บทที่ 221 การแข่งขันยกกระถาง
“การแข่งขันในรอบนี้จะเป็นการทดสอบพละกำลังของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน”
ผู้ที่ยืนพูดอยู่บนเวทียกพื้นสูงในขณะนี้ ก็คือเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมือง หลี่สงฟู่ เขากล่าวด้วยเสียงดังชัดเจนว่า “กติกาการแข่งขันนั้นเรียบง่ายมาก ผู้ใดที่สามารถยกกระถางได้น้ำหนักเยอะที่สุด ก็จะกลายเป็นผู้ชนะในการแข่งขันรอบนี้”
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นจากกลุ่มผู้เข้าแข่งขันทันที
ในทุกๆ ปี การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองจะแบ่งแยกออกเป็นหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในด้านสติปัญญาความรู้ พละกำลังของร่างกาย ทักษะในการใช้กระบี่ ความเข้าใจในเรื่องของการสร้างม่านพลัง ไปจนถึงความแข็งแกร่งของพลังลมปราณ
แต่ไม่มีกฎตายตัวที่ต้องระบุว่าทุกปีจะมีการแข่งขันเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันเพื่อวัดระดับพลังเหล่านั้น สามารถจัดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ
โดยที่รูปแบบการแข่งขันแต่ละปีจะถูกเก็บเป็นความลับ มีเพียงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงศึกษาประจำมณฑลเฟิงอวี่เท่านั้นที่รับทราบรายละเอียด ผิดกับทางด้านผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ที่จะมารู้รายละเอียดก็ต่อเมื่อเริ่มการแข่งขันแล้วนั่นเอง
ปีนี้ พวกเขากลับมาใช้วิธียกกระถางเพื่อวัดระดับพละกำลังในร่างกายอีกครั้ง
นี่คือรูปแบบการทดสอบที่ถูกใช้มาอย่างยาวนาน
โดยกระถางใบแรกจะมีน้ำหนักเริ่มต้นอยู่ที่ 500 ชั่ง
กระถางใบที่สองมีน้ำหนักอยู่ที่ 1,000 ชั่งและกระถางใบที่สามมีน้ำหนักอยู่ที่ 1,500 ชั่ง
และน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระถางละ 500 ชั่ง
เมื่อเป็นการแข่งขันทดสอบพละกำลังของร่างกาย ในห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน ก็ได้มีการสร้างค่ายอาคมพิเศษเอาไว้สำหรับบรรดาลูกศิษย์จากสถาบันต่างๆ และเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในห้องนี้แล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้อีกต่อไป
ดังนั้นจึงไม่มีหนทางโกงการยกน้ำหนักได้เลย
ซึ่งสถานที่จัดการแข่งขันก็คือห้องโถงใหญ่ในหอประชุมหมายเลขหนึ่งของสถานศึกษากระบี่หลวง
บัดนี้ กลุ่มผู้เข้าแข่งขันมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
“อื้อหือ ช่างหรูหราเสียจริง”
“เหมาะสมสำหรับเป็นสถานที่ฝึกวิชาเหลือเกิน”
“บรรยากาศดีกว่าสถาบันของเราไม่รู้ตั้งกี่เท่า”
ผู้เข้าแข่งขันที่ไม่ได้มาจากสถานศึกษากระบี่หลวง อย่างเช่นหลินเป่ยเฉิน ไป๋ชินหยุน และคนอื่นๆ เมื่อเดินเข้ามาพบเห็นความใหญ่โตโอ่อ่าและหรูหราของหอประชุม พวกเขาก็อดกวาดสายตามองรอบตัวและกล่าวชื่นชมออกมาไม่ได้
สมแล้วที่เป็นสถานศึกษากระบี่หลวง
ไม่ว่ามองมุมไหน สถานศึกษากระบี่ที่สามก็ไม่สามารถเทียบได้เลยสักนิด
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกได้ถึงพลังงานแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากใจกลางห้องโถงใหญ่ เมื่อเขาเดินหน้าต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าว พลังกดดันก็เข้าครอบคลุมร่างกาย รู้ตัวอีกทีตนเองก็ไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้อีกแล้ว
เขาเข้ามาอยู่ในค่ายอาคมปิดลมปราณแล้วสินะ
น่าเหลือเชื่อจริงๆ
ขณะนี้ บริเวณใจกลางห้องโถงใหญ่ตั้งเรียงรายไว้ด้วยกระถางขนาดใหญ่ยักษ์ 9 ใบ
กระถางเหล่านี้เป็นกระถางทองคำ มีขาตั้ง 3 ขา พื้นผิวแกะสลักไว้เพียงหยาบๆ ไม่มีการตกแต่งลวดลาย มีเพียงการตั้งเรียงตำแหน่งจากกระถางที่เล็กที่สุดไล่เรื่อยไปจนถึงกระถางที่ใหญ่ที่สุด
นอกจากขนาดและน้ำหนักแล้ว กระถางทั้ง 9 ใบก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันอีก
“ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องเดินเข้ามารับแผ่นป้ายหมายเลขของตนเอง การแข่งขันจะจัดลำดับตามหมายเลขที่ทุกคนได้รับ ห้ามไม่ให้มีใครข้ามหมายเลขหรือรบกวนผู้อื่นระหว่างแข่งขันเด็ดขาด ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ จะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันโดยทันที…เอาละ พวกเรามาเริ่มการแข่งขันกันเลยดีกว่า!”
พลัน ภายในห้องโถงใหญ่ก้องกังวานด้วยเสียงของผู้สังเกตการณ์จากกระทรวงศึกษา หลี่ชิงสวน
บัดนี้ มีการถ่ายทอดสดไปยังจุดสำคัญทั้ง 21 จุดภายในเมือง รวมถึงยังมีการถ่ายทอดสดไปยังเครื่องรับสัญญาณตามบ่อนพนันและตามจวนที่อยู่ของตระกูลมหาเศรษฐีอีกด้วย
กล่าวได้ว่าผู้คนนับหมื่นในเมืองหยุนเมิ่ง กำลังติดตามการแข่งขันครั้งนี้อย่างใจจดใจจ่อ
การถ่ายทอดสดเริ่มขึ้นแล้ว
ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 62 คนได้ป้ายหมายเลขประจำตัวเรียบร้อย พวกเขาเดินเข้ามายืนต่อแถวรอการเรียกชื่อตามลำดับหมายเลขของตัวเอง
“ตงฟางจัน ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขหนึ่ง เชิญออกมาทดสอบพละกำลัง” เสียงหัวหน้ากรรมการผู้ดูแลการแข่งขันพลันประกาศเรียกชื่อ
ตงฟางจันเดินออกไปยังที่ตั้งกระถางทั้ง 9 อย่างแช่มช้า
ต่อให้การทดสอบเรื่องระดับความรู้เขาจะได้คะแนนน้อย แต่เด็กหนุ่มมีความมั่นใจมากเรื่องพละกำลังของตนเอง
“วันนี้แหละ ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเองว่า ถึงพวกเจ้าเรียนดีไปก็ไม่มีความหมาย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำคะแนนในรอบนี้ให้ออกมาดีต่างหาก ฝันร้ายของพวกเจ้ากำลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
ตงฟางจันพูดออกมาเสียงดังและแข็งกร้าว
ระหว่างที่พูด เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กหนุ่มเดินผ่านหน้าหลินเป่ยเฉินซึ่งได้หมายเลข 28 ก่อนที่ตงฟางจันจะยิ้มเหยียดหยามและยกมือขึ้นทำท่าปาดคอใส่เขา
หลายคนหันมามองที่หลินเป่ยเฉินโดยไม่รู้ตัว
แต่บังเอิญว่าบัดนี้ หลินเป่ยเฉินมัวแต่คิดถึงเรื่องการแปรรูปสมุนไพรที่หวังจงซื้อมา ให้กลายเป็นเป็นยาพิษคุ้มกันพื้นที่โดยรอบตำหนักไม้ไผ่ เพราะนับจากนี้ไปคงหวังพึ่งพิงระเบิดอึของเจ้าหนูอากวงเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
ตอนที่มีใครหลายคนกำลังมองมาที่ตนเอง หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ฟังที่ตงฟางจันพูดไว้ก่อนหน้านี้เลยสักคำ
ตงฟางจันใบหน้ากระตุกด้วยความเคียดแค้น
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าจงเบิกตาดูให้ดี”
ว่าแล้วตงฟางจันก็พลันประกาศชื่อออกมาเสียงดัง ก่อนจะเดินตรงไปที่กระถางสาขาหมายเลขสอง
นี่คือกระถางที่มีน้ำหนัก 1,000 ชั่ง
ตงฟางจันยืนอยู่เบื้องหน้ากระถางใบใหญ่หมายเลขสอง เขาขยับแขนขาให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก จากนั้นจึงจับหูของกระถางด้วยสองมือ ส่งเสียงคำรามออกมาจากลำคอ ใช้แรงส่งจากช่วงเอวและแผ่นหลังรวมถึงสองแขนพร้อมๆ กัน ทันใดนั้น กระถางก็ถูกยกลอยขึ้นจากพื้นและชูขึ้นไปเหนือศีรษะ
ตงฟางจันยืนยกอยู่อย่างนั้นเป็นระยะเวลาสูดลมหายใจเข้าออกห้าครั้ง
“ไม่จริงน่า…”
“นี่เขาเริ่มยกก็ไปที่กระถางใบที่สองเลยหรือ!”
“สมแล้วที่เป็นตงฟางจัน ให้ยกกระถางแค่นี้ ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขาแล้ว”
“ตงฟางจันต้องผ่านการทดสอบแน่ๆ”
เกิดเสียงอุทานดังขึ้นจากกลุ่มผู้เข้าร่วมการแข่งขัน
สำหรับผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ การยกของที่มีน้ำหนักนับพันชั่งไม่ใช่เรื่องยากเย็น ถ้ามีพลังลมปราณคอยช่วยเหลือ
แต่เมื่อพลังลมปราณถูกปิดผนึก พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้แต่พละกำลังในร่างกายเท่านั้น และนั่นหมายความว่าต่อให้มีระดับพลังลมปราณแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้ แค่การยกกระถางใบใหญ่ด้วยการใช้แรงกายเพียงอย่างเดียว มันก็สร้างปัญหาให้แก่ผู้ฝึกยุทธ์มาแล้วมากมาย
จึงไม่มีใครคิดเลยว่าตงฟางจันจะสามารถยกกระถางใบที่สองขึ้นจากพื้นได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
วูบ!
เด็กหนุ่มโยนกระถางหมายเลขสองกลับลงไปที่เดิม
“หึหึ ก็ไม่เห็นจะยากเย็นตรงไหนเลยนี่นา”
ตงฟางจันระเบิดเสียงหัวเราะ
หลังจากนั้น เขาก็เดินตรงไปที่กระถางหมายเลขสาม
“เดี๋ยวก่อนนะ? นี่เขาคิดจะยกต่ออีกหรือ?”
“ถ้างั้นทำไมไม่ยกกระถางหมายเลขสามตั้งแต่แรกเลยล่ะ?”
“ถ้าเขามายกกระถางใบนี้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ถูกตัดกำลังไปด้วยกระถางหมายเลขสองแล้ว ช่างโง่เขลาอะไรขนาดนี้”
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันต่างสถาบันเห็นดังนั้น ก็อดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
ไม่รู้เลยว่าตงฟางจันต้องมั่นใจในตัวเองถึงขนาดไหน
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าจงดูให้ดี”
ตงฟางจันหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากระถางหมายเลขสาม เขาขยับแขนขา ปล่อยให้เลือดลมไหลเวียนไปทั่วร่างกาย จากนั้นจึงทำเหมือนตอนที่ยกกระถางหมายเลขสองทุกอย่าง แตกต่างตรงที่ว่าขณะนี้เด็กหนุ่มมีสีหน้าเยือกเย็นมากขึ้น
หลังจากนั้น เขาก็ย่อกายลง ใช้สองมือจับหูกระถางและใช้ช่วงไหล่กับช่วงท้องออกแรงยกเต็มที่
“ย๊าก!”
ตงฟางจันส่งเสียงคำรามออกมาจากลำคออีกครั้ง ในขณะที่ยกกระถางสามขาลอยขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ
“ให้ตายเถอะ…”
“ยกขึ้นจริงๆ ด้วยแฮะ”
“ฮ่าฮ่า น่าสนใจดีนี่นา”
ในกลุ่มผู้เข้าร่วมการแข่งขัน บางคนส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ ขณะที่บางคนก็เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย
แต่หลินเป่ยเฉินยังคงตั้งสมาธิอยู่ที่การคำนวณว่าจะใช้สมุนไพรชนิดไหน ทำเป็นยาพิษไปโรยรอบตำหนักไม้ไผ่ดี เขาจึงไม่ได้สนใจการแข่งขันแม้แต่น้อย
สุดท้าย ตงฟางจันก็สามารถยกกระถางหมายเลขสามขึ้นเหนือศีรษะได้สำเร็จ แต่กว่าที่เขาจะชูมันครบกำหนดระยะเวลาสูดลมหายใจห้าครั้ง ก็เล่นเอาเด็กหนุ่มมีเหงื่อออกทั่วร่างกาย ใบหน้าแดงก่ำ สุดท้ายเมื่อกรรมการประกาศว่าผ่านการทดสอบ ตงฟางจันจึงได้โยนกระถางกลับลงไปที่เดิมด้วยความโล่งอกยิ่ง
ตึ๊ง!
เสียงขาตั้งกระถางกระแทกพื้นดังกังวานทั่วห้องโถงใหญ่
“ตงฟางจัน มีพลังอยู่ในระดับจอมทะเลทราย” หลี่ชิงสวนประกาศผลออกมาเร็วไว
พลังระดับจอมทะเลทราย หมายถึงว่าตงฟางจันผ่านการทดสอบอยู่ในกลุ่มผู้ที่ได้คะแนนสูง
เหตุผลที่เขาได้คะแนนสูง ก็เพราะว่าก่อนยกกระถางหมายเลขสาม เขายกกระถางหมายเลขสองมาก่อน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตงฟางจันถึงต้องยกกระถางหมายเลขสองก่อนหน้านั้น เพราะลำพังกระถางหมายเลขสามแค่ใบเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาอยู่ในระดับจอมทะเลทรายเด็ดขาด
การจะอยู่ในระดับจอมทะเลทรายได้ ผู้เข้าแข่งขันต้องยกน้ำหนักรวมกันให้ได้ 1,500 ชั่งเป็นอย่างต่ำ
ผลการทดสอบออกมาเป็นที่น่าพอใจสำหรับตงฟางจัน
ในการแข่งขันตลอดหลายปีก่อนหน้านี้ ผู้ที่ยกน้ำหนักได้เท่าเขา ก็มีชื่อติดอยู่หนึ่งในสามของการทดสอบแล้ว
เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “คนแซ่หลิน ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะยกได้สักเท่าไหร่”