ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเสียจนอาไป๋และอสูรตัวอื่น ๆ กล่าวสิ่งใดไม่ออก
สำหรับความแข็งแกร่งของซิวผู้ซึ่งเป็นอสูรแห่งโชคชะตาของฉินอวี้โม่นั้นไม่มีสิ่งใดจะต้องกล่าวถึงกันอีก เพราะแม้แต่ยอดฝีมือจากอดีตกาลอย่างมารทรชนก็ยังถูกพลังเพลิงอันร้อนแรงของซิวหลอมจนวิญญาณสลายไป
“ยินดีที่ได้พบเทพอสูร”
เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าเทพแห่งปวงอสูรเช่นนี้ หงส์แดง กระเรียนขาวบรรพกาล และคชสารโลหิตก็พบว่าตนมิอาจต้านทานได้เลย สามอสูรผู้ยิ่งใหญ่คุกเข่าลงด้วยความเคารพ แรงกดดันจากพลังและความน่าเกรงขามทำให้พวกมันยอมศิโรราบแต่โดยดี
ถึงแม้ทั้งสามจะรับรู้พลังของซิวได้เพียงเศษเสี้ยว อีกทั้งความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็อาจจะไม่ได้ทิ้งห่างพวกมันมากนัก ทว่าแรงกดดันเฉพาะตัวของเทพอสูรตนนี้ก็ยังทำให้พวกมันที่เป็นถึงอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิยากที่จะหายใจ
หากเทียบกันแล้วเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่ดูผ่อนคลายกว่าจักรพรรดิอสูรทั้งสามมาก นั่นเป็นเพราะพวกมันล้วนแต่รู้จักและเคยมีปฏิสัมพันธ์กับซิวมาก่อนหน้านี้จึงทำให้คุ้นชินกับ *‘ความรู้สึกกดดันจนทำอะไรไม่ถูก’*และคิดเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม สายตาที่ใช้มองซิวของอสูรทั้งหลายในสังกัดอวี้โม่ก็ยังคงเต็มไปด้วยเคารพยำเกรง และพวกมันก็ยังคงไม่กล้าเปิดปากกล่าวเรื่องไร้สาระเมื่ออยู่ต่อหน้าอสูรแห่งโชคชะตาของนายหญิงตนนี้อยู่ดี
แม้แต่หานอวี้ที่เป็นถึงมังกรทองห้าเล็บเองก็ยังรู้สึกกดดันเมื่อร่างที่แท้จริงของ *‘พี่ซิว’*ปรากฏ เจ้ามังกรน้อยทนรับแรงกดดันที่ทำให้มันปวดหัวไม่ไหวจึงต้องรีบหลบเข้าไปซ่อนในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่
“ลุกขึ้นเถอะ”
ซิวกล่าวเสียงเรียบนิ่ง “เรื่องตัวตนของข้าและนายหญิงของข้า พวกเจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าต้องทำเช่นไร ?”
ไม่ว่าจะเรื่องเป็นตัวตนของเทพอสูรหรือเรื่องตัวตนแห่งผู้ครองกายเทพมายาก็ไม่ควรจะปล่อยให้รู้ถึงหูคนภายนอก หากว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก็อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายอันหนักหน่วงขึ้นได้ ยิ่งกว่านั้นในเวลานี้ทั้งฉินอวี้โม่และซิวก็ยังถือว่าอ่อนแออยู่มาก ทั้งสองคงไม่สามารถรับมือกับอันตรายหลากหลายรูปแบบที่จะกล้ำกรายเข้ามาได้เป็นแน่
“ท่านเทพมายาโปรดทำพันธสัญญากับข้าด้วย”
อาไป๋เอ่ยวาจาร้องขอให้ฉินอวี้โม่ทำพันธสัญญากับตนด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ การเรียกฉินอวี้โม่ด้วยถ้อยคำดังกล่าวไม่ถือว่าผิด ในตอนนี้นางคือผู้สืบทอดกายเทพมายาหรือก็คือเทพมายาคนปัจจุบัน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่แม้แต่อดีตนักฆ่าสาวก็ปฏิเสธไม่ได้
สามจักรพรรดิอสูรสวรรค์นั้นเข้าใจความหมายของซิวเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของซิวหรือตัวตนของฉินอวี้โม่ก็จะปล่อยให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้ และยังเข้าใจดีอีกด้วยว่า การที่ซิวกล่าวเช่นนั้นมีเจตนาเพียงต้องการให้พวกมันรักษาความลับโดยไม่คิดจะใช้กำลังบีบบังคับให้มันต้องสวามิภักดิ์แต่อย่างใด กระนั้นอาไป๋ก็ออกปากร้องขอผูกพันธสัญญา มันยินยอมเป็นอสูรในพันธสัญญาของฉินอวี้โม่ด้วยความสมัครใจ
เพราะการทำเช่นนี้ส่งผลดีต่อทุกฝ่าย ประการแรกคือช่วยให้ฉินอวี้โม่และซิววางใจได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งสองไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหล
ประการที่สองคือ การได้ทำพันธสัญญากับผู้มีกายเทพมายาถือเป็นความใฝ่ฝันของเหล่าอสูรมายาจำนวนมาก เพราะกายเทพมายาจะมอบประโยชน์ให้กับอสูรผู้อยู่ภายใต้พันธสัญญาอย่างมหาศาล แม้แต่อสูรที่แข็งแกร่งอย่างกระเรียนขาวบรรพกาลก็ยังยากจะปฏิเสธ ยิ่งกว่านั้นอสูรแห่งโชคชะตาของฉินอวี้โม่ก็ยังเป็นถึงเทพอสูร การได้ร่วมรบ ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเทพอสูรนับเป็นเกียรติยศอันล้ำค่าแห่งเผ่าพันธุ์อสูรทั้งปวง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ หงส์แดงที่เป็นสหายที่ดีที่สุดของมันก็กลายเป็นอสูรของฉินอวี้โม่ไปแล้ว ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้อาไป๋ตัดสินใจเช่นนี้
“หากว่าท่านไม่รังเกียจ ข้าเองก็อยากจะเป็นอสูรของท่าน”
เพลิงเอ่ยขึ้นมาบ้าง คชสารโลหิตตนนี้มีปัญญาปราดเปรื่องไม่แพ้กระเรียนผู้เป็นสหาย เมื่อได้คิดพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว มันก็ตัดสินใจได้ นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวมันเองเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำขอของอาไป๋และเพลิง ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปด้วยความตกใจ ทว่านางก็ไม่คิดคัดค้าน
ไม่ว่าจะเป็นอาไป๋หรือเพลิงก็จัดเป็นอสูรมายาระดับสูงด้วยกันทั้งคู่ พวกมันคือราชาในหมู่อสูรสวรรค์ ถือครองอำนาจที่อสูรมากมายล้วนยำเกรง แม้แต่ตัวนางในตอนนี้ก็ยังไม่อาจต้านทานได้ สำหรับฉินอวี้โม่แล้วย่อมไม่อาจปฏิเสธเรื่องดี ๆ เช่นนี้ได้ลง
ซิวพยักหน้าด้วยความยินดี อันที่จริงนี่เป็นผลลัพธ์ที่ตรงกับความคิดของมังกรผู้ยิ่งใหญ่มากที่สุด เดิมทีมันอยากให้เรื่องราวลงเอยแบบนี้ ทว่าหากจะให้ใช้กำลังบีบบังคับกันซึ่ง ๆ หน้าก็เกรงจะไม่เหมาะสม อีกอย่างฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่แสดงออกว่าปรารถนาจะทำพันธสัญญากับกระเรียนขาวบรรพกาลและคชสารโลหิตมาก่อนด้วย การที่อสูรทั้งสองตนตัดสินใจร้องขอเองเช่นนี้ถือว่าตรงใจมังกรระดับเทพอสูรยิ่งนัก
ฉินอวี้โม่ทำพันธสัญญากับอาไป๋และเพลิงโดยไม่รอช้า
เนื่องด้วยทั้งอาไป๋เพลิงต่างเป็นจักรพรรดิอสูรสวรรค์ทั้งคู่ หลังจากทำพันธสัญญากับพวกมันแล้ว ระดับพลังของฉินอวี้โม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่เดิมที่อยู่ขอบเขตมายาบรรพชนแปดดาราก็ก้าวขึ้นมาสู่เก้าดารา ยิ่งไปกว่านั้นบนฝ่าเท้าบางยังปรากฏสัญญาณที่บ่งบอกว่าพลังของนางแตะเข้าสู่ขอบเขตถัดไปได้ครึ่งก้าวแล้ว
“นายหญิง ท่านควรจะไปที่นั่น”
ซิวเอ่ยปากพลางหันไปมอง ณ จุดที่เคยเป็นที่ตั้งของบัลลังก์สีทองกลางห้อง
ในเวลานี้ ณ จุดนั้นมีหลุมที่ลึกจนสุดจะหยั่งปรากฏอยู่ ทว่าแม้จะลึกจนมองไม่เห็นก้นแต่กลับไม่ได้มีขนาดใหญ่โตเท่าที่ควร เรียกได้ว่า หน้าตาของมันดูแปลกประหลาดไม่น้อยเลย
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่อซิวออกปากเช่นนั้น นางก็เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวต้องมีบางสิ่งที่ดีต่อตัวนาง ไม่แน่ว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกหานางอยู่และเป็นกุญแจแห่งความลับของดินแดนแห่งนี้ หรือแม้กระทั่งอาจเป็นกุญแจไขความลับของเทพมายาคนก่อน
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ตอนนี้ผนึกถูกทำลายแล้ว อย่าให้ผู้ใดเข้ามารบกวนพวกเราโดยเด็ดขาด”
ซิวกล่าวพลางคว้าแขนของฉินอวี้โม่ ก่อนที่ทั้งคู่จะกระโดดหายเข้าไปในหลุมลึกต่อหน้าต่อตาอาไป๋และอสูรทั้งหลาย
อาไป๋และอสูรตัวอื่น ๆ พยักหน้ารับคำก่อนจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทันทีที่ร่างของนายหญิงและเทพอสูรลับไปจากสายตา พวกมันก็ไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของทั้งสองได้อีกแล้ว
…
ลึกลงไปใต้พิภพ ขณะนี้ฉินอวี้โม่และซิวกำลังยืนประจันหน้าอยู่กับประตูขนาดใหญ่บานหนึ่ง
“นายหญิง เข้าไปกันเถอะ”
ซิวเอ่ยเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับส่งสัญญาณให้ฉินอวี้โม่เดินผ่านประตูที่อยู่ตรงหน้า
ดูเหมือนจุดที่ฉินอวี้โม่และซิวยืนอยู่ในเวลานี้คือโถงถ้ำใต้ดินที่ใช้เป็นสถานที่ผนึกวิญญาณของมารทรชน ทว่าเมื่อกวาดตามองสำรวจโดยรอบ อดีตนักฆ่าสาวกลับพบว่ามันเป็นเพียงโถงถ้ำว่างเปล่าที่ไม่มีสิ่งใดพิเศษ
ทั้งโถงถ้ำมีเพียงประตูบานเดียวที่ดูสะดุดตา มันตั้งอยู่บนผนังฟากหนึ่ง ด้วยความกลมกลืนกับผนังและพื้นผิวเรียบไร้ที่จับ มันจึงดูไม่ต่างจากประตูลับที่ใช้กลไกพิเศษในการเปิดปิด อย่างไรก็ตาม ความโดดเด่นท่ามกลางความว่างเปล่าก็ทำให้ไม่อาจใช้คำว่า ‘ลับ’ ได้เต็มปาก แต่เรื่องที่แน่นอนก็คือประตูบานนี้จะต้องเป็นสิ่งที่เทพมายาทิ้งเอาไว้เมื่อหลายพันปีก่อน และพื้นที่ภายในนั้นก็อาจจะเป็นที่ซุกซ่อนบางสิ่งบางอย่างที่นางหลงเหลือเอาไว้
เป็นอย่างที่คาด เมื่อฉินอวี้โม่เดินเข้าไปใกล้และจงใจใช้ด้ามกระบี่ผลักดันบานประตูก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่าเมื่อลองใช้มือเปล่าสัมผัสบานประตูกลับขยับเปิดอย่างง่ายดาย เรื่องนี้ชี้ชัดว่าประตูบานนี้ถูกลงผนึกพิเศษเอาไว้ ซึ่งผนึกดังกล่าวจะตอบรับเฉพาะบุคคลที่ครอบครองกายเทพมายาเท่านั้น
ฉินอวี้โม่ค่อย ๆ ใช้มือผลักบานประตูให้เปิดอ้าออก
ระหว่างช่วงเวลาที่ฝ่ามือบางสัมผัสบนบานประตู สตรีผู้ครองกายวิเศษก็รู้สึกราวกับว่าพลังภายในร่างกายหมุนวนอย่างบ้าคลั่งและพุ่งเข้าเชื่อมต่อกับประตูตรงหน้าในทันที ขณะเดียวกันความรู้สึกที่ว่าวิญญาณของนางกำลังถูกสิ่งที่อยู่หลังประตูบานนี้ดึงดูดและเพรียกหาก็ปะทุขึ้นท่วมท้น บัดนี้หัวใจดวงน้อยกำลังเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้
ทันใดนั้น สิ่งที่อยู่หลังประตูประหลาดก็เผยออกสู่สายตา
เบื้องหน้าของฉินอวี้โม่ขณะนี้ปรากฏเป็นห้องปิดทึบขนาดเล็กที่ดูแสนธรรมดา ตรงกลางห้องมีโต๊ะธรรมดา ๆ หนึ่งตัวและเก้าอี้ที่ธรรมดาเช่นเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งจัดวางอยู่โดยรอบ มีสิ่งเดียวที่ไม่ธรรมดาก็คือ ด้านบนของโต๊ะมีกล่องไม้ขนาดเล็กวางอยู่ แม้จะกะประมาณด้วยสายตาจากระยะไกลก็ทราบได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง
“ท่านต้องเข้าไปด้วยตัวเอง ข้าจะคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก”
ดูคล้ายซิวจะทราบข้อมูลบางสิ่ง เพียงแต่มันไม่คิดจะบอกแก่ฉินอวี้โม่ อสูรแห่งโชคชะตาทำเพียงแย้มรอยยิ้มจริงใจแล้วออกปากบอกให้สตรีผู้ที่มันเรียกขานว่าเป็นนายเข้าไปด้านในด้วยตนเอง
ฉินอวี้โม่ก้าวเข้าไปภายในห้องนั้นอย่างไม่ลังเล
ทันทีที่นางข้ามผ่านเข้ามา ประตูห้องก็ปิดลงอย่างช้า ๆ
น่าแปลกยิ่งนัก ที่นี่คือห้องใต้ดินปิดทึบ ไม่มีหน้าต่างหรือช่องทางระบายอากาศ มากกว่านั้นยังไม่มีแหล่งกำเนิดแสง แต่ทว่าภายในกลับสว่างไสวไร้เงามืด อีกทั้งแม้ว่าประตูจะปิดสนิทแต่กลับไม่ได้ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกอึดอัดหรือหายใจไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่ได้เห็น อดีตนักฆ่าก็รู้ทันทีว่าความลับทั้งหมดจะต้องอยู่ภายในกล่องเล็ก ๆ ที่อยู่บนโต๊ะหน้าตาธรรมดานั้นเป็นแน่ นางเดินตรงไปยังจุดที่อยู่กลางห้องแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งโดยไม่ลังเล และเอื้อมมือออกไปสัมผัสกล่องไม้ใบเล็ก
หลังจากทดลองสัมผัสและมั่นใจว่าไม่มีอันตรายใด ๆ แล้ว มือบางก็ค่อย ๆ เปิดฝากล่องช้า ๆ สิ่งที่อยู่ภายในกล่องไม้งดงามนั้นเป็นวัตถุทรงกลมขนาดเล็กลูกหนึ่ง
ทันทีที่หยิบลูกกลมในกล่องไม้ขึ้นมา มันก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า เพียงชั่วพริบตาเงาร่างของหญิงสาวเลอโฉมผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
กลิ่นอายของเงาร่างมายาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าให้ความรู้สึกคุ้นเคยต่อฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็นึกถึงตัวตนของคนผู้นี้ได้
“ผู้อาวุโส เป็นท่านเองหรือ”
สตรีผู้นี้ก็คือหญิงสาวลึกลับที่ฉินอวี้โม่เคยพบเจอเมื่อแรกมาเยือนโลกใบนี้
จากการปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด หากคาดเดาไม่ผิด ผู้ที่นำพาวิญญาณของฉินอวี้โม่ในศตวรรษที่ 21 ข้ามมาสิงสถิตในร่างคุณหนูสี่ตระกูลฉินในโลกมายาใบนี้และยังบอกด้วยว่าร่างกายใหม่ของนางคือกายเทพมายาก็น่าจะเป็นสตรีตรงหน้า ที่ผ่านมาฉินอวี้โม่ทราบเพียงแต่ว่าบุคคลลึกลับผู้นี้แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ และนับตั้งแต่วันนั้นนางก็คิดอยู่เสมอว่าอาจจะต้องได้พบเจอกับผู้อาวุโสผู้นี้ในสักวันหนึ่ง แต่ก็ไม่นึกว่าจะได้พบเจอเร็วถึงเพียงนี้
“หึ ๆ ๆ สาวน้อย พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
ผู้อาวุโสโฉมงามหัวเราะ วาจาและน้ำเสียงที่ใช้ราวกับคาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่ก่อนแล้ว และบัดนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนการที่นางวางเอาไว้
“พรสวรรค์ของเจ้าสูงกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มาก เจ้ามาถึงจุดนี้ได้เร็วกว่าที่ข้าคิดมากทีเดียว”
นางคิดว่า กว่าดรุณีน้อยตรงหน้าจะมาถึงที่นี่ได้ก็คงต้องรอให้นางก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ทูตสวรรค์เป็นอย่างน้อย และอย่างเร็วสุดก็อาจจะต้องรอคอยถึงสามหรือสี่ปี
อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่นับว่าสูงกว่าที่ตัวผู้อาวุโสสาวคาดคิด ใช้เวลาเพียงสองปี สตรีผู้เป็นความหวังก็มายืนอยู่ที่นี่ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นระดับพลังของดรุณีน้อยตรงหน้าก็เริ่มแตะเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์แล้วด้วย ถือว่าน่าพึงพอใจโดยแท้จริง
“ผู้อาวุโส ท่านคือเทพมายาใช่หรือไม่ ?”
แม้ว่าจะมั่นใจอยู่แล้ว ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังอดถามคำถามนี้ไม่ได้
แม้ว่านางจะไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสลึกลับเบื้องหน้าได้ชัดเจนนัก แต่ดูไปแล้วก็คลับคล้ายว่าจะเป็นเงาร่างสตรีวัยแรกรุ่นคนหนึ่ง ที่สำคัญยังเป็นสตรีที่มีร่างกายที่ดูเล็กและบอบบางอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อรูปลักษณ์บ่งชี้ว่านางเป็นเพียงสตรีอรชรอ่อนเยาว์ การจะให้เชื่อว่าคนตรงหน้าคือเทพมายาผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตจึงค่อนข้างจะตะขิดตะขวงใจสักหน่อย
“ฮิ ๆ ๆ เด็กไร้เดียงสา ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า”
สตรีผู้นั้นหัวเราะก่อนจะกล่าว “เอาเถอะสาวน้อย นั่นคือสิ่งที่ข้าทิ้งไว้ ข้าจะไม่เสียเวลาอธิบายอะไรมากนัก แสงที่อยู่ภายในก้อนกลมนั้นมีเศษเสี้ยวของพลังที่ข้าเหลือเอาไว้บนโลก มันถือเป็นมรดกของข้า เจ้าสามารถดูดซับมันในภายหลังได้ และยิ่งเจ้าดูดซับมันได้มากเท่าไหร่ มันก็จะเป็นประโยชน์กับเจ้าอย่างมหาศาล…”
เทพมายาบอกเล่าวิธีการดูดซับพลัง สิ้นคำสอนนั้นนางก็หยุดลงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยประโยคต่อไป “หลังจากที่เจ้ารับมรดกชิ้นนี้ไปแล้ว ผนึกขั้นที่สองของกายเทพมายาของเจ้าก็จะถูกคลายออก แน่นอนว่าเจ้าจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นได้เอง”
ฉินอวี้โม่ตั้งใจฟังผู้อาวุโสกล่าวทุกถ้อยคำ ขณะเดียวกันนางก็พยักหน้ารับคำด้วยความนอบน้อม เมื่อพยายามจินตนาการและร้อยเรียงเรื่องราว คำถามหลากหลายก็ผุดพรายขึ้นมาในใจ ยิ่งไปกว่านั้นอดีตนักฆ่าสาวก็เริ่มคาดเดาถึงสมมติฐานบางอย่างได้
“ท่านเทพ ตอนนี้ตัวตนจริง ๆ ท่านอยู่ที่ไหน ? แล้วท่านสบายดีใช่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอื้อนเอ่ยคำถามที่นางกำลังสงสัยที่สุดออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่สามารถตอบคำถามนี้ของเจ้าได้หรอก แต่วันใดที่เจ้าแข็งแกร่งพอ เจ้าก็จะรู้คำตอบได้เอง”
เทพมายาหัวเราะเสียงดังก่อนจะเอ่ยถ้อยคำเป็นปริศนาแทนการตอบคำถาม นางปล่อยให้บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงันอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ
“สาวน้อย จำเอาไว้ ในตอนนี้ตัวเจ้าคือเทพมายาคนใหม่ ส่วนข้าไม่ใช่อีกแล้ว ข้ารู้ดีว่าเจ้ามีหลายเรื่องที่ต้องจัดการและยังมีเรื่องอันตรายและท้าทายรอคอยอยู่เบื้องหน้านับไม่ถ้วน แต่ข้าไม่อาจและไม่สมควรกระทำการใดที่เป็นการช่วยเหลือเจ้า เจ้าต้องพึ่งพาพลังของตนเอง ตัวข้าจะทำเพียงอวยพรเจ้าเท่านั้น และข้าก็ภาวนาให้เจ้าโชคดี”
เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งมั่นใจว่าเทพมายาได้วางแผนการทั้งหมดเอาไว้ และเวลานี้ทุกอย่างก็กำลังดำเนินไปตามแผนของนางอย่างไม่ผิดเพี้ยน สตรีผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้คือผู้กุมความลับทุกสิ่ง ทว่าไม่ทราบเพราะเหตุผลใดคนผู้นี้จึงไม่ยอมเปิดปากบอกเล่า
หลังจากเงียบนิ่งไปอีกชั่วขณะ สตรีอาวุโส อดีตผู้เคยครอบครองกายเทพมายาก็เอ่ยอีกประโยคด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม
“ข้าวางผนึกเอาไว้ในร่างกายของเจ้าทั้งหมดสามขั้น ตอนนี้เจ้ายังคลายผนึกได้เพียงขั้นแรก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าคลายผนึกทั้งสามได้โดยสมบูรณ์ เจ้าจะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกายเทพมายา
สาวน้อย เรื่องทั้งหมด ‘ถูกลิขิต’ เอาไว้แล้วและไม่อาจแปรผัน หน้าที่ของเจ้าคือต้องรีบฝึกฝนให้หนักและแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”
สตรีลึกลับกล่าววาจาทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่เงาร่างของนางจะหายวับไปทันทีราวกับไม่เคยมีอยู่ แม้แต่กลิ่นอายที่เคยอบอวลอยู่ก็มลายไปสิ้น
ฉินอวี้โม่ตกตะลึง นางไม่เข้าใจความหมายของวาจาทิ้งท้ายของเทพมายาเมื่อครู่ เรื่องทั้งหมดถูกลิขิตเอาไว้แล้วอย่างนั้นหรือ ? ลิขิตอะไร ? ใครกำหนด ? แล้วมันเป็นเรื่องราวแบบไหนกัน ? หากอดีตนักฆ่าสาวตีความไม่ผิด นั่นก็หมายความว่า การที่วิญญาณของนางข้ามมายังโลกมายาแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างนั้นหรือ ?
เวลานี้ในหัวของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยคำถาม ตั้งแต่ได้พบเจอกับเทพมายามา ความสงสัยของนักฆ่าในร่างคุณหนูก็มีแต่โถมทวีมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนก็คือ*‘มีปมปริศนาอันยิ่งใหญ่กำลังรอคอยให้นางคลี่คลายอยู่เบื้องหน้า’*
แต่ถึงแม้ตอนนี้ในหัวจะมีเรื่องที่ชวนสับสนและสงสัยอยู่มากมาย ทว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่มีเวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับมันมากนัก ยิ่งกว่านั้นเรื่องบางเรื่องถึงจะขบคิดเพียงใดเวลานี้ก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อเทพมายาบอกแล้วว่าขอเพียงนางแข็งแกร่งขึ้นก็จะรู้ได้ เช่นนั้นหนทางเดียวที่ทำได้ก็คือ ฉินอวี้โม่จะต้องพยายามฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดรอคอยอยู่เบื้องหน้าก็คงมีแต่ต้องพุ่งชนเท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น คุณหนูสี่ก็ปัดความคิดวุ่นวายในใจทิ้งไปก่อนจะยกก้อนกลมที่เปล่งแสงได้นั้นขึ้นมาดู
และทันทีที่สัมผัสมัน นางก็รู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ในก้อนกลมนี้
คุณหนูสี่ตระกูลฉินนั่งลงก่อนจะตั้งสมาธิแล้วทำตามวิธีการที่เทพมายาสอนเอาไว้ นางส่งพลังวิญญาณเข้าไปภายในก้อนกลมนี้อย่างช้า ๆ แล้วดึงเอาพลังงานที่อยู่ภายในให้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย
ต้องบอกว่าความเร็วในการส่งผ่านและถ่ายเทพลังของฉินอวี้โม่ทำได้อย่างเชื่องช้ามาก อีกทั้งภายในก้อนกลมเปล่งแสงก็มีพลังที่มากเกินกว่าคำว่ามหาศาล ดังนั้นแล้วกระบวนการนี้จึงกินเวลายาวนานยิ่งยวด
….
ที่อีกฟากหนึ่งของบานประตูมีซิวเฝ้าอยู่ ในยามนี้เทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่กำลังตั้งสมาธิไหลเวียนพลังของตนเองไปพร้อม ๆ กับการถ่ายเทพลังงานจากภายในก้อนแสงเข้าสู่ร่างกายของนายหญิง
เพียงชั่วพริบตาหนึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป
ในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ ฉินอวี้โม่ยังดำเนินกระบวนการเดิมซ้ำ ๆ โดยไม่หยุดพัก นางหลับตาแน่นและตั้งสมาธิราวกับหลับใหล ร่างกายของนางไร้การเคลื่อนไหวราวกับจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก และกระบวนการดังกล่าวก็ทำให้คุณหนูสี่ตระกูลฉินไม่อาจทราบเลยว่า ‘มีเรื่องราวใหญ่โตบางอย่างเกิดขึ้นที่โลกภายนอกแล้ว’
.