถาบันวิชาสอนบู๊

ว่ากันว่าเดิมทีเขาเหิงซานเป็นภูเขาไฟ อาจารย์รุ่นแรกของคณะกำแหง เปลี่ยนแปลงมันอย่างเหนือธรรมชาติ จึงสามารถปิดภูเขาไฟเอาไว้ได้

เดิมทีลานประลองหินลาวา เป็นตรงกลางปล่องภูเขาไฟ พื้นดินตรงนี้ร้อน ถ้าไม่ใส่รองเท้า เหยียบลงไปจะรู้สึกเหมือนโดนเผา หน้าหนาวไม่เย็น หน้าร้อนจะร้อนมาก

นักเรียนที่ฝึกที่คณะกำแหง ไม่ค่อยสวมเสื้อผ้าหนา หนึ่งคือ เพราะร่างกายแข็งแกร่งพอ ไม่กลัวความเย็นความร้อน อีกอย่างคือคณะกำแหงร้อน จะสวมเสื้อผ้าหนาๆ ไปทำไม

ด้วยเหตุนี้ ฝึกวิชาฝึกร่างที่สำนักกำแหง สะดวกสบายมาก อย่างเช่น กายทองไฟอาบของลู่ฝาน ถ้าสามารถมาฝึกที่คณะกำแหง ความเร็วในการยกระดับ ต้องเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าขึ้นไป

ทั้งลานประลองหินลาวา ก็ใช้หินดำนิลสร้างขึ้น ระดับความทนทาน สามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือแดนปราณชีวิตได้

วันนี้มีคนนั่งเต็มลานประลองหินลาวา

เมื่อมองออกไป จะเห็นพวกผู้ชายเปลือยท่อนบน ไม่สวมรองเท้า ส่งเสียงเชียร์ออกมา

“คณะกำแหง ฮู้! ฮู้! ฮู้!”

มีคนตีกลองเป็นจังหวะอยู่ด้านหน้า ดูเหมือนพวกทหารรบอย่างไรอย่างนั้น