บทที่ 220 ครั้งนี้ข้าหลุดปากไปเอง
หลิงฉือนึกอยากจะตบหลินเป่ยเฉินให้หน้าคว่ำตายอีกรอบ
“ถ้าเจ้าไม่มั่นใจ แล้วทำไมไม่เลือกวิธีตายให้ตัวเองสบายมากกว่านี้หน่อยเล่า” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความปวดหัว
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินหมองเศร้าลงไปในพริบตา
“พิจารณาข้อเสนอของข้าอีกครั้งเถอะ” หลิงฉือกล่าว “ยิ่งเจ้าเป็นผู้ชนะการแข่งขัน ตอนที่เจ้าบรรจุเข้าสู่กองทัพ เจ้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เจ้าจะสามารถใช้อำนาจของกองทัพปกป้องคนที่เจ้าห่วงใยได้ทุกคน”
ปกป้องคนที่เขาห่วงใยอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน
เหมือนจะไม่มีเลยแฮะ
อยู่ที่นี่เขามีเพื่อนแค่ไม่กี่คน
ทุกคนล้วนไม่ต้องการการปกป้องจากเขา
เขามีอาจารย์อยู่หลายคน
แต่พวกท่านก็ไม่ต้องการการปกป้องจากเขา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินพยายามไม่สร้างปัญหาให้กระทบต่อเพื่อนๆ และคณะอาจารย์อยู่เสมอ
ส่วนพ่อบ้านหวังจง ต่อให้ไม่มีเขาสักคน ตาเฒ่านั่นก็สามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
“เอาละ ทุกอย่างที่ควรพูดก็ได้พูดออกไปแล้ว การตัดสินใจต่อจากนี้ ขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้าเอง”
หลิงฉือพูดจบก็ยกมือบอกให้เด็กหนุ่มเดินออกไปได้
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าผิดหวังอยู่ไม่น้อย “ตกลงว่าท่านจะไม่สอนอะไรข้าเลยจริงๆ หรือขอรับ?”
หลิงฉือส่ายหน้าปฏิเสธ
หลินเป่ยเฉินถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “จริงด้วยสิขอรับ ข้าน้อยเพิ่งนึกออกว่าจะถามตั้งนานแล้ว ถ้าเกิดกองทัพของจักรวรรดิจี้กวงสามารถทำลายแนวป้องกันของพวกเราที่ชายแดนเข้ามาได้ ต้องใช้เวลานานมากไหมขอรับ กว่าที่พวกเขาจะยกทัพมาถึงเมืองหยุนเมิ่ง?”
หลิงฉือมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องรีบอธิบาย “อย่าเข้าใจผิดนะขอรับ ข้าน้อยไม่ได้วางแผนเตรียมตัวหลบหนี เพียงถามเพราะว่าสงสัยเท่านั้น”
หลิงฉือตอบว่า “เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าตอนที่ข้าอายุ 12 ขวบ ทำไมข้าถึงสังหารบุคคลผู้นั้น?”
หลินเป่ยเฉินพูดกลับไป “เพราะว่าเขามาหาเรื่องท่าน?”
หลิงฉือหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่ เพราะว่าเขาทำให้น้องสาวของข้าเสียใจ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เขารู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วกาย หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
พี่ชาย อย่าเข้าใจผิดสิ
พูดจากันดีๆ ก็ได้มั้ง
ทำไมถึงต้องข่มขู่กันด้วย?
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม เจ้าจงไสหัวไปซะ”
หลิงฉือไม่สนใจที่จะพูดคุยกับเด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้ว
เพราะถ้าให้พูดคุยกันต่อไป เกรงว่าเขาอาจจะอดใจไม่ไหว ต้องตบหัวหลินเป่ยเฉินหน้าคะมำตายเป็นแน่
“รับทราบขอรับ พี่ใหญ่!”
หลินเป่ยเฉินรู้ตัวว่าตนเองหลุดปากเรียกสรรพนามที่ไม่ควรเรียก เด็กหนุ่มรีบกระโดดไปที่ประตูและหันกลับมาอธิบายว่า “ครั้งนี้ข้าหลุดปากไปเองขอรับ ต้องขออภัยด้วย วอนคุณชายอย่าได้ใส่ใจ”
“ไสหัวไปซะ”
หลิงฉือพูดเสียงเข้ม
พรึบ!
ประตูห้องรับประทานอาหารเปิดออกและปิดลงอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินยกมือตบปากตัวเองเบาๆ
พวกคนตระกูลหลิงน่ากลัวกันหมดทุกคนจริงๆ
ในขณะที่เดินกลับไปยังห้องรับประทานอาหารของตนเอง หลินเป่ยเฉินก็คิดถึงคำพูดของหลิงฉือที่ว่าเขาเริ่มฆ่าคนตอนอายุ 12 ขวบ ไม่ทราบเลยว่าหลิงฉือต้องการเพียงข่มขู่เขาให้หวาดกลัว หรือว่ากำลังบอกเล่าความจริงออกมากันแน่?
ถ้าเป็นความจริง…ก็ถือว่าน่ากลัวเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินกลับมาถึงห้องรับประทานอาหาร จึงได้พบว่าพวกของฉู่เหินกำลังรอคอยอย่างกระวนกระวาย
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มกลับมาอย่างปลอดภัยครบสามสิบสอง อาจารย์ฉู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ยอดฝีมือที่อยู่ในห้องนั้นเป็นใครกันหรือ?” ไป๋ชินหยุนถามด้วยความอยากรู้ขึ้นมาทันที
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “ลองเดาดูสิ”
“อาจารย์ใหญ่หลิง? อาจารย์ติง? หรือท่านผู้ว่า?” ไป๋ชินหยุนเอ่ยชื่อบรรดาผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง
แต่จะว่าไปแล้ว เสียงที่ดังออกมาจากในห้องรับประทานอาหารห้องนั้น ก็ไม่เหมือนเสียงของบุคคลที่เด็กสาวร่างเล็กกล่าวออกมาเลยสักนิด
หลินเป่ยเฉินยกจอกสุราขึ้นดื่มสามจอกรวด ก็ยิ้มด้วยความขบขัน และพูดว่า “ลองเดาใหม่!”
ไป๋ชินหยุนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
นางกระโดดเข้าไปทุบไหล่หลินเป่ยเฉินชุดใหญ่
ทุกคนหัวเราะขบขัน แต่ไม่มีใครถามออกมาอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ออกมาอีกเช่นกัน
หลิงฉือปฏิเสธที่จะแสดงตัว ย่อมหมายความว่าเขาไม่อยากให้ผู้ใดรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง
บางทีชายหนุ่มคงอยากอยู่เงียบๆ
หรือไม่ก็เป็นเพราะมีเหตุผลอื่น
แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร หลินเป่ยเฉินก็จะไม่ปริปากพูดเด็ดขาด
พวกเขาเริ่มดื่มกินต่อไปอย่างมีความสุข หลินเป่ยเฉินดื่มสุราไม่ได้หยุด ในที่สุดก็เริ่มมีอาการเมามายขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อทุกคนรับประทานอาหารกันอิ่มหนำแล้ว พวกเขาก็สั่งอาหารอย่างที่รับประทานอีกคนละสามชุดสำหรับห่อกลับบ้าน กล่าวตามความสัตย์จริงก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถของหลินเป่ยเฉินที่ทำให้พวกเขาได้มีวาสนาเข้ามาที่นี่ บุคคลที่มาจากครอบครัวธรรมดาอย่างฮันปู้ฟู่และเยว่หงเซียง คงไม่มีทางได้ลิ้มรสอาหารของโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งเด็ดขาด
แต่เมื่อเดินทางกลับมาถึงสถานศึกษากระบี่ที่สามในสภาพเมามาย พลัน หลินเป่ยเฉินก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้…
หลิงฉือนับตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพก็กลับกลายเป็นคนไม่ดื่มสุรา เพราะฉะนั้น การที่ชายหนุ่มเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมชื่อดัง คงไม่ได้ไปเพื่อร่ำสุราเป็นแน่ แต่ตอนที่หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไป บนโต๊ะอาหารเบื้องหน้าชายหนุ่มกลับมีไหสุราวางอยู่พร้อมกับถ้วยชามและอาหารกับแกล้ม
แสดงว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องนั้นด้วย
แต่ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะเปิดประตูเข้าไป บุคคลปริศนาก็ได้หนีออกไปแล้ว
คนผู้นั้นเป็นใครกันนะ?
ใครกันที่สามารถทำให้หลิงฉือกล้าจัดการไป๋ไห่ชินกระเด็นกลับออกไปจากห้องอย่างหมดท่าขนาดนั้น?
นี่คือคำถามที่รบกวนจิตใจหลินเป่ยเฉินตลอดเวลา จนกระทั่งเขาเดินกลับมาถึงตำหนักไม้ไผ่และขึ้นไปยังห้องนอน เมื่อหัวถึงหมอน เด็กหนุ่มก็เผลอหลับไปทันที
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
ในป่าไผ่ด้านนอกตำหนักไม้ไผ่ ต้นไผ่กำลังเอนลู่ไปตามแรงลมที่โชยพัดผ่าน
คนผู้หนึ่งยืนอยู่บนยอดต้นไผ่เหมือนกับตนเองไม่มีน้ำหนัก
เส้นผมสีเขียวของเขาเป็นประกายระยิบระยับกลางแสงจันทร์
เขาติดตามหลินเป่ยเฉินมาตลอดทาง ตั้งแต่โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง จนถึงตำหนักไม้ไผ่
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเข้านอนแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เจ้าช่างเป็นเด็กดีจริงๆ”
เขายิ้มแย้ม กระโดดลงมาจากยอดไผ่ด้วยท่วงท่างามสง่า สองเท้าสัมผัสพื้นดินอย่างนุ่มนวล พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายทำให้เศษฝุ่นบนพื้นดินฟุ้งตลบเล็กน้อย หลังจากนั้น เจ้าของผมสีเขียวเป็นประกายก็ยิ้มกว้างและหมุนตัวเดินออกไป
แต่แล้วเท้าของเขาก็เหยียบอะไรบางอย่าง…
พรึบ!
ไม่รู้เลยว่าเหยียบลงไปบนอะไร รู้ตัวอีกทีก็มีหมอกควันสีเขียวฟุ้งตลบแล้ว
“กลิ่นแบบนี้…ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว นี่มันควันพิษ!”
เขาเดินซวนเซและรีบหลบหนีออกไปจากป่าไผ่อย่างรวดเร็ว
…
วันต่อมา
“เฮ้ย เมื่อคืนกลับมาบ้าน หัวถึงหมอนก็หลับเลยเหรอวะเนี่ย?” เสียวโวยวายของเด็กหนุ่มดังลั่นตำหนักไม้ไผ่
ถ้ามีคนไม่รู้มาได้ยินเข้า คงนึกว่าเกิดเรื่องคอขาดบาดตายขึ้นแล้ว
“เจ้าหมาแก่แซ่หวัง ทำไมเจ้าไม่ปลุกข้า?”
หลินเป่ยเฉินลากตัวหวังจงมากระทืบรับเช้าวันใหม่ไปหลายตุ๊บ
หวังจงครวญครางด้วยความเจ็บปวด “เมื่อคืนนี้นายน้อยกลับมาก็หลับไปเลยขอรับ ข้านึกว่านายน้อยดื่มมากเกินไปและหน้าตาท่านก็ดูเหนื่อยล้า ข้าก็เลยไม่อยากรบกวน…”
“ไม่ว่าข้าจะกลับมาดึกแค่ไหน หรือมีหน้าตาเหนื่อยล้ามากเพียงใด แต่เมื่อถึงตอนเช้า เจ้าต้องปลุกข้า เข้าใจหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงแข็ง
หวังจงรีบพยักหน้ารับทราบ
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมองสองสาวรับใช้ “เมื่อคืนนี้ พวกเจ้าคงไม่ได้ฉวยโอกาสทำมิดีมิร้ายข้าหรอกใช่ไหม?”
สาวรับใช้ทั้งสองหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “กราบเรียนนายท่าน เราเพียงช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นายท่านเท่านั้น”
“เฮ้อ…” หลินเป่ยเฉินยกมือปิดหน้าตัวเองด้วยความอับอาย “นับจากนี้ไป ถ้าข้าไม่ตื่น เจ้าห้ามมาเข้าใกล้ตัวข้าและห้ามถอดเสื้อผ้าข้าออกเด็ดขาด”
“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ” สองสาวรับคำอย่างเหนียมอาย
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองเจ้าหนูอากวงที่กำลังนั่งทำการบ้านอย่างขะมักเขม้น “บัดนี้อากวงเรียนได้กี่คำแล้ว?”
“กราบเรียนนายท่าน อากวงมีสติปัญญาฉลาดเฉลียว สามารถเรียนรู้ได้ถึงวันละ 20 คำเจ้าค่ะ”
“วันละ 20 คำ? งั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพิ่มการบ้านให้มากขึ้นเป็น 2 เท่า”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
อากวงใบหน้ากระตุก จ้องมองผู้เป็นเจ้านายอย่างร้องขอความเห็นใจ ตัวมันเองเริ่มรับรู้ถึงความทรมานของการต้องทำการบ้านที่ไม่รู้จบแล้ว
พลัน หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง “พ่อบ้านหวัง เรื่องสมุนไพรที่ให้ไปซื้อหา จัดการเรียบร้อยหรือยัง?”
หวังจงพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “นายน้อย ท่านให้เงินข้าน้อยเกินไปขอรับ ข้าต้องไปขอร้องคนขายอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็สามารถซื้อหามาได้หมด แต่ก็ยังต้องติดหนี้พวกเขาอยู่ 3 เหรียญทองคำ นายน้อยช่วยจัดการจ่ายหนี้ก้อนนี้ได้ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ “ก็ในเมื่อเจ้าไปสร้างหนี้เอาไว้เอง แล้วทำไมข้าต้องชดใช้ให้เจ้าด้วยเล่า? เจ้าทำตัวเอง ก็ต้องแก้ปัญหาเองสิ”
หวังจงไม่มีทางเลือก นอกจากก้มหน้ารับคำ “ข้าน้อยจะคิดหาทางขอรับ”
หลังจากนั้น ชายชราก็เอื้อมมือสัมผัสถุงเก็บของที่ห้อยอยู่ข้างเอว ในนั้นเต็มไปด้วยเหรียญทองคำนับร้อยเหรียญที่ได้มาจากการพนันเมื่อวานนี้ หวังจงแอบยิ้มด้วยความลิงโลดอยู่ในใจ คราวนี้แหละ เขาจะเปลี่ยนการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองเป็นเส้นทางเศรษฐีของตนเอง
“บดสมุนไพรทุกอย่างให้เป็นผงซะ แล้วข้าจะกลับมาปรุงยาคืนนี้”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง หลังจากล้างหน้าล้างตาและรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย เขาก็เดินไปที่หน้าสถานศึกษาและสมทบกับไป๋ชินหยุน เยว่หงเซียง ฮันปู้ฟู่ โดยสารขึ้นรถม้า ออกเดินทางสู่สถานศึกษากระบี่หลวง เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบที่สอง
…การแข่งขันที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น