บทที่ 222 จากนี้ไปจะเป็นการประกาศผลผู้ชนะ
จนถึงบัดนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยังมัวแต่คิดเรื่องสูตรการปรุงยาพิษ และที่ไม่ตอบรับกลับไป ก็เพราะเขาไม่ได้สนใจที่อีกฝ่ายพูดสักคำ
“หึหึ ต่อให้เจ้าหวาดกลัวจนหัวหด มันก็สายเกินไปแล้ว” ตงฟางจันเข้าใจผิดคิดว่าหลินเป่ยเฉินหวาดกลัวพูดไม่ออก จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความลำพองใจ
เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาคนจำนวนมาก ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ต่างก็อดประหลาดใจไม่ได้
ปกติแล้ว หลินเป่ยเฉินเป็นคนที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรีถึงเพียงนั้น แล้วทำไมเขาถึงได้ปล่อยให้ผู้อื่นมาเหยียดหยามตนเองได้ถึงขนาดนี้?
ไป๋ชินหยุนได้หมายเลข 48 นางยกมือเกาหัวแกรกอยู่ท้ายแถวด้วยความร้อนใจ
คิดอยากจะออกไปช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินตอบโต้ตงฟางจันสักหลายคำ
เฉาพั่วเถียนยิ่งมายิ่งยิ้มแย้มมากกว่าเดิม
“พี่ชาย บุคคลผู้นี้กำลังเหยียดหยามท่านอยู่ เหตุไฉนถึงไม่ตอบโต้กลับไปบ้าง?”
หลินอี้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าหลินเป่ยเฉินหันมาเตือนด้วยความหวังดี
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองเพียงเล็กน้อย ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีก
เขากำลังใช้โทรศัพท์มือถือคำนวณสัดส่วนของสมุนไพรที่จะใช้เป็นยาพิษ ต่อให้พอจะรู้บ้างว่ารอบกายกำลังเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ
หลินอี้ได้แต่ส่ายหน้า แต่ในเวลาเดียวกันนั้นมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยามเช่นกัน
ผู้เข้าแข่งขันที่เข้ารับการทดสอบเป็นคนต่อมาคืออู๋ฉี เขาเป็นตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่ที่สี่ ผลสอบก่อนหน้านี้ของเขาอยู่ในระดับปานกลาง เด็กหนุ่มยกกระถางใบแรกและใบที่สองได้สำเร็จ แต่เมื่อลองยกกระถางใบที่สามได้เพียงครึ่งทาง ก็เกิดหมดแรงต้องวางกระถางกลับลงที่เดิม
“อู๋ฉี มีพละกำลังอยู่ในระดับจอมทะเลทราย” หลี่ชิงสวนเป็นผู้ประกาศผลคะแนน
การแข่งขันดำเนินต่อไป
“เสว่จิน มีพละกำลังอยู่ในระดับปานกลาง”
“ฉู่เฮ้ง มีพละกำลังอยู่ในระดับปานกลาง”
“จางเมิ้ง มีพละกำลังอยู่ในระดับจอมทะเลทราย”
“กงเมิ้ง มีพละกำลังอยู่ในระดับจอมทะเลทราย”
ผู้จัดการแข่งขันส่งสัญญาณถ่ายทอดสดไปทั่วเมือง
“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าเห็นหรือไม่ กงเมิ้งผู้นั้นเป็นบุตรสาวของข้าเอง ฮ่าฮ่าฮ่า…” ในห้องโถงของบ่อนพนันที่ใหญ่โตที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง ชายฉกรรจ์ผู้มัดผมจุกบนศีรษะยิ้มแย้มออกมาด้วยความตื่นเต้น แข่งขันมาจนถึงตอนนี้ นอกจากตงฟางจันแล้ว ก็นับว่าบุตรสาวของเขาเป็นผู้ที่มีคะแนนสูงสุด
ผู้คนที่อยู่รายล้อมรู้สึกอิจฉายิ่งนัก
นี่คือการแข่งขันแห่งเกียรติยศ
การมีชื่อเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันและสามารถทำคะแนนได้ดีเช่นนี้ หมายความว่าเด็กสาวที่มีนามว่ากงเมิ้งไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอนาคตหลังเรียนจบอีกต่อไป อย่างน้อยๆ นางก็ต้องได้บรรจุเข้าเป็นขุนนางรับใช้ประชาชนแน่นอน
นี่คือการยกระดับตระกูลกงโดยแท้
หวังจงปะปนอยู่ในกลุ่มผู้คน
เขาเห็นเหรียญทองคำกองมหึมาวางอยู่บนโต๊ะในคอกเสมียน ชายผู้ไว้ผมจุกเดินเข้าไปกอบเหรียญทองคำเหล่านั้นใส่กระเป๋าของตนเอง ทำให้พ่อบ้านชราอดนึกอิจฉาริษยาขึ้นมาไม่ได้
แต่เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโชคลาภของคนอื่น หวังจงมาที่นี่เพื่อหวังพึ่งใบบุญของนายน้อยเท่านั้น
ชายชราตั้งสติ เดินเข้าไปที่บริเวณหน้าคอกเสมียนและนำเหรียญทองคำจำนวน 100 เหรียญใส่ลงไปในตะกร้าที่มีป้ายชื่อ ‘หลินเป่ยเฉิน’ พร้อมกับพูดออกมาเสียงดัง “เดิมพันหมดหน้าตัก หลินเป่ยเฉินจะได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งของการทดสอบพละกำลัง!”
เสียงพูดคุยในบ่อนพนันเงียบกริบลงทันที
ชายผู้ไว้ผมจุกหันมามองหน้าหวังจงและสำรวจมองชายชราตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายก็กล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า การเดิมพันของท่านออกจะเสี่ยงอยู่ไม่น้อย จากข่าววงในที่ข้าได้มา หลินเป่ยเฉินไม่มีทางได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งเด็ดขาด หากคิดเปลี่ยนใจ ท่านยังมีเวลาหยิบเหรียญทองกลับมาได้อยู่นะ”
หวังจงยิ้มกริ่ม เชิดหน้าพูดด้วยความยโส “เจ้าไปได้ข่าววงในอะไรมา?”
ชายผู้ไว้ผมจุกกล่าวว่า “จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถทำข้อสอบวัดระดับความรู้ได้ดี มักจะทำคะแนนการทดสอบพละกำลังได้แย่…” เขามองหน้าหวังจงอย่างยิ้มแย้มขณะกล่าวต่อไป “ข้าเพียงอยากเตือนท่านด้วยความหวังดี เก็บเงินของท่านก้อนนี้ไว้เดิมพันในการแข่งขันอื่นเถิด”
“ข้ารู้ แต่ไม่จำเป็นหรอก”
ชายผู้ไว้ผมจุกยังคงพยายามโน้มน้าวไม่ยอมแพ้ “ท่านผู้เฒ่า ในเมื่อท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว เหตุไฉนถึงได้นำเงินก้อนใหญ่มาเดิมพันอย่างหมดหวังเช่นนี้อีก?”
ทันใดนั้น ใบหน้าของหวังจงแสดงความหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย ตอนแรกเขาก็มั่นใจในความเก่งกาจของนายน้อย แต่เมื่อโดนพูดกรอกหูหนักเข้า หวังจงก็ชักเริ่มไม่แน่ใจอีกแล้ว
เขาหันไปมองหน้าเสมียนสาวที่ประจำอยู่หลังคอกเสมียน และสอบถาม “ไม่ทราบข้าจะขอหยิบเงินคืน…”
ยังไม่ทันที่ชายชราจะพูดจบ เสมียนสาวก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ไม่ได้”
นางเคยเห็นนักพนันที่มีจิตใจโลเลมามากมายแล้ว
หากนางอนุญาตให้นักพนันสามารถหยิบเงินเดิมพันกลับคืนไปได้ทุกเมื่อ อย่างนั้นบ่อนพนันจะไม่เกิดความวุ่นวายหรือไร?
เมื่ออยากเดิมพันก็ต้องยอมรับความเสี่ยง
นี่คือกฎเหล็กของบ่อนพนันแห่งนี้
พลัน หวังจงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในทันใด
ตอนแรกก็มีนักพนันจำนวนมากอยากจะเดิมพันฝั่งหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์และการแต่งกายของพ่อบ้านชรา พวกเขาก็เปลี่ยนใจไปเดิมพันกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นดีกว่า
ชายผู้ไว้ผมจุกบนศีรษะยกมือตบไหล่พ่อบ้านชราอย่างปลอบใจ แล้วอธิบายว่า “เมื่อเดิมพันลงไปแล้ว เราก็ทำอะไรไม่ได้อีก ข้าจะบอกข่าววงในลับสุดยอดให้ท่านได้ทราบประการหนึ่งแล้วกัน ได้ยินมาว่าการแข่งขันคราวนี้มีเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉาพั่วเถียนจากสถานศึกษากระบี่ที่หก เขาเป็นลูกศิษย์แลกเปลี่ยนจากเมืองไป๋หยุน และสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้เป็นกรณีพิเศษ พละกำลังของเขาสามารถเอาชนะทุกคนได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากเฉาพั่วเถียนคนนี้แล้ว ท่านต้องไม่ลืมว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก็ยังมีหลิงเฉิน หลินอี้ หลิงเสวียน และยอดอัจฉริยะอีกมากมาย หลินเป่ยเฉินอาจมีฝีมือเก่งกาจก็จริง แต่เมื่อเทียบกับพวกเขาเหล่านั้น ก็ยังนับว่าห่างชั้นอีกไกลโข…ท่านโปรดทำใจยอมรับเสียเถิด ว่าตนเองได้สูญเสีย 100 เหรียญทองคำนี้ไปอย่างไม่มีทางหวนคืนเสียแล้ว”
เสียงพูดของชายผู้ไว้ผมจุก ยิ่งตอกย้ำให้นักพนันทั้งหลายเลือกเดิมพันอยู่กับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นมากกว่าหลินเป่ยเฉิน เห็นได้ชัดว่านอกจากพ่อบ้านหวังจง ไม่มีใครเลือกเดิมพันอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้าแกะดำเลยสักคน
“ฮ่าฮ่า งั้นข้าเลือกเดิมพันฝั่งเฉาพั่วเถียนดีกว่า”
“ข้าก็ด้วย…”
“5 เหรียญทองคำ ข้าขอเดิมพันหมดตัว…”
เริ่มเกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายจากกลุ่มนักพนันอีกครั้ง
…
ณ สถานศึกษากระบี่หลวง
ในห้องโถงใหญ่ของหอประชุมหมายเลขหนึ่ง
“เยว่หงเซียง มีพละกำลังอยู่ในระดับย่ำแย่” เสียงพูดที่ปราศจากอารมณ์ของหลี่ชิงสวนดังกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่
อาภรณ์ของเยว่หงเซียงเปียกโชกเหมือนคนตกน้ำ นางเดินซวนเซกลับออกมาจากข้างกระถางใบใหญ่เหมือนพร้อมจะเป็นลมได้ตลอดเวลา
กว่าที่จะยกกระถางหมายเลขหนึ่งได้สำเร็จ เยว่หงเซียงก็ต้องรวบรวมเรี่ยวแรงออกมาแทบทั้งหมด
ทุกคนได้เห็นกับตาแล้วว่าผู้ที่ได้คะแนนดีจากการสอบวัดความรู้ ไม่จำเป็นต้องมีคะแนนดีในการสอบวัดพละกำลังเสมอไป ดังเช่นเด็กสาวผู้สวมใส่หน้ากากคนนี้ กว่าที่นางจะยกกระถางหมายเลขหนึ่งขึ้นจากพื้นสำเร็จ ก็ทำเอาใครหลายคนลุ้นด้วยความระทึกหลายตลบ
ฮันปู้ฟู่รีบเดินเข้าไปหาเยว่หงเซียง เพื่อจะช่วยประคองนาง
แต่กลายเป็นว่าไป๋ชินหยุนวิ่งตัดหน้าเขาเข้าไปช่วยประคองเด็กสาวก่อน “ท่านพี่หงเซียง เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
เส้นผมของเยว่หงเซียงเปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ นางยิ้มแย้มพลางส่ายศีรษะตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร ถ้าได้ออกไปนั่งโคจรพลังที่นอกห้องโถงสักเล็กน้อย ก็น่าจะดีขึ้น…”
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปเลยสิ” ไป๋ชินหยุนกล่าว
เยว่หงเซียงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อีกเดี๋ยวศิษย์พี่ฮันกับท่านพี่หลินก็จะต้องออกไปทดสอบพละกำลังแล้ว ข้าจะอยู่เป็นกำลังใจให้พวกเขาก่อน เมื่อพวกเขาแข่งขันเสร็จ ข้าค่อยออกไปนั่งโคจรพลังก็ได้”
จังหวะนั้น มีเสียงประกาศดังขึ้นว่า “ผู้เข้ารับการทดสอบคนต่อไป เฉาพั่วเถียน เชิญก้าวออกมาข้างหน้า”
ในที่สุด ก็ถึงคราวของเฉาพั่วเถียนแล้ว
เด็กหนุ่มผมทองเดินอาดๆ ไปหยุดยืนอยู่หน้ากระถางทั้ง 9 ใบ
เขามีร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา สีหน้าเย็นชาปราศจากความตื่นเต้น เป็นเสมือนผู้ที่ผ่านโลกมาแล้วโชกโชน ซึ่งทำให้เหล่าคณะอาจารย์และผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ อดตกตะลึงไม่ได้
“จากนี้ไปจะเป็นการประกาศผลผู้ชนะ” เฉาพั่วเถียนพูดออกมาเสียงดังฟังชัด
ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็เดินตรงไปหยุดอยู่เบื้องหน้ากระถางหมายเลขสี่
“ไม่จริงน่า เขาคิดจะเริ่มที่กระถางหนัก 2,000 ชั่งเชียวหรือ?”
“อะไรจะมั่นใจขนาดนั้น?”
“น้ำหนัก 2,000 ชั่งไม่ใช่เบาๆ นะ เขาแน่ใจได้อย่างไรว่าตนเองจะยกไหว?”
บังเกิดเสียงอุทานและเสียงพูดคุยดังขึ้นรอบบริเวณ
เฉาพั่วเถียนใช้สองมือจับไปที่หูของกระถางใบใหญ่หมายเลขสี่ จากนั้นจึงก้มตัวลงเล็กน้อย และแล้ว เด็กหนุ่มก็สามารถยกกระถางที่มีน้ำหนัก 2,000 ชั่งขึ้นจากพื้นได้อย่างง่ายดาย