ตอนที่ 62 ถ้ำหยก

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 62

ถ้ำหยก

 

“ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ”อาจารย์เต่าพูดด้วยใบหน้าตื่นตะลึง เพียงมีมนุษย์ที่มีพลังอสูรระดับเดียวกับอสูรระดับสูงอย่างพวกตนก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจพอแล้ว แต่มนุษย์คนนั้นกลับมีทั้งพลังฝีมือและกำลังกายสูงส่งจนน่ากลัว

“บางทีมันอาจจะเอาชนะอสูรในถ้ำหยกได้ก็ได้”อาจารย์จิ้งจอกว่าพลางมองไป๋จูเหวินด้วยท่าทีสนใจ

“อสูรในถ้ำหยก?”ไป๋จูเหวินขมวดคิ้วพลางทวนคำของอาจารย์จิ้งจอก

“จะว่ายังไงดีล่ะ…”อาจารย์เต่าว่าพลางกระแอมออกมานิดหน่อย พูดไปมันก็น่าอายแต่เมื่อหลายวันก่อนมีอสูรตนหนึ่งเดินทางมายังเมืองผาหยกแห่งนี้ ไม่ทราบมันถูกใจอะไรผาหยกนักมันเลยเจาะกำแพงหยกจนกลายเป็นถ้ำขนาดใหญ่แล้วเข้าไปอาศัยในถ้ำแห่งนั้น แน่นอนว่าพอเป็นเรื่องอสูรแล้วสำนักเขี้ยวมังกรจึงเป็นสำนักแรกที่ถูกส่งเรื่องมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมือง แต่เพียงเข้าไปหน้าถ้ำเหล่าอาจารย์อสูรและเจ้าสำนักต่างร่นถอยออกมาเพราะพลังอสูรที่สัมผัสได้นั้นมากกว่าเหล่าอาจารย์อสูรเสียอีก

“ระดับหยกสินะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองไปบนหน้าผาสีเขียวราวกับหยก ที่ด้านหน้าไม่มีรอยเจาะ แสดงว่าอสูรที่พวกอาจารย์อสูรพูดถึงอยู่ตำแหน่งอื่น

“ให้ข้าลองไปดูได้หรือไม่”ไป๋จูเหวินถามพลางมองเหล่าอาจารย์อสูรราวกับจะขอคำอณุยาติ

“ถ้าเป็นเจ้าละก็…ไม่สิถึงเป็นเจ้าก็คงไม่ไหว เจ้าอย่าไปเลย”อาจารย์กระเรียนพูดด้วยสีหน้ากังวล แม้ไป๋จูเหวินจะเก่งกาจไม่เลว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชีวิตไปทิ้งหรือไม่

“ถ้าแค่ไปสำรวจล่ะขอรับ”ไป๋จูเหวินถามด้วยท่าทีราวกับจะขอความเห็นจากพวกอาจารย์อสูร

“…..เอาเป็นว่าขอความเห็นจากท่านเจ้าสำนักก่อนเถอะ”อาจารย์เต่าเสนอออกมาเพราะถึงพวกตนจะเป็นอาจารย์ของสำนัก แต่การจะส่งเด็กพึ่งเข้าสำนักไปเจออสูรที่แข็งแกร่งกว่าพวกตนที่เป็นอสูรระดับสูงเสียอีกมันอันตรายเกิดไป การขอความเห็นจากเจ้าสำนักคงดีที่สุด

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”เสียงของชายชราคนหนึ่งดังขึ้นจากมุมหนึ่งของเหล่าศิษย์ที่ดูการประลองอยู่

“ท่านเจ้าสำนัก”เหล่าอาจารย์ต่างหันไปหาชายชราผู้ครองตำแหน่งเจ้าสำนักเอาไว้

“เพียงแต่คราวนี้เป็นเพียงการไปสำรวจเท่านั้น ข้าจะไปกับไป๋จูเหวินเอง”ชายชราว่าพลางยิ้มออกมา มันสนใจไป๋จูเหวินตั่งแต่เข้าสำนักมาแล้ว ยิ่งเห็นการประลองเมื่อครู่แล้วยิ่งมั่นใจว่าไป๋จูเหวินจะกลายเป็นนักล่าอสูรที่ยอดเยี่ยมได้แน่นอน การพามันไปเปิดหูเปิดตาจึงเป็นเรื่องดีแน่นอน

“ท่านเจ้าสำนัก”หลังจากได้ยินเจ้าสำนักพูดเช่นนั้น ชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มศิษย์

“มีอะไรหรือ”ชายชราถามพลางมองไปยังหยงเวยที่เสนอตัวออกมา

“ข้าเองก็อยากจะไปด้วย”หยงเวยว่าพลางประสานมือให้เจ้าสำนัก มันนั่งดูการประลองอยู่แต่แรกแล้ว ทำให้ได้ยินจนหมดเรื่องมีอสูรมาขุดผาหยกทำเป็นถ้ำของมันเอง

“ไม่มีปัญหา”เจ้าสำนักหัวเราะพลางมองไปรอบๆ

“มีใครอยากจะไปด้วยอีกหรือไม่”หลังจากถามออกไปกว่า 5 นาทีกลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เสนอตัวเพิ่ม ทำให้เจ้าสำนักเขี้ยวมังกรส่ายหน้าอย่างเสียดาย การได้พบอสูรระดับสูงเช่นนี้เป็นประสบกการณ์ที่หาได้ยากจริงๆ แม้แต่ตัวมันยังตื่นเต้นไม่น้อย แม้จะต้องเสี่ยงอันตรายไปบ้าง แต่อาชีพนักล่าอสูรมันก็ต้องอยู่กับอันตรายแบบนี้ล่ะ

“ถ้างั้น พวกเจ้าก็ตามข้ามา”เจ้าสำนักว่าพลางเดินลงมาบนลานหิน ก่อนจะเดินนำไป๋จูเหวินและหยงเวยออกจากสำนักไปยังประตูเมืองทางทิศตะวันออก

“เชิญขอรับ”ทหารเฝ้าประตูก้มหัวลงอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นเจ้าสำนักเขี้ยวมังกรเดินทางมาที่ประตูเมือง พวกมันไม่แม้แต่จะเข้าไปหยุดเจ้าสำนักเอาไว้และให้มันออกจากเมืองได้อย่างอิสระ

“สมแล้วที่เป็นคนตรวจสอบจากกลุ่มนักล่าอสูร แม้แต่ท่านเจ้าสำนักเขี้ยวมังกรยังมานำทางให้ด้วยตนเอง”แต่เสียงซูบซิบนินทาของพวกทหารเฝ้าประตูกลับไม่ได้พูดถึงเจ้าสำนักเขี้ยวมังกรเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อวันก่อนมีการแจ้งให้ทราบว่ามีคนของกลุ่มนักล่าอสูรมาเยี่ยมสำนักเขี้ยวมังกร ต้นเรื่องอธิบายลักษณะของชายคนนั้นเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้เหล่าทหารเข้าใจทันทีว่าไป๋จูเหวินคือผู้มาตรวจสอบจากกลุ่มนักล่าอสูร

“ตามข้ามา และจำเอาไว้ว่านี่เป็นเพียงการสำรวจเท่านั้น”เจ้าสำนักเขี้ยวมังกรว่าพลางเดินนำพวกไป๋จูเหวินมายังซอกเขาแห่งหนึ่งที่อยู่มุมทางตะวันออกของผาหยก เรียกว่าเป็นรอนแตกหนึ่งของหน้าผาก็ว่าได้

“ที่นี่พึ่งถล่มลงมาไม่นานนี่นา”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองรอยแตกของหน้าผา หน้าผาตรงส่วนนี้พึ่งถล่มลงมาไม่นานเพราะรอยแตกยังใหม่อยู่มาก แถมยังแตกเป็นรอยลึกจนกลายเป็นทางเดินเข้าไปในหน้าผาได้เลย

“ใช่ เมื่อหลายวันก่อนเกิดแผ่นดินไหวจนหน้าผาทางนี้ยุบลงมา”เจ้าสำนักว่าพลางเดินเข้าไปในซอกเขาที่เกิดจากการถล่มของหน้าผา

วูบ…ดวงตาของไป๋จูเหวินกลายเป็นสีทองพร้อมมองไปรอบๆอย่างสนใจ ชั้นนอกของหน้าผาเป็นหินควอตซ์สีเขียว ทำให้ดูเหมือนหยกมากทีเดียว แต่ถึงจะไม่ใช่หยกจริงแต่การมีหินควอตซ์จำนวนมากมาเกาะกลุ่มกันจนเป็นหน้าผาสีเขียวเช่นนี้ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อมากแล้ว

กึก..ขาของเจ้าสำนักหยุดชะงักลงเมื่อเดินมาถึงจุดๆหนึ่งของซอกเขา เหนือหัวของไป๋จูเหวินไป 2 เมตรปรากฏถ้ำขนาดใหญ่ที่เจาะลึกเข้าไปในผาหยก ท่าทางอสูรที่เจาะเข้าไปจะตัวใหญ่ใช่น้อย

“ที่นี่ล่ะ”เจ้าสำนักเขี้ยวมังกรว่าพลางกระโดดขึ้นไปบนปากถ้ำ ตัวไป๋จูเหวินเองพอขึ้นมาบนปากถ้ำก็สัมผัสได้ถึงพลังของอสูรที่อยู่ในถ้ำทันที แม้จะระดับสูงกว่าพวกอาจารย์อสูรจริงๆ แต่กลับยังไม่ใช่อสูรระดับหยก มันเป็นอสูรระดับทองขั้น 8 ซึ่งเหนือกว่าพวกอาจารย์อสูร 3 ถึง 4 ขั้น

“ตรงนี้เป็นหยกงั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองเข้าไปในถ้ำ แม้ข้างนอกจะเป็นหินควอตซ์แต่ด้านในกลับเป็นหยกเสียอย่างนั้น ท่าทางผาหยกจะพอเรียกได้ว่าผาหยกได้บ้างล่ะนะ

“มันเจาะหยกเข้าไปอย่างกับดิน”หยงเวยว่าพลางมองกำแพงด้วยท่าทีหวั่นๆ รอยเจาะถ้ำที่เห็นไม่เหมือนการเจาะถ้ำของมนุษย์เลย มันไม่เหมือนการเจาะด้วยสิ่ว แต่เหมือนใช้ของมีคมคว้านหยกออกมาเป็นก้อนๆ แต่บนพื้นกลับไม่มีเศษหยกอยู่เลย

“เข้าไปอีกหน่อยเถอะ”ไป๋จูเหวินและเจ้าสำนักเขี้ยวมังกรสามารถสัมผัสพลังอสูรได้จึงทราบดีว่าตัวอสูรอยู่ลึกเข้าในถ้ำมาก

“ตามมาช้าๆล่ะ”เจ้าสำนักเขี้ยวมังกรเดินนำเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง ตลอดทางมันพยายามหาร่องรอยเพื่อวินิจฉัยว่าอสูรที่อยู่ในถ้ำคืออสูรชนิดใด

“ท่านเจ้าสำนัก ข้างหน้าขอรับ”ไป๋จูเหวินว่าพลางชี้เข้าไปในถ้ำ ระยะสัมผัสของไป๋จูเหวินกว้างใกลกว่ามนุษย์คนอื่นๆหลายเท่า ไม่แปลกเลยที่มันจะสัมผัสได้ก่อนคนอื่น

“นี่มัน ใยแมงมุม…”เจ้าสำสำนักเขี้ยวมังกรว่าพลางเพ่งมองเข้าไปในถ้ำ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าตลอดทางหลังจากนี้เต็มไปด้วยใยแมงมุม

“แสดงว่าอสูรที่เจาะถ้ำเข้ามาเป็นอสูรแมงมุมสินะ”หยงเวยว่าพลางยื่นมือไปสัมผัสในแมงมุม

“หยงเวย อย่าสัมผัสมัน”เจ้าสำนักเขี้ยวมังกรห้ามหยงเวยที่จะสัมผัสใยแมงมุมเอาไว้ แต่เหมือนจะช้าเกินไปเสียแล้ว

“อะไรเนี่ย ทำไมมันเหนียวแบบนี้”ใยแมงมุมที่สัมผัสไปกลับไม่เหมือนใยแมงมุมตามบ้านเรือน มันเหนียวและยืดหยุ่นราวกับยางแถมยังเกาะติดมือของหยงเวยไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก ทำให้หยงเวยพยายามสะบัดแขนเพื่อให้ใยแมงมุมหลุดออกจากมือ

“อย่าขยับ อสูรแมงมุมมักใช้ใยของมันตรวจจับผู้บุกรุก ถ้าไปจับมันจะรู้ทันทีว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา”เจ้าสำนักว่าพลางหยิบอาวุธวิเศษออกมาจากแหวนมิติ แต่มีดของมันกลับตัดใยแมงมุมไม่ออก

“มันมาแล้ว”ไป๋จูเหวินพูดหลังจากสัมผัสได้ถึงจิตอสูรที่ใกล้เข้ามา พริบตานั้นดวงตาของไป๋จูเหวินเปลี่ยนเป็นสีแดงเพื่อรอรับศัตรูที่กำลังจะเข้ามา

ฟุบ!! อยู่ๆใยแมงมุมที่มือของหยงเวยก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างของหยงเหวยโดนดึงไปตามแรง โชคดีที่หยงเวยยังตั้งสติเอาไว้ได้พยายามใช้เท้ายันพื้นเอาไว้ไม่ให้ตนเองโดนดึงไป

ฉับ! ไป๋จูเหวินเรียกกระบี่เล่มหนึ่งออกมาก่อนจะตัดใยแมงมุมออกอย่างง่ายดาย เพราะไม่ทราบว่าอาวุธชิ้นอื่นๆจะตัดใยแมงมุมขาดหรือไม่ไป๋จูเหวินเลยเลือกอาวุธวิเศษระดับเดียวกับกระบี่ของอู๋หมิงออกมาตัดในทันที

ฟุบๆๆๆ ยังไม่ทันได้เห็นตัวแมงมุม อยู่ๆใยแมงมุม 4 สายก็พุ่งออกมาจากความมืด มันมันร่างของหยงเวยเอาไว้ 2 เส้นและตัวของไป๋จูเหวินเอาไว้ 2 เส้น ทำให้ไป๋จูเหวินรีบฟันในแมงมุมออกในทันที

“รีบไปเถอะ”ไป๋จูเหวินว่าพลางผลักร่างของหยงเวยออกไปพร้อมหันหลังหนีไปที่ทางออกของถ้ำแมงมุม

ฟุบ..ใยแมงมุมสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจับที่แขนของไป๋จูเหวินพอดิบพอดี มันมัดตรงข้อมือของไป๋จูเหวินจนมือที่ถือกระบี่วิเศษเอาไว้ขยับไม่ได้

“หนอย”ไป๋จูเหวินกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงดึงกลับไม่ยอมให้อสูรแมงมุมดึงร่างของมันไป

วูม..ไป๋จูเหวินใช้เคล็ดวิชาโลหิตมังกรออกมาพลางเกร็งกำลังบิดกระบี่เพื่อจะตัดสายของใยแมงมุมที่มัดมือของตนเอาไว้

พรึบ! อยู่ๆไป๋จูเหวินก็รู้สึกว่าแรงจากอสูรแมงมุมในถ้ำหายไปทำให้มือของมันเป็นอิสระทันที แต่อยู่ๆเหนือร่างของมันก็ปรากฏร่างของแมงมุมสีเขียวราวกับหยกปรากฏขึ้น มันใช้แขนทั้ง 8 ข้างดึงใยแมงมุมออกมาจากก้นของตนเอง ก่อนจะมัดร่างของไป๋จูเหวินเอาไว้ในพริบตา

“หนีไป”ไป๋จูเหวินตะโกนพลางส่งสายตาไปให้หยงเวยและเจ้าสำนัก อย่างน้อยมันก็ยังมีพลังทำให้อสูรหลงไหลอยู่ มันคงไม่เป็นอะไรแน่ๆ