บทที่ 102 ผ่าตัด - ได้พบหวังจิ่นหลิง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีกล่าวว่าดวงตาของจิ่นหลิงจะไม่มีวันมองเห็นได้อีก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉินอีกได้อย่างไร
พอถึงเวลานางขายหน้าเป็นเรื่องเล็ก แต่หน้าตาของตระกูลหวังและจิ่นหลิงไม่เหลือหลอแล้ว นั่นต่างหากที่จะเป็นเรื่องใหญ่
อวี่เหวินหยวนฮั่วกำลังจะบอกหวังซู่ว่านี่เป็นพระราชบัญชาของจักรพรรดิ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยก็ไม่มีทางอื่น แต่หวังจิ่นหลิงกลับปรากฏตัวขึ้นที่ประตูและพูดอย่างหนักแน่น “ท่านพ่อ ข้าเห็นด้วย ข้าเชื่อในตัวเฟิ่งชิงเฉิน นางจะต้องสามารถรักษาดวงตาของข้าได้อย่างแน่นอน”
พร้อมกับหวังชี หวังจิ่นหลิงเดินเข้ามาในห้องอย่างสง่างาม ท่าทางผ่อนคลายนั้นดูไม่ออกเลยว่าดวงตาของเขามีปัญหาและยิ่งดูไม่ออกว่าเขาถูกโจมตีด้วยเรื่องนี้
หวังจิ่นหลิง ชายผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นชายสูงศักดิ์ แม้แต่ในห้องที่ทรุดโทรมก็ไม่ได้บดบังความสง่างามของเขาได้เลย
หลังจากที่ทักทายอวี่เหวินหยวนฮั่วแล้ว หวังจิ่นหลิงก็นั่งลงตรงข้ามเฟิ่งชิงเฉิน
“ชิงเฉิน ในที่สุดข้าก็โล่งใจที่เห็นเจ้าออกมาจากหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตได้อย่างปลอดภัย”
“เฟิ่งชิงเฉิน หลายวันมานี้พี่ใหญ่ของข้ากังวลใจแทบแย่” วงชมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างตำหนิ
ถ้าเฟิ่งชิงเฉินไม่ออกมาอีก พี่ชายคนโตจะไปหาเจ้าหญิงอันผิง
“จิ่นหลิง ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องกังวล” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกผิด
“ชิงเฉินสบายดีก็พอแล้ว” หวังจิ่นหลิงยังคงมีรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า เขาไม่ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเขาทำอะไรเพื่อนางบ้าง
“ข้าสบายดี ข้าไม่ได้ถูกทรมานในหน่วยองครักษ์ ตอนนี้ข้าออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว ข้ากำลังปรึกษาใต้เท้าหวังเกี่ยวกับเรื่องการรักษาดวงตาของเจ้า” ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินแจ่มใสขึ้น แต่ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง
เรื่องที่เกิดขึ้นกับซุนยี่จิ่นคือบาดแผลในใจของนาง
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าน่าทึ่งยิ่งนักที่ไม่ได้รับการทรมานในหน่อยองครักษ์เสื้อโลหิต รีบบอกพวกเรามาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในนั้น” หวังชีรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินตั้งใจพูดเพื่อไว้หน้า
คุณชายตระกูลใหญ่ ใครบ้างเล่าจะไม่มากฝีมือ
หวังซู่ก็อยากรู้เรื่องนี้เป็นอย่างมากและจ้องไปที่หวังชี แต่ก็ไม่ได้ตำหนิเขา
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นดังนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตอีกครั้งและเน้นย้ำอีกครั้งว่านางรักษาอาการเจ็บป่วยของลู่เส้าหลินจนหาย
ส่วนเรื่องเป็นโรคอะไรนั้นไม่ได้กล่าวถึง
คนตระกูลหวังเข้าใจดีว่าเรื่องนี้ไม่ควรถาม
แต่ทว่าสิ่งที่หวังซู่สนใจกลับเป็นองค์ชายเก้า
เมื่อมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างครุ่นคิด ในใจเขาก็สงสัยว่าเขาจะสามารถติดต่อกับองค์ชายเก้าผ่านทางเฟิ่งชิงเฉินได้หรือไม่
ถ้าเขาสามารถเข้าเป็นพวกขององค์ชายเก้าได้ ตระกูลหวังต้องสามารถพลิกชะตากลับมาได้แน่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหวังซู่ก็ดีขึ้นเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินก็ดูน่าพึงพอใจขึ้นอีกเล็กน้อย
ไม่ว่าจะว่าอย่างไร หญิงสาวผู้ก็นี้ยังมีความสามารถอยู่บ้าง
หวังซู่หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาและถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ดูแล้ว แม่นางเฟิ่งมั่นใจว่าจะรักษาดวงตาของจิ่นหลิงได้เช่นนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นหวังซู่คลายความระมัดระวังตัวลง เฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ใต้เท้าหวัง ท่านวางใจได้เลย ชิงเฉินมีความมั่นใจถึงเกาส่วนว่าจะสามารถรักษาตาของคุณชายใหญ่ได้”
“ช่างมั่นใจเสียเหลือเกิน” แม้จะพูดเช่นนี้แต่หวังซู่กลับมีท่าทางสงบนิ่ง
“ชิงเฉินกล้าพูดเช่นนี้ย่อมมีความมั่นใจ ใต้เท้าหวัง ยามนี้ชิงเฉินย่อมไม่เอาชื่อเสียงของตระกูลหวังมาล้อเล่นแน่ ใต้เท้าหวังคิดว่าทำไมแม่ทัพอวี่เหวินจึงได้ปรากฏตัว?”
“ทำไมหรือ?”
“เพราะว่าเรื่องที่ชิงเฉินจะรักษาตาให้คุณชายใหญ่ได้มาถึงหูของฝ่าบาทแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขณะมองที่หวังซู่
แน่นอนว่าการแสดงออกทางสีหน้าของหวังซู่นั้นตื่นเต้นมาก ในที่สุดก็เพียงถอนหายใจ “เช่นนี้ตระกูลหวังก็คงไม่อาจปฏิเสธได้”
“ใช่” เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สามารถเช่นกัน
หวังซู่ลุกขึ้นยืน เขาดูเหมือนจะแก่ขึ้นทันทีในพริบตา แม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องระมัดระวังในการเผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉิน
“เช่นนั้น เรื่องดวงตาของจิ่นหลิงต้องรบกวนแม่นางเฟิ่งแล้ว”
“ใต้เท้าหวังโปรดวางใจ สามวันหลังจากนี้ ข้าต้องนำหวังจิ่นหลิงที่ร่างกายสมบูรณ์พร้อมคืนมาแน่”
เฟิ่งชิงเฉินตอบรับอย่างใจกว้าง
สามวันต่อมา ดวงตาของหวังจิ่นหลิงก็มองเห็นได้
สามวันต่อมา นางจะได้มีหน้าไปพบซุนยี่จิ่น!
เรือนด้านข้างของจวนเฟิ่ง
ในห้องที่ทำจากไม้สองห้องมีเพียงเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงเพียงสองคน ด้านนอกมีทหารคอยเฝ้าโดยไม่ให้คนเข้าใกล้ในระยะสิบเมตร
ฝั่งตรงข้ามของห้องไม้มีโต๊ะเรียงเป็นแถว คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่อวี่เหวินหยวนฮั่วไล่ไม่ไป
หวังซู่และซูเหวินชิงบอกว่าพวกเขาจะอยู่ด้วย นอกจากนี้เมื่อปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินจะรักษาดวงตาของหวังจิ่นหลิง เขาก็ถึงกับบอกว่าเป็นไปไม่ได้และรีบมาที่จวนเฟิ่งพร้อมขอติดตามเข้าไปด้วยเพื่อเฝ้าดูกระบวนการการรักษาทั้งหมดของเฟิ่งชิงเฉิน
นี่ไม่ใช่คนแรกที่ออกปาก แต่ตัวตนของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีทำให้ทุกคนไม่กล้าที่จะเมินเฉยและรีบเรียกเฟิ่งชิงเฉินออกมา
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเป็นคนที่ใจกว้างอย่างยิ่ง ไม่เหมือนหมอคนอื่นๆ ที่หยิ่งผยองยามที่พบเฟิ่งชิงเฉินและสั่งให้นางรักษาต่อหน้าเขาโดยตรง
ยามที่เผชิญหน้ากับคนประเภทนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สนใจแม้แต่จะมองและเอ่ยอ้างถึงฮองเฮาและหลานจิ่วชิงทันที
ต้องการดูกระบวนการรักษาทั้งหมดของนางงั้นหรือ?
ย่อมได้ มีคำสั่งจากองค์ชายเก้าหรือไม่? ไม่มี? เช่นนั้นมีคำสั่งจากฮองเฮาหรือไม่? ก็ไม่มี? หากไม่มีอะไรเลยแล้วมีสิทธิ์อะไรมาสั่งนาง?
ท่าทางหยิ่งผยองของเฟิ่งชิงเฉินทำให้เหล่าแพทย์ขุ่นเคืองใจโดยตรง แต่ละคนบอกว่าแม้นางจะมีฝีมือทางการแพทย์ แต่นางกลับไร้จรรยาบรรณ
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย
คนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการดูการรักษาของนางจริงๆ หรอก พวกเขาเข้ามาขัดแข้งขัดขาต่างหาก
นางไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันความรู้ทางการแพทย์ของนางกับผู้อื่น แต่นางรำคาญผู้ที่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีนั้นมีฐานะสูงกว่าหมอทั่วไปเสียอีก เมื่อพบเฟิ่งชิงเฉิน เขาก็เคารพตามมารยาทของคนฐานะเสมอกันอย่างสุภาพแล้วถามว่านางจะรักษาอย่างไร เขาสามารถร่วมอยู่ดูได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งยินดีที่จะเป็นผู้ช่วยของนาง
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีหมกมุ่นอยู่แต่กับวิชาแพทย์จริงๆ แต่นางก็ยังคงปฏิเสธอย่างสุภาพโดยบอกว่าจะมีโอกาสที่นางจะบอกเขาในอนาคต นางก็สนใจวิธีการปลูกต้นไม้ด้วยวเช่นกัน
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีก้รู้สึกตื่นเต้นมาก เขายังพูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่คำนึงถึงโอกาส
เฟิ่งชิงเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก…
จากนั้นก็มีหมอหลวงและหมอเดิมที่เคยรักษาโรคตาให้หวังจิ่นหลิง หลังจากได้ยินข่าวพวกเขาก็รีบมาเช่นกัน
คนเหล่านี้ล้วนรับราชการ ไม่เหมือนกับปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีที่เหตุผลถึงเพียงนั้น บางคนถึงกับข่มขู่เฟิ่งชิงเฉินว่าพวกเขาจะไปขอพระราชโองการมาจากองค์จักรพรรดิเมื่อไรก็ได้
เฟิ่งชิงเฉินจะกระแทกประตูปิดใส่พวกเขาโดยตรง แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนของหลานจิ่วชิงแล้ว นางก็เพียงปฏิเสธอย่างสุภาพโดยอ้างว่าดวงตาของหวังจิ่นหลิงสำคัญมากและไม่สามารถถูกรบกวนได้ อีกทั้งยังให้พวกเขากลับไปแล้วค่อยกลับมาในอีกสามวันต่อมาหลังจากที่ดวงตาของหวังจิ่นหลิงหายดีแล้ว
ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเป็นคนที่ใจกว้างอย่างยิ่ง ไม่เหมือนหมอคนอื่นๆ ที่หยิ่งผยองยามที่พบเฟิ่งชิงเฉินและสั่งให้นางรักษาต่อหน้าเขาโดยตรง
เดิมคนที่มาล้วนเป็นหมอที่เก่งกาจมีความเฉพาะเจาะจงอย่างมากในสไตล์การรักษา มีหรือที่จะยอมทำเช่นนั้น แต่เฟิ่งชิงเฉินเด็ดขาดเป็นอย่างมาก นางลงกลอนประตูโดยตรง ให้อวี่เหวินหยวนฮั่วคอยเฝ้าและไม่สนใจโลกภายนอกอีก
ทุกคนล้วนต้องการที่จะมองเห็นด้านในเล็กน้อยผ่านหน้าต่างกระจก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็เตรียมพร้อมแล้ว ฟึ่บ… ม่านถูกปิด คนภายนอกมองไม่เห็นอะไรเลย
“เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ทำเกินไปแล้ว นางกลัวพวกเราขโมยวิชาหรือ?” หมอชาผู้มีเคราขาวโกรธจนเคราของเขาสั่นเทา
“เด็กน้อยเอ๋ย จะทำได้เพียงใดกันเชียว ข้าจะรอดู รอวันถอนรากถอนโคนนาง”