ตอนที่ 199 สงครามกำลังเริ่มต้นขึ้น

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลฉินที่ถูกส่งไปยังสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเพื่อเป็นตัวแทนแจ้งข่าวและเชื้อเชิญเข้าร่วมหารือเกี่ยวกับวิกฤตในครั้งนี้บอกเล่าอย่างเร่งร้อน ในคราแรกนั้นประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็ตั้งใจว่าจะเดินทางมาที่ตระกูลฉินเพื่อร่วมการประชุมหารือการรับมืออารามตามคำเชิญ ทว่าผู้อาวุโสชวี่เซียวกลับเข้ามาหยุดเขาไว้เสียก่อน

ชวี่เซียวอ้างว่าเขาไม่เชื่อว่าอารามจะอาจหาญมุ่งทำลายนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด เขาคิดว่าครั้งนี้เป้าหมายของอารามมีเพียงตระกูลฉินและที่พวกมันจู่โจมขุมกำลังอื่น ๆ ในนครไป๋อวิ๋นก็เพราะบันดาลโทสะและจงใจจะข่มขู่ไม่ให้สอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เท่านั้น อีกทั้งเขายังกล่าวหาว่า ฉินเฟินมีเจตนาต้องการจะดึงพวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเพราะหวาดกลัวพวกอารามและเกรงว่ากำลังของตนจะไม่เพียงพอทำให้พวกเขาพลอยติดร่างแหและต้องแบกรับผลกรรมที่ไม่ได้ก่อ ซึ่งก็แน่นอนว่าเรื่องนี้สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรจะไม่มีวันยอมเสียเลือดเนื้อโดยใช่เหตุอย่างเด็ดขาด

เดิมทีประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็มีความลังเลอยู่พอสมควร เมื่อได้ยินวาจาของชวี่เซียวเขาก็เริ่มเอนเอียง บุรุษผู้เฒ่ารู้สึกว่าคำพูดของผู้อาวุโสคนนี้มีความสมเหตุสมผลพอควร

ซึ่งผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็คือ สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเลือกที่จะไม่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการหารือเพื่อค้นหาแนวทางจัดการกับสภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น

“เหอะ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกคนจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรจะใจแคบ คิดถึงแต่ตัวเองได้ถึงขนาดนี้ !”

เหล่ยเจิ้นโพล่งวาจาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาผิดหวังกับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขายังแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาแม้กระทั่งในสถานการณ์ที่บ้านเมืองพบเจอวิกฤตใหญ่หลวงเช่นนี้ได้อีก

“ไม่ต้องโกรธไปหรอก เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมที่พวกเขาจะคิดเช่นนั้น หากพวกเขาไม่อยากมาก็ไม่มีเหตุผลต้องบังคับ แค่กำลังพลจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็คงไม่มีผลกับพลังของฝ่ายเรามากนัก”

ฉินเฟินกล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่ง สีหน้าแววตาคล้ายไม่แยแสในเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชวี่เซียวผู้นี้ การที่พวกเขาจะไม่มาเข้าร่วมด้วยอยู่ในความคาดหมายของฉินเฟินอยู่ก่อนแล้ว

โอวหยางเจวี๋ยเองก็พยักหน้า ก่อนหน้านี้ที่ป่าแสงจันทร์ ตระกูลของพวกเขาก็มีเรื่องบาดหมางกับชวี่เซียวเช่นกัน การที่คนผู้นั้นจะคัดค้านการช่วยเหลือสามตระกูลใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และการที่ประธานสมาคมเฒ่าจะเชื่อคำของผู้อาวุโสในสมาคมของตนเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกมากนัก

ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เหล่าผู้นำขุมกำลังน้อยใหญ่ในไป๋อวิ๋นที่ได้รับคำเชิญจากฉินเฟินคนอื่น ๆ ก็ทยอยเข้ามากันด้วยความรีบร้อน

ประธานสมาคมช่างหลอม ประธานสมาคมโอสถ ประธานสมาคมช่างฝีมือ ประธานสมาคมทหารรับจ้าง และสมาคมอื่น ๆ รวมไปถึงจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่าต่างก็มาถึงยังจวนตระกูลฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังจากทักทายแขกเหรื่ออย่างรวบรัด ฉินเฟินก็กล่าวเชิญทุกคนให้นั่งลง

“ท่านผู้นำตระกูลฉิน ข้าเข้าใจดีว่าวิกฤตครั้งนี้หนักหนา แต่ว่าเหตุใดท่านถึงเชิญพวกเรามาประชุมกันเป็นการเร่งด่วนมากถึงเพียงนี้ ?”

เยว่หลิงเซียว ประธานสมาคมช่างหลอมที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับผู้เฒ่าฉินเฟินเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

“เชิญพวกท่านดูนี่ก่อน”

ฉินเฟินยิ้มน้อย ๆ พลางส่งม้วนกระดาษที่ได้รับจากผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามให้เยว่หลิงเซียวและคนอื่น ๆ ได้ดูเป็นอันดับแรก

หลังจากได้อ่านเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้น ใบหน้าของเยว่หลิงเซียวและคนอื่น ๆ ก็เคร่งเครียดขึ้นทันที คิ้วนับสิบคู่ขมวดเป็นปมแน่น

“นี่หมายความว่าอารามคิดจะเปิดศึกกับเราทั้งหมดอย่างนั้นรึ ?!”

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยตรัสด้วยเสียงเข้ม

‘นี่ขุมกำลังโอหังนั่นคิดจะยึดครองจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่อย่างไป๋อวิ๋นเช่นนั้นหรือ ? กำลังพลของพวกเขาถึงจะเก่งกาจอาจหาญเพียงใด แต่หากเทียบกันกับจำนวนทั้งหมดของนครไป๋อวิ๋นอีกทั้งหัวเมืองใต้อำนาจแล้วกลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จนับว่ายากยิ่งกว่าสร้างเจดีย์ให้สูงไปถึงปราสาทของเง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์เสียอีก’

“เหอะ ! พวกอารามมันจะกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว คิดจริง ๆ หรือว่าชาวไป๋อวิ๋นเราจะยินยอมให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ ยิ่งกว่านั้นช่วงที่ผ่านมาพวกมันก็ลอบจู่โจมเราหลายต่อหลายครั้ง ต่อให้พวกมันไม่คิดจะบุกมาพวกเราก็ต้องไปเค้นคอขอคำอธิบายจากอารามถึงที่อยู่แล้ว ! ข้าว่าการที่พวกมันชิงเปิดศึกกับเราเช่นนี้ถือว่าช่วยพวกเราประหยัดเวลา เราจะทำให้มันได้รู้ว่าชาวไป๋อวิ๋นแข็งแกร่งเพียงใด !”

เหย่าเฉิน ประธานสมาคมโอสถถือเป็นบุรุษโผงผางผู้หนึ่ง เมื่อได้อ่านเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้นเขาก็โกรธมาก พลันเอามือทุบโต๊ะและลุกขึ้นยืนพร้อมกับประกาศถ้อยคำดังกล่าวทันที

“ท่านประธานสมาคมโอสถโปรดใจเย็นลงก่อนเถิด”

เยว่หลิงเซียวกล่าวปรามเหย่าเฉิน อย่างไรก็ตาม ในใจของผู้นำแห่งสมาคมช่างหลอมเองก็โกรธแค้นอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

เป็นธรรมดาที่ทุกขุมกำลังในไป๋อวิ๋นจะต้องขุ่นเคืองเรื่องนี้ อารามยโสโอหังเกินไปจนไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา มิฉะนั้นคงไม่กระทำการขวัญกล้าท้าทายพวกเขาถึงเพียงนี้ได้

ทว่าในขณะเดียวกันพวกเขาเองก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าอารามจะมีพลังอำนาจมากมายเพียงใด แต่ไม่ว่าจะทรงพลังแค่ไหน การจะยึดครองหนึ่งในสองจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งแผ่นดินหวนหลิงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

“ครั้งนี้ทางราชสำนักจะขอร่วมศึกเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่แห่งไป๋อวิ๋น ในเมื่ออารามมีความคิดเช่นนี้ พวกเราก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ขอเพียงพวกมันกล้าบุกมา พวกมันจะได้เห็นพลังของเรา !”

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยประกาศ อารามคิดการณ์ง่ายเกินไปที่จะยึดครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นแห่งนี้ ขอเพียงทุกขุมกำลังของจักรวรรดิสมัครสมานสามัคคี รวมพลังกันเป็นหนึ่ง ต่อให้ขุมกำลังทรงอำนาจมิอาจประมาณอย่างนครเมฆาบุกมา พวกเขาก็ไม่นึกหวั่น ไม่ต้องกล่าวถึงอารามที่มีพลังอำนาจด้อยกว่านครเมฆานั่นเลย

ในเมื่ออารามกล้าคิดจะบุกมาพวกเขาก็กล้าเปิดบ้านต้อนรับ ครั้งนี้พวกเขาจะแสดงให้แผ่นดินใหญ่อันเกรียงไกรได้ทราบว่าอารามไม่ได้แข็งแกร่งดังที่ผู้คนมากมายคิดเห็น และจักรวรรดิไป๋อวิ๋นก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่หลายคนครหาอีกด้วย ไม่ว่าผู้ใด หากคิดมารุกรานไป๋อวิ๋นแล้ว มันผู้นั้นก็จะต้องชดใช้ด้วยราคาอันแสนแพงและสาสม

“เหตุใดถึงไม่เห็นประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรมาเข้าประชุม ?”

เมื่อไม่เห็นประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร เหย่าเฉินก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เหอะ สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรบอกว่าตระกูลฉินเป็นผู้ดึงปัญหานี้เข้ามาเอง ฉะนั้นพวกเขาจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว พวกเขาจึงไม่มาเข้าร่วมการประชุม”

เหล่ยเจิ้นกล่าว น้ำเสียงของเขามิอาจปิดบังความเกลียดชังที่มีต่อสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรได้เลย

“คนพวกนั้นมีนิสัยเห็นแก่ตัวเองและทำเพื่อผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวอยู่แล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนแบบนั้นหรอก”

ประธานสมาคมโอสถกล่าว เขาเองก็ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แต่ไหนแต่ไรมา สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็แสดงออกด้วยท่าทีเช่นนี้ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสมาคมอื่น ๆ อยู่เป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะไม่มาเข้าร่วม ผู้นำสมาคมอื่น ๆ จึงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ

“เรียนทุกท่าน ข้าได้ยินข่าวเรื่องหนึ่งมาจากหงเอ๋อร์ ข้าจึงอยากจะเตือนทุกท่านเพื่อเป็นการไม่ประมาท”

‘หลินปิงหนาน’–ประธานสมาคมทหารรับจ้างนึกถึงเรื่องที่หลินจิ้งหงบอกกล่าวแก่เขาเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปาก

“เชิญพี่หลินกล่าว”

ประธานสมาคมโอสถกล่าวเพื่อเปิดทางให้หลินปิงหนานได้พูดโดยเร็ว

“ทุกท่านคงรู้ดีว่าช่วงนี้มียอดฝีมือแปลกหน้ามากมายปรากฏตัวในดินแดนของเรา หลังจากที่หงเอ๋อร์ของข้าได้ทำการตรวจสอบมาแล้ว เขาพบว่าคนพวกนั้นไม่ใช่คนจากดินแดนนี้ แต่เป็นผู้ที่มาจากดินแดนหนเหนือ”

“คนจากดินแดนหนเหนืออย่างนั้นรึ ?”

เรื่องนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องรับรองก็ตกใจเหลือล้น ‘คนมากมายจากดินแดนหนเหนือมาปรากฏตัวที่นี่… เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน ?’

“ตอนนี้หงเอ๋อร์ยังสืบมาได้ไม่มากนัก เขารู้เพียงว่าที่ดินแดนหนเหนือมีสุดยอดฝีมือที่สามารถทำลายมิติและส่งผู้ที่มีพลังไม่เกินขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์มายังดินแดนหวนหลิงของเราได้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ามาเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่าง แต่เรายังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ตอนนี้หงเอ๋อร์กำลังเร่งสืบอยู่”

หลินปิงหนานกล่าวถึงข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาจากหลินจิ้งหงให้ทุกคนฟัง

หลังจากที่ได้ฟังข้อมูลที่น่าตกใจนี้แล้ว ทุกคนก็หันหน้ามองกัน บนสีหน้าและแววตาปรากฏรอยแห่งความเคร่งเครียดอย่างปิดไม่มิด ทว่าในที่สุดพวกเขาหลายคนก็พยักหน้าพร้อมกัน

“คนจากดินแดนหนเหนือแข็งแกร่งมากก็จริง แต่เท่าที่รู้พวกเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับอารามหรือมีสิ่งใดที่ดูเชื่อมโยงกัน ที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาโจมตีพวกเราด้วย ดังนั้นก็ไม่มีเบาะแสว่าพวกเขาจะช่วยอารามต่อกรกับพวกเรา หรือต่อให้เป็นเช่นนั้นจริงพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัว เพียงแค่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รู้ว่าพวกเราไม่ถูกรังแกง่าย ๆ ก็เพียงพอ”

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยกล่าว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่กังวลในเรื่องนี้มากนัก

ถ้าหากคนจากดินแดนหนเหนือเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ ทางนครเมฆาผู้เป็นขุมกำลังที่ทรงอำนาจที่สุดในหวนหลิงย่อมต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่ บุรุษผู้ปกครองแผ่นดินไป๋อวิ๋นและผู้ครองหัวใจอดีตธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งนครเมฆาล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของนคราลึกลับแห่งนี้ดี ขอเพียงคนจากนครเมฆาลงมือ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา

ทุกคนพยักหน้ารับ แววตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ไม่เกรงกลัว

หลังจากประชุมหารือกันอยู่นาน ในที่สุดเหล่าผู้นำทั้งหลายก็เดินทางออกจากตระกูลฉินเพื่อไปเตรียมการในส่วนของตนเอง

ในเมื่ออารามคิดจะโจมตีนครไป๋อวิ๋นอย่างเต็มกำลัง พวกเขาก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด แม้ความแข็งแกร่งของอารามจะไม่ธรรมดา ทว่าทางจักรวรรดิก็ไม่ด้อยกว่าเช่นกัน ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเขาก็จะไม่ยินยอมให้อารามได้ทำตามใจเป็นอันขาด

ในเวลาเดียวกัน มู่อวิ๋นก็ได้รับข่าวสารนี้เช่นกัน

เขาสั่งการให้ระงับการเรียนการสอนและส่งนักเรียนทุกคนกลับบ้านในทันทีโดยไม่ลังเล โรงเรียนของเขาตั้งอยู่ในจักรวรรดิไป๋อวิ๋น เรื่องนี้โรงเรียนราชสำนักเองก็ต้องยื่นมือเข้าช่วย

เมื่อได้รู้ถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นและได้รู้ว่าอารามกำลังจะบุกโจมตีนครไป๋อวิ๋น บรรดาสหายอวี้โม่ก็ไม่กล้าชักช้า เยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ รีบเก็บข้าวของและเตรียมตัวเดินทางออกจากโรงเรียน

“อวี้โม่ยังอยู่ในดินแดนต้องห้าม ข้าไม่รู้ว่านางจะออกมาเมื่อไหร่ เราไม่สามารถบอกเรื่องนี้ให้นางรู้ได้เลย แล้วเช่นนี้เราควรทำอย่างไรดี ?”

เมื่อนึกถึงสหายตระกูลฉินที่ยังคงอยู่ในดินแดนต้องห้าม คุณหนูช่างหลอมก็ขมวดคิ้ว

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พวกเราควรจะรีบกลับไปก่อน ถ้าอวี้โม่ออกมาในช่วงวันถึงสองวันนี้ นางเองก็น่าจะได้รู้ข่าวแล้วรีบกลับไปเช่นกัน”

ฉินอี้เพ่ยกล่าว ในตอนนี้พวกนางไม่ทราบเลยว่าคุณหนูสี่จะออกมาเมื่อใด ฉะนั้นแม้จะอยู่รอไปก็ไม่เกิดประโยชน์

อารามแข็งแกร่งมาก ในเมื่อคนเหล่านั้นแสดงเจตจำนงที่ชัดเจน ทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดศึกก่อน นั่นก็แสดงว่าพวกเขามีความมั่นใจมาก ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ไม่สามารถยืนดูนครไป๋อวิ๋นพังพินาศไปได้ ดังนั้นทุกคนจึงหมายใจจะรีบกลับไปช่วยครอบครัวของตัวเองเป็นอันดับแรก และถ้าหากฉินอวี้โม่กลับออกมาไม่พบเจอผู้ใดนางก็น่าจะรู้ได้และคงจะรีบตามพวกนางกลับไปเช่นกัน

เยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ พยักหน้า ทุกคนไม่กล่าวสิ่งใดอีกแล้วรีบมุ่งหน้ากลับไปยังตระกูล

ในฐานะอธิการแห่งสถาบันผลิตบัณฑิตที่ซึ่งมีศิษย์น้อยใหญ่จำนวนมากมายจากทั่วสารทิศทุกขุมกำลังของแผ่นดิน มู่อวิ๋นจึงไม่สามารถเข้าร่วมศึกครั้งนี้โดยตรงได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเพิกเฉยต่อความเป็นไปของนครไป๋อวิ๋น อย่างไรก็ตาม เวลานี้การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปได้แต่เพียงโดยอ้อมและต้องทำให้เงียบเชียบที่สุด หากจะออกหน้าทำสิ่งใดที่เป็นเรื่องแตกหักก็คงจะต้องเป็นเฉพาะในช่วงเวลาที่วิกฤตอย่างแท้จริงเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้นในนครไป๋อวิ๋นยังมียอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่พึ่งพาได้อย่างหานโม่ฉือและหลินจิ้งหงอยู่ด้วย สงครามครั้งนี้มู่อวิ๋นจึงไม่นึกร้อนใจมากมายนัก หานโม่ฉือแข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะไม่ถึงกับไร้เทียมทานทั้งใต้หล้า แต่ทางอารามก็ไม่สมควรประมาทบุรุษผู้นี้

ทว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ทำให้มู่อวิ๋นรู้สึกปวดศีรษะ นั่นก็คือคนจากดินแดนหนเหนือ

ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนราชสำนักไม่ทราบเลยว่าคนเหล่านี้มีจุดประสงค์ใดที่ต้องเข้ามาในดินแดนหวนหลิงนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ดีที่สุดก็คือต้องติดตามการเคลื่อนไหวของคนจากหนเหนืออย่างใกล้ชิด หากมีเรื่องไม่ชอบมาพากล เขาจะได้หาทางรับมือได้ทันท่วงที

….

ลึกเข้าไปภายในดินแดนต้องห้าม

เวลานี้ฉินอวี้โม่ยังคงไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอก นางยังคงตั้งมั่นอยู่กับการดูดซับพลังจากก้อนแสง ราวกับว่าหากไม่สามารถดูดซับมันได้หมดนางจะไม่สามารถลุกออกไปจากที่นั่งได้

จนตอนนี้เวลาล่วงเลยมานานจนอาไป๋และอสูรตัวอื่น ๆ ที่ฝึกอยู่ด้านนอกต่างก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวล นายหญิงของพวกมันเข้าไปในห้องลับเป็นเดือนแล้ว หากไม่ใช่เพราะอสูรทั้งหลายได้ผูกพันธสัญญากับฉินอวี้โม่และรับรู้ได้ว่านางยังคงปลอดภัยดี พวกมันก็คงจะพากันบุกลงไปใต้ดินเพื่อดูให้รู้แน่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่

ขณะเดียวกัน ซิวที่ฝึกอยู่ ณ ประตูทางเข้าห้องลับยังคงยืนอยู่อย่างสงบโดยไม่ทุกข์ร้อน

ก้อนแสงนั้นคือมรดกที่เทพมายาหลงเหลือเอาไว้ หากดูดซับมันเข้าไปได้ทั้งหมดคนผู้นั้นก็แทบจะเสมือนเปลี่ยนกลายไปเป็นคนใหม่ และถึงแม้ว่าฉินอวี้โม่จะมีพรสวรรค์มากเพียงใดแต่การจะดูดซับพลังอันมหาศาลระดับนี้ก็ยังคงต้องใช้เวลา

แต่จากที่ซิวคาดการณ์ไว้ นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่ผู้เป็นนายจะดูดซับพลังจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยว่าเวลาภายนอกนั้นผ่านไปนานเท่าใด และไม่ทราบด้วยว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นที่ข้างนอกบ้าง เนื่องจากนางทุ่มพลังวิญญาณทั้งหมดและเพ่งสมาธิไปกับก้อนแสงตรงหน้า อีกทั้งจิตวิญญาณของนางก็เชื่อมต่อกับมันอยู่ตลอดเวลา

พลังของก้อนแสงค่อย ๆ หลั่งไหลเข้าไปภายในร่างกายของสตรีผู้ครองกายเทพมายาคนปัจจุบันอย่างช้า ๆ มันเข้าหลอมรวมเป็นหนึ่งกับร่างวิเศษนี้และทำให้ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย

ยิ่งรับพลังจากก้อนแสงนี้มามากเท่าไหร่ ตัวนางก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูรู้สึกได้ว่านางใกล้จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตถัดไปเต็มทีแล้ว

และแน่นอนว่าอีกเจ็ดวันต่อไป พลังมายาอันมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของฉินอวี้โม่ แรงกดดันอันรุนแรงกระจายออกไปทุกทิศทางจนแม้แต่มังกรผู้ยิ่งใหญ่อย่างซิวยังถึงกับตกตะลึง

พลังใหม่ของนายหญิงทำให้เทพแห่งปวงอสูรประหลาดใจไม่น้อย

หากได้สัมผัสจะพบว่านี่ไม่ใช่พลังของผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ เพราะมันให้ความรู้สึกที่ทรงพลังอย่างเหนือชั้นมากเสียยิ่งกว่ากลิ่นอายของจอมยุทธ์ทูตสวรรค์ในระดับดาราสูง ๆ เสียอีก

แน่นอนว่าความก้าวหน้าครั้งนี้ของฉินอวี้โม่ได้ส่งผลให้อสูรมายาของนางพัฒนาขึ้นด้วยเช่นกัน

อาไป๋และอสูรตัวอื่น ๆ ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเองที่กำลังเพิ่มพูนขึ้น ทุกตัวต่างก็หัวเราะร่าและยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน พวกมันรู้ดีว่าเจ้านายคนงามก้าวข้ามขอบเขตพลังได้สำเร็จแล้ว และหลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนเต็ม ในตอนนี้นางก็กำลังจะออกมาแล้ว

.