ตอนที่ 198 วิกฤตการณ์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

นครไป๋อวิ๋นที่แต่เดิมเคยครึกครื้นมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บัดนี้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น ความหดหู่และเศร้าหมองปกคลุมไปทั่วทุกอณูในพื้นที่ กล่าวได้ว่าในยามนี้บรรยากาศทั่วทั้งเมืองดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

ไม่เพียงบนท้องถนนจะร้างไร้ผู้คนสัญจรไปมาเท่านั้น ทว่าแม้แต่สถานที่ที่เคยเป็นศูนย์รวมเหล่าจอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเช่น โรงประมูลใหญ่หรือตามสมาคมใหญ่น้อยก็ยังไม่ปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ให้เห็น

….

ณ ฝั่งตะวันตกแห่งนคราที่เคยเรืองรอง ภายในที่ตั้งของจวนตระกูลฉิน ผู้เฒ่าฉินเฟินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่โดยมีผู้นำตระกูลโอวหยาง–โอวหยางเจวี๋ย และผู้นำตระกูลเหล่ย–เหล่ยเจิ้น นั่งอยู่ถัดมา

สีหน้าของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามดูไม่สู้ดีนัก คิ้วของแต่ละคนขมวดเป็นปมแน่น ใบหน้าอาวุโสของบุคคลที่ซึ่งเป็นถึงผู้นำแห่งสามตระกูลใหญ่ยับยุ่งบ่งบอกถึงความกังวลใจที่พวกเขามีได้เป็นอย่างดี

ไม่กี่วันที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรขนาดเล็กกลุ่มหนึ่งที่แต่งตั้งขึ้นจากสามตระกูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นถูกส่งออกไปไล่ล่าสะกดรอยกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่บุกโจมตีพวกเขาในนครไป๋อวิ๋นก่อนหน้านั้น ทว่าทั้งสามตระกูลก็ต้องพบเจอกับข่าวร้าย เมื่อกลุ่มพันมิตรกลับมาพร้อมความล้มเหลว ซ้ำร้ายยังเสียหายอย่างหนักหน่วง

กองกำลังฝ่ายตรงข้ามโหดเหี้ยมอำมหิตไร้ปรานี มันสังหารกลุ่มพันธมิตรในทันทีที่พบเจอ ผู้ที่รอดชีวิตบอกเล่าว่าพวกมันแข็งแกร่งมาก ความแข็งแกร่งนั้นเหนือชั้นยิ่งกว่าหลายตระกูลใหญ่ในนครหลวงแห่งนี้นับสิบเท่า

สมาชิกในกลุ่มพันธมิตรจำนวนมากกว่าแปดส่วนต้องจบชีวิตลง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หนีรอดกลับมาได้ ทว่าหลายคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส บางคนหนักหนาจนถึงระดับที่ว่า แม้จะรักษาได้แต่ก็ต้องกลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถไป

“ผู้เฒ่าฉิน ตอนนี้ท่านได้ข่าวใหม่มาบ้างหรือไม่ ตกลงไอ้พวกต่ำช้าที่บุกโจมตีตระกูลของพวกเราในครั้งนี้มันเป็นใคร ?!”

เหล่ยเจิ้น ผู้นำตระกูลเหล่ยกล่าวถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ความแค้นเคืองในน้ำเสียงนั้นไม่อาจปิดบังได้เลย

ในครานี้นับว่าตระกูลเหล่ยเป็นตระกูลที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุด คนในตระกูลของพวกเขาจำนวนมากบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วยน้ำมือของกองกำลังนิรนามดังกล่าว เรื่องนี้ ด้วยฐานะผู้นำตระกูล เหล่ยเจิ้นจึงคับแค้นใจแสนสาหัส อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับไม่อาจคิดหาวิธีที่จะต่อกรกับกองกำลังลึกลับนั้นได้

หลังถูกโจมตี ตระกูลใหญ่ของนครไป๋อวิ๋นก็ได้ส่งคนมีฝีมือกลุ่มหนึ่งออกไล่ตามเพื่อสืบหาตัวตนกลุ่มกองกำลังที่กระทำการอุกอาจนั้น ทว่าเหล่ายอดฝีมือที่ถูกส่งออกไปกลับเหลือรอดกลับมาได้เพียงไม่กี่คน หนำซ้ำแต่ละคนยังมีอาการถึงขั้นสาหัส หากไม่ใช่เพราะวิ่งหนีได้เร็วพอก็ไม่แน่ว่าอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งกันหมดแล้ว

โอวหยางเจวี๋ยเองก็จ้องมองฉินเฟินด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปมเช่นกัน ตระกูลโอวหยางของพวกเขาเองก็ถูกโจมตีและมีคนเจ็บหนักจำนวนมาก และบางส่วนก็ถึงแก่ชีวิตไปแล้วด้วย แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้เขาโกรธแค้นยิ่งยวด ในใจเขาไม่สามารถนึกให้อภัยคนเลวทรามเหล่านั้นได้เลย

“เรียนผู้นำตระกูลทั้งสอง สุดที่ปัญญาของข้าผู้เฒ่าจะตรวจสอบมาได้แล้วในตอนนี้ สิ่งที่ข้าโชคดีได้รู้มีเพียงว่า ผู้ที่โจมตีตระกูลของพวกเราในครั้งนี้น่าจะเป็นคนจากอาราม”

ฉินเฟินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเองก็ทั้งคั่งแค้นและร้อนใจไม่น้อยเช่นกัน ทว่าแม้จะเพียรส่งคนไปสืบข่าวเพียงใดแต่กลับไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันแม้แต่น้อย กระนั้นท่ามกลางเรื่องราวเลวร้าย เขาก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง เพราะไม่นานมานี้หานโม่ฉือส่งคนมาแจ้งข่าวกับเขาว่ากองกำลังที่บุกโจมตีตระกูลของพวกเขาในคราวนี้เป็นคนจากอาราม

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องที่ได้ทราบมามีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเลยนั่นคือ เหตุใดฝ่ายนั้นจึงจงใจโจมตีอีกสองตระกูลใหญ่หนักหน่วงถึงเพียงนี้ เท่านั้นยังไม่พอ พวกมันยังสร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งนครไป๋อวิ๋น ด้วยการบุกจู่โจมอาคารสมาคมและที่ตั้งของขุมกำลังต่าง ๆ โดยไม่ยั้งมือ

การที่อารามจะบุกโจมตีตระกูลฉินที่เคยมีข้อพิพาทบาดหมางกันไม่ใช่เรื่องประหลาด หรือหากจะโจมตีผู้ประกาศตัวเป็นพันธมิตรกับตระกูลฉินก็ย่อมเข้าใจได้ แต่ครั้งนี้ขุมกำลังจอมอาฆาตนั่นถึงกับลงมือกับตระกูลเหล่ยและตระกูลโอวหยางอย่างโหดเหี้ยม ที่สำคัญยังตั้งใจบุกทำลายขุมกำลังอื่น ๆ ในนครไป๋อวิ๋นที่ไม่เกี่ยวข้องอีกด้วย นี่ถือว่าผิดปกติจนชวนสงสัย

“เจ้าพวกอาราม !”

เหล่ยเจิ้นตวาดลั่นอย่างเดือดดาล เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว สีหน้าของผู้นำตระกูลทั้งสองก็ดูย่ำแย่มากกว่าเดิม

แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะพอคาดการณ์ได้อยู่บ้างว่ากลุ่มที่บุกโจมตีเข้ามานั้นคงไม่พ้นศัตรูคู่อาฆาตในตอนนี้อย่างอาราม ทว่าเมื่อได้ทราบความจริงอย่างชัดแจ้งก็ยังคงทำให้พวกเขาอดแค้นเคืองไม่ได้อยู่ดี

“ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นฝีมือของพวกอารามอย่างแน่นอน”

ฉินเฟินพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่เข้าใจ ตระกูลฉินของเรามีความแค้นกับอารามอยู่บ้าง ถ้าอารามโจมตีพวกเราก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดตระกูลใหญ่ของท่านทั้งสองถึงตกเป็นเป้าหมายของมัน และที่มากกว่านั้น สมาคมสำคัญอื่น ๆ ในไป๋อวิ๋นก็ต้องมารับเคราะห์ไปด้วย”

ฉินเฟินกล่าวถึงข้อสงสัยที่กำลังทำให้เขารู้สึกสับสนอย่างมาก

เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินเฟิน โอวหยางเจวี๋ยและเหล่ยเจิ้นก็หันมามองหน้ากัน ใบหน้าอาวุโสทั้งสองฉายแววสงสัยไม่ต่างจากผู้เฒ่าตระกูลฉิน ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาเริ่มจะคาดเดาบางอย่างได้

“เหอะ ! พวกอารามไม่เคยทำสิ่งดีอยู่แล้ว ที่ผ่านมาพวกมันทำแต่เรื่องเลวร้ายมากมาย สำหรับคนชั่วช้าพวกนี้คงไม่มีพฤติกรรมต่ำทรามเรื่องไหนที่แปลกประหลาดได้อีก ข้ากำลังหวั่นใจว่าครั้งนี้เป้าหมายของมันคงไม่ใช่แค่ตระกูลฉินแต่เป็นนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด”

เหล่ยเจิ้นเอ่ยข้อสันนิษฐานของเขา ฟังจากน้ำเสียงและวาจาของเขาแล้วก็เห็นชัดว่าบุรุษผู้นำตระกูลเหล่ยผู้นี้ไม่นิยมชมชอบอารามเลยแม้แต่น้อย

โอวหยางเจวี๋ยเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของเหล่ยเจิ้น

“ดูเหมือนว่าอารามคงมีแผนการที่จะแทรกซึมเข้ามาในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกเขาส่งลิ่วเยว่ไปร่วมงานอสูรล้อมเมือง” โอวหยางเจวี๋ยหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ

“อันที่จริงในความคิดข้า ข้าว่าการที่เสี่ยวอวี้โม่สังหารลิ่วเยว่ไม่ใช่เรื่องผิด และต่อให้เป็นคนอื่นก็คงทำแบบเดียวกัน เมื่อถูกรุกรานผู้ใดกันจะไม่ตอบโต้โดยเฉพาะกับศัตรูที่หมายชีวิต มองอย่างไรอารามก็ไม่น่าจะเดือดดาลกับเรื่องนี้มากนัก ทว่าพวกเขากลับส่งผู้อาวุโสสองเข้าไปในดินแดนต้องห้ามระหว่างการสอบของโรงเรียนราชสำนักเพื่อแก้แค้น ถึงแม้จะเป็นบุตรชายแต่การที่ลิ่วรุ่ยลงทุนลงแรงเข้าไปจัดการกับสตรีอ่อนเยาว์เพียงผู้เดียวนั้นดูไม่ปกติแม้แต่น้อย ข้าคิดว่ามันอาจจะมีเหตุผลที่ลึกลับมากกว่าการแก้แค้นเรื่องส่วนตัวเป็นแน่ และยิ่งยามนี้ยังจงใจส่งคนมาโจมตีเราสามตระกูลใหญ่กับขุมกำลังอื่นในไป๋อวิ๋น เรื่องนี้ทำให้ข้าสงสัยว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกมันก็คือทั้งนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้”

เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของโอวหยางเจวี๋ย ฉินเฟินและเหล่ยเจิ้นก็พยักหน้าเห็นด้วย

“เหอะ เจ้าพวกอารามมันจะกล้ามากเกินไปแล้ว !”

เหล่ยเจิ้นกล่าวพลางปั้นหน้าบึ้ง หากว่าอารามคิดจะทำเช่นนี้จริงก็ถือว่าโอหังจนน่ารังเกียจ ขุมกำลังที่ชั่วร้ายนี้ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยหรืออย่างไร ?

“อย่าเพิ่งด่วนสรุป นี่ยังเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น พวกเรายังไม่รู้แน่ชัดถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมัน”

ฉินเฟินส่ายศีรษะ ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าเป้าหมายของอารามจะมิใช่เพียงแค่ล้างแค้นตระกูลฉิน แต่เป็นการทำลายนครไป๋อวิ๋น และเมื่อผืนภูมิลำเนาแห่งนี้เผชิญกับวิกฤตการณ์เช่นนี้ ตระกูลใหญ่อย่างพวกเขาทั้งสามก็สมควรจะสามัคคีกลมเกลียวให้มากที่สุดเพื่อรับมือกับศัตรู

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา สมาชิกของสามตระกูลใหญ่ไม่มีผู้ใดออกไปจากนครไป๋อวิ๋น ทุกคนต่างก็เข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกฝนกันอยู่ภายในตระกูล อย่างไรก็ตาม ยังมีคนของบางสมาคมไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขายังทำตัวเหมือนปกติและยังกล้าออกจากเมืองไป ผลลัพธ์ก็คือคนเหล่านั้นถูกโจมตีและได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

และยิ่งช่วงสองวันที่ผ่านมา นอกจากจะไม่มีคนกล้าออกไปจากนครไป๋อวิ๋นแล้ว ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาในเมืองหลวงแห่งนี้เช่นกัน ในเวลานี้นคราที่เคยเรืองรองและเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวรรดิตกอยู่ในสภาวะที่เงียบงันมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาแล้ว

“ดูเหมือนว่าเราควรจะหารือกับสมาคมต่าง ๆ และปรึกษากับทางราชวงศ์ด้วย เรื่องนี้เร่งด่วนมากและเกี่ยวพันกับความอยู่รอดของไป๋อวิ๋น พวกเราจะรอช้าไม่ได้”

ฉินเฟินเอ่ย ตั้งแต่เกิดจนอายุล่วงเข้าวัยชรา ชีวิตของบุรุษผู้เฒ่าเกี่ยวพันกับนครไป๋อวิ๋นอย่างแยกไม่ออก  ศึกในครั้งนี้เขาจะประมาทหรือปล่อยปละละเลยสิ่งใดแม้เพียงเล็กน้อยไปไม่ได้โดยเด็ดขาด เขาจะไม่ยอมทนดูมาตุภูมิที่รักพังพินาศลงไปต่อหน้าต่อตาเป็นแน่

เหล่ยเจิ้นและโอวหยางเจวี๋ยพยักหน้าเห็นด้วยกับฉินเฟิน

สิ้นความเห็นชอบของผู้นำตระกูลทั้งสอง ฉินเฟินก็รีบออกคำสั่งให้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลไปเรียนเชิญตัวแทนจากสมาคมต่าง ๆ ให้มารวมตัวกันเพื่อหารือแนวทางที่ตระกูลฉินโดยไม่รอช้า ด้านฉินหยางนั้นได้รับมอบหมายให้เดินทางไปที่พระราชวังเพื่อเชิญเสด็จจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่า

“ในช่วงนี้ตระกูลใหญ่ของพวกเราจะต้องเก็บตัวเพื่อเตรียมความพร้อม แล้วยังต้องเป็นกังวลกับการบุกจู่โจมของอาราม แต่โชคดีที่ในตอนนี้มีหานโม่ฉือช่วยถ่วงเวลาพวกมันไว้ ดังนั้นพวกเราก็น่าจะวางใจได้สักระยะ แต่ข้าคิดว่าคุณชายใหญ่ตระกูลหานก็อาจจะยื้อขุมกำลังที่ทรงอำนาจอย่างอารามได้ไม่นานนัก”

ฉินเฟินกล่าว

หลังจากทราบว่าอีกฝ่ายเป็นคนจากอาราม หานโม่ฉือก็ทำงานอย่างหนักเพื่อถ่วงเวลาคนจากอารามให้มากที่สุด ส่วนอีกด้านเขาก็ยังคงต้องรับมือกับหานโม่หยวนไปด้วย แม้ว่าหานโม่ฉือจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่งานนี้ก็นับว่าตึงมืออยู่ไม่น้อย

“ว่าแต่ ช่วงนี้พวกท่านพบยอดฝีมือแปลกหน้าที่ดูไม่เหมือนกับคนของดินแดนเรามาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ เมืองหลวงบ้างหรือไม่ ?”

จู่ ๆ โอวหยางเจวี๋ยก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขากล่าวถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

ฉินเฟินและเหล่ยเจิ้นพยักหน้าเพราะพวกเขาเองก็ได้รับข้อมูลในเรื่องนี้มาเช่นกัน

ดินแดนหวนหลิงมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ไม่น้อย และต้องยอมรับว่าหลายคนแข็งแกร่งกว่าฉินเฟินมาก ทว่าในช่วงนี้กลับมียอดฝีมือแปลกหน้าที่แข็งแกร่งอย่างเหนือชั้นปรากฏตัวออกมามากมายเสียจนดูผิดปกติ

ในฐานะตระกูลใหญ่แห่งนครไป๋อวิ๋น ทั้งตระกูลฉิน ตระกูลเหล่ย และตระกูลโอวหยาง จึงย่อมทราบข้อมูลเกี่ยวกับเหล่ายอดฝีมือระดับสูงของดินแดนนี้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ยอดฝีมือที่เพิ่งปรากฏตัวในแผ่นดินใหญ่ช่วงนี้เป็นกลุ่มคนนิรนามไม่ทราบสังกัด ไม่รู้ที่มาที่ไป และทั้งสามตระกูลก็ไม่มีข้อมูลใด ๆ ของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

“คนพวกนั้นแข็งแกร่งมาก แต่น่าแปลกที่พวกเรากลับไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน หากจะกล่าวว่าเป็นยอดฝีมือที่เก็บตัวเงียบและไม่เป็นที่รู้จัก สำหรับในแผ่นดินนี้แล้วก็มีอยู่ไม่มาก ไม่เพียงแต่ไม่รู้จัก แต่การที่มียอดฝีมือลึกลับมากมายเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เราต้องรีบสืบให้รู้ว่าคนพวกนั้นมาจากที่ใดและมีจุดประสงค์อะไรกันแน่”

โอวหยางเจวี๋ยกล่าวต่อ เขาเองก็กังวลกับการปรากฏตัวของเหล่ายอดฝีมือแปลกหน้าเช่นกัน

ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นนับว่าไม่ธรรมดาเลย ไม่ต้องกล่าวถึงการร่วมมือกันเป็นกลุ่ม ขอเพียงพวกเขาต้องการ แค่คนหนึ่งคนใดในคนพวกนั้นก็สามารถทำให้ดินแดนแห่งนี้ปั่นป่วนโกลาหลได้แล้ว

ฉินเฟินและเหล่ยเจิ้นส่ายศีรษะ ผู้อาวุโสทั้งสองเองไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของยอดฝีมือแปลกหน้าดังกล่าว

“แหม ๆ ตระกูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นทั้งสามอยู่กันพร้อมหน้าเชียวนะ”

ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ วาจาและน้ำเสียงเย้ยหยันก็ดังกระทบโสตประสาทของสามบุรุษผู้นำตระกูล ขณะเดียวกันทุกคนก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอันแข็งแกร่งกระแสหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลฉิน

“ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอาราม !”

ฉินเฟินและผู้นำตระกูลทั้งสองรีบพุ่งตัวออกไปยังลานกว้างหน้าเรือนหลักในฉับพลัน เมื่อมองเห็นใบหน้าของผู้ที่ลอยอยู่บนอากาศ ใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความเคียดแค้น

“หึ ๆ ยินดีที่ได้พบผู้นำตระกูลทั้งสาม”

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามส่งรอยยิ้มบางพลางแสร้งกล่าวทักทายด้วยกิริยาแช่มช้อยอ่อนหวาน ทว่าไม่ว่าผู้ใดที่ได้ฟังต่างก็ทราบดีว่าเจตนาแห่งเจ้าของวาจานั้นมิได้อ่อนหวานดังน้ำคำที่เอื้อนเอ่ยเลย หนำซ้ำยังชวนให้รู้สึกราวกับถูกเข็มแหลมคมที่เคลือบพิษร้ายทิ่มแทงเข้าสู่จิตใจอีกด้วย

“ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามมาเยี่ยมเยียนตระกูลฉินของเราอย่างกะทันหันเช่นนี้ไม่ทราบว่าท่านมีจุดประสงค์อันใดรึ ?”

ฉินเฟินถามกลับอย่างสุภาพเช่นกัน ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามไม่อาจกล่าวว่าธรรมดาได้เลย ซึ่งถ้าหากต้องสู้กันจริง ๆ พวกเขามีโอกาสชนะอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังมีสภาวะพลังที่น่าเกรงขามถึงเพียงนี้ นี่ทำให้พวกเขานึกสงสัยในความแข็งแกร่งของ ‘จ้าวแห่งอาราม’ ขึ้นมาทันที

“ฮิ ๆ ๆ วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อส่งสารจากท่านจ้าวอารามให้พวกท่านเท่านั้น”

ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามหัวเราะแล้วกล่าวตอบ พร้อมกันนั้นม้วนกระดาษม้วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของนางพลันมือบางก็ขว้างมันตรงเข้าใส่ฉินเฟินอย่างไม่แยแส

เห็นชัดว่าม้วนกระดาษม้วนนั้นห่อหุ้มไปด้วยพลังมายาอันแข็งแกร่ง มันพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็วและรุนแรงคล้ายลูกธนู ถ้าหากไร้ซึ่งพลังอันแกร่งกล้าหรือไม่ระวังตัวให้มากพอ การจะรับมันเอาไว้ก็เป็นไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟินกลับเผยรอยยิ้มอ่อน บุรุษผู้เฒ่าวาดฝ่ามือก่อให้เกิดคลื่นพลังมายาตรงเข้าปะทะม้วนกระดาษนั้นกลางอากาศเพื่อสลายพลังมายาที่ห่อหุ้มอยู่ ก่อนจะรับมันไว้อย่างมั่นคง

“ผู้นำตระกูลฉินฝีมือไม่เลว ในเมื่อส่งสารเสร็จก็สิ้นภารกิจของข้าแล้ว ขอตัวลาเลยก็แล้วกัน”

สิ้นคำชื่นชมสั้น ๆ และคำกล่าวลาอันรวบรัด ร่างของผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

พวกฉินเฟินไม่คิดจะไล่ตามนางไปเพราะทราบดีว่าแม้พวกเขาจะพยายามเพียงใดก็คงจะหยุดสตรีผู้มีตำแหน่งใหญ่แห่งอารามผู้นั้นไม่ได้ การจะตามนางไปคงไม่มีความหมายใด ๆ

ผู้นำตระกูลทั้งสามเดินกลับเข้าไปยังห้องรับรองที่เคยใช้หารือกันอีกครั้ง

ผู้เฒ่าฉินเฟินรีบเปิดม้วนกระดาษที่ถูกฝ่ายตรงข้ามเรียกว่า*‘สาร’*แผ่นนั้นออกดู เมื่อได้เห็นเนื้อความด้านในเขาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง

มันคือ ‘สารเตือน’ ถึงสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น เนื้อความเขียนไว้อย่างชัดเจน ใจความนั้นระบุว่า

‘– อีกเจ็ดวันนับจากนี้ อารามจะบุกโจมตีนครไป๋อวิ๋น พวกเราจะบุกอย่างเต็มกำลัง ขอให้ทุกคนในนครไป๋อวิ๋นจงเตรียมพร้อมให้ดี –’

“พวกมันช่างโอหังนัก !”

เหล่ยเจิ้นร้องเสียงดังอย่างเดือดดาล เขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าขุมกำลังชั่วร้ายนั่นจะตัดสินใจกระทำการอุกอาจเช่นนี้ นี่ถือเป็นการกระทำที่บ้าระห่ำอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในฐานะที่พวกเขาเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของนคราแห่งนี้ พวกเขาเองก็จะถอยไม่ได้

พวกเขาทุกคนเคยกล่าวคำสัตย์สาบานไว้ว่าจะปกป้องแผ่นดินมาตุภูมิแห่งนี้ยิ่งชีพ และพิทักษ์เหล่าพี่น้องผู้เป็นประชากรของนครไป๋อวิ๋นทุกคน

“หรือว่าอารามต้องการจะครอบครองทั้งแดนแดนหวนหลิง ?”

โอวหยางเจวี๋ยหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าไม่รู้ว่าหากทางวิหารแห่งความมืดและทางนครเมฆาได้ยินข่าวนี้ พวกเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร”

ในแผ่นดินนี้ไม่ได้มีเพียงแต่อารามเท่านั้นที่เป็นขุมกำลังที่ลึกลับและมีอำนาจล้นฟ้า ทว่ายังมีวิหารแห่งความมืดที่คอยคานอำนาจกันอยู่ ที่สำคัญสองขุมกำลังแสนมืดมนนี้ถือว่าไม่ถูกกันมาช้านานแล้ว แต่กระนั้นหวนหลิงยังมีอีกขุมกำลังที่ลึกลับมากเสียจนไม่อาจประเมินพลังและความน่าเกรงขามได้เลย นั่นก็คือนครเมฆา ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักเพียงนามแห่งนครเมฆา แต่ไม่เคยทราบว่าตัวตนของพวกเขาเป็นเช่นไร มีเพียงเสียงร่ำลือว่าคนจากนครเมฆาน่าหวั่นเกรงเหนือคำบรรยาย

ไม่ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของอารามจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าหากล่วงรู้ถึงหูของอีกสองขุมกำลังลึกลับนี้แล้ว พวกเขาก็คงไม่อยู่เฉยและปล่อยให้อารามทำสำเร็จได้โดยง่ายเป็นแน่

“ขออภัยทุกท่านที่รบกวน เรียนท่านผู้นำตระกูล ประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรปฏิเสธไม่เดินทางมาร่วมการหารือ เขากล่าวว่าสมาคมของพวกเขาจะไม่ขอข้องเกี่ยวกับปัญหาในครั้งนี้”

ผู้อาวุโสตระกูลฉินผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องรับรองของเรือนหลักอย่างรีบร้อน ก่อนจะแจ้งข่าวอันน่าประหลาดใจให้ฉินเฟินได้รับทราบ

.