บทที่ 223 กระถางหมายเลขห้า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 223 กระถางหมายเลขห้า

“ยกขึ้นจริงๆ ด้วย”

“ล้อกันเล่นใช่ไหม? ทำไมถึงได้ง่ายดายเพียงนี้”

“ข้ารู้สึกว่าเฉาพั่วเถียนจะต้องไปยกกระถางหมายเลขห้าต่อแน่ๆ…”

เสียงอุทานดังขึ้นในห้องโถงใหญ่

กลุ่มคณะอาจารย์จากสถานศึกษาต่างๆ มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในพริบตา

เด็กหนุ่มผมทองมีพลังน่ากลัวเหลือเกิน

มีแต่เพียงชิวเทียนจากสถานศึกษากระบี่ที่หกคนเดียวเท่านั้นที่สามารถยิ้มแย้มออกมาอย่างตื่นเต้น

หลังได้รับบาดเจ็บไปเมื่อคืนก่อน ชายชราร่างอ้วนก็เข้ารับการรักษาที่วิหารเทพกระบี่ อาการบาดเจ็บจึงทุเลาเกินครึ่ง ทำให้สามารถกลับมาปรากฏตัวได้อีกครั้ง เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ชิวเทียนก็อดส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความดีใจไม่ได้

เฉาพั่วเถียนสามารถยกกระถางได้อย่างมั่นคง

ร่างกายของเขาไม่มีอาการสั่นไหวแม้แต่น้อย

นี่เท่ากับว่าตำแหน่งผู้ชนะการทดสอบในรอบนี้ เข้ามาอยู่ในกระเป๋าของสถานศึกษากระบี่ที่หกเกินครึ่งแล้ว

ตอนแรก เป็นชิวเทียนเองที่ถูกคัดค้านการรับตัวเฉาพั่วเถียนเข้ามาเป็นลูกศิษย์ชั่วคราวโดยคณะอาจารย์ผู้อาวุโสในสถาบัน แต่บัดนี้ เด็กหนุ่มก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของชิวเทียนคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง

คิดได้ดังนั้น ชายชราร่างอ้วนก็ต้องหันไปมองทางตำแหน่งที่นั่งของคนจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม

เขาเห็นหลิวฉีไห่ ฉู่เหินและพานเว่ยหมินนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง

ชิวเทียนหัวใจพองโตยิ่งนัก

ตึ๊ง!

กระถางที่มีน้ำหนัก 2,000 ชั่งถูกโยนกลับลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง

เฉาพั่วเถียนยืนอยู่ที่เดิม ขยับแขนไล่ความเมื่อยขบ ลักษณะท่าทางผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

ต่อให้ในขณะนี้ตงฟางจันยังคงเป็นผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุด แต่เขาก็ต้องถอนหายใจออกมาแล้ว

ตงฟางจันพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมืออย่างเฉาพั่วเถียน ช่องว่างระหว่างฝีมือยังคงห่างชั้นมากเกินไป

เฉาพั่วเถียนหันมาชำเลืองมองหลินเป่ยเฉิน ก่อนจะส่ายศีรษะ ยิ้มเหยียดหยาม และทำในสิ่งที่ทุกคนคิด ซึ่งก็คือการเดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากระถางหมายเลขห้าที่มีน้ำหนัก 2,500 ชั่ง

ทันใดนั้น ทุกคนแทบจะกลั้นหายใจ

เป็นเวลานานมากกว่าสี่ปีแล้ว ไม่เคยมีใครสามารถยกกระถางที่มีน้ำหนัก 2,500 ชั่งได้มาก่อน

คนสุดท้ายที่สามารถทำได้ ก็คือยอดหญิงอัจฉริยะแห่งสถานศึกษากระบี่หลวงหลิงถิงซาน ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเติบใหญ่ในจักรวรรดิเป่ยไห่

เฉาพั่วเถียนยืนอยู่เบื้องหน้ากระถางหมายเลขห้า ขยับแขนขยับขา เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการยก

เขาหันหน้ากลับมามองหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ข้าจะทำลายสถิติที่พี่สาวเจ้าเคยทำเอาไว้ นับจากวันนี้ไป ทุกสิ่งที่ตระกูลหลินเคยสร้างจะต้องถูกข้าเหยียบย่ำจมปฐพี!”

พูดจบ เด็กหนุ่มก็ก้มตัวลง เขาใช้สองมือจับขาตั้งของกระถางหมายเลขห้า จากนั้นจึงดึงตัวมาทางด้านหลังเล็กน้อย แขนและขาของเขามีเส้นเลือดปูดโปน เห็นได้ชัดว่ากำลังรวบรวมพละกำลังที่มีทั้งหมดออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย

“ขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” เฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงคำราม

แล้วกระถางที่มีน้ำหนัก 2,500 ชั่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า

“ยกขึ้นจริงๆ ด้วย!”

“ให้ตายเถอะ เขาต้องทำลายสถิติได้แน่ๆ”

“แบบนี้…เขาก็ทำคะแนนขึ้นมาเป็นที่หนึ่งแล้วน่ะสิ”

เสียงผู้เข้าแข่งขันพูดคุยกันกึกก้องห้องโถงใหญ่ บางส่วนเป็นผู้เข้าแข่งขันที่ยกกระถางไปแล้วและบางส่วนก็ยังคงรอคอยการเรียกชื่อ แต่ขณะนี้ บรรยากาศอื้ออึงด้วยเสียงพูดคุยที่ควบคุมไม่ได้ ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเองเพิ่งพบเห็น

เด็กหนุ่มผมทองสามารถทำคะแนนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์การแข่งขัน โดยทำลายสถิติเดิมด้วยน้ำหนักที่มากกว่ากันถึง 1,000 ชั่ง

สำหรับกับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว การที่ต้องปิดพลังลมปราณและยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมหาศาลด้วยพละกำลังจากร่างกาย เป็นการกระทำที่ไม่ต่างไปจากการเข็นครกขึ้นภูเขา มีคนจำนวนไม่น้อยขอยอมแพ้ ก่อนที่จะเริ่มการทดสอบด้วยซ้ำ

แม้แต่สีหน้าของหลี่ชิงสวน ผู้สังเกตการณ์ประจำการแข่งขันครั้งนี้ ก็ยังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ถึงเฉาพั่วเถียนจะมีชื่อเสียงไม่ค่อยดี แต่ความแข็งแกร่งทางพละกำลังของเขาคือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้

เมื่อเฉาพั่วเถียนยกกระถางหมายเลขห้าค้างอยู่เหนือศีรษะเป็นเวลาสูดลมหายใจเข้าออกห้าครั้งได้สำเร็จ เขาก็โยนกระถางกลับลงไปที่เดิมพร้อมทั้งระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

เสียงหัวเราะดังกังวานทั่วห้องโถงใหญ่

เขาไม่ได้เดินไปที่กระถางหมายเลขหก

เพราะเพียงเท่านี้ เฉาพั่วเถียนคิดว่าคงพอแล้ว

เด็กหนุ่มมั่นใจว่าด้วยคะแนนรวมของน้ำหนักที่ทำได้ เขาก็สามารถเอาชนะทุกคนได้แล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า แบบนี้เราก็รู้แล้วว่าใครเป็นผู้ชนะ”

“เจ้าเด็กคนนี้มันไปกินอะไรมา สามารถยกได้ถึง 2,500 ชั่ง นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ”

เสียงตะโกนของนักเสี่ยงโชคดังกึกก้องทั่วบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่ที่จัดการแข่งขันยกกระถาง ถูกส่งสัญญาณภาพมาปรากฏขึ้นบนหน้าจอการถ่ายทอดสดของบ่อนพนันแห่งนี้

ชายหนุ่มผู้ไว้ผมจุกแซ่กงระเบิดเสียงหัวเราะดังมากขึ้นกว่าเดิม “ก่อนหน้านี้ทุกคนได้ยินที่ข้าพูดแล้วใช่ไหม? เฉาพั่วเถียนเก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ ฮ่าฮ่า พวกเรามาร่ำรวยไปด้วยกันเถอะ…” หลังจากนั้น เขาก็หันมาส่ายหน้าใส่หวังจงและพูดว่า “ช่างน่าสงสารท่านผู้เฒ่าคนนี้เสียจริง เฮ้อ!”

หวังจงได้แต่หัวเราะในลำคอ

เพราะอย่างไรก็เอาเงินเดิมพันคืนกลับมาไม่ได้แล้ว

ชายชรายกมือลูบเคราแพะของตัวเองและกล่าวว่า “คอยดูให้ดีก็แล้วกัน”

“ฮะ? ท่านยังมีหวังจะชนะอยู่อีกหรือ?”

“ฮ่าฮ่า ท่านลุง เห็นอย่างนี้ท่านยังเชื่อว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถชนะเขาได้อีกหรือ?”

“นี่สินะโบราณถึงบอกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”

ชายหนุ่มผมจุกแซ่กงมีเสียงหัวเราะดังมากกว่าทุกคน “ท่านผู้เฒ่า เลิกหวังลมๆ แล้งๆ เสียเถอะ มันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หากหลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะเฉาพั่วเถียนได้จริงๆ ข้าจะยอมแทะโต๊ะไม้ตัวนี้แทนมดปลวกให้ท่านดูเป็นบุญตา!”

“เฉาพั่วเถียน มีพลังอยู่ในระดับจอมทะเลทราย” เสียงประกาศผลการทดสอบดังกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่อีกครั้ง

“สถิติของตระกูลหลินถูกทำลายลงแล้ว” เฉาพั่วเถียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว

เสียงของเขาดังทะลุรูหูทุกคน

“จริงหรือ?”

พลัน ใครคนหนึ่งพูดสวนกลับไป

“ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจผิดแล้วนะ แค่ยกกระถางหมายเลขห้าได้หน่อย ก็คิดว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะแล้วหรือ? ไม่ทราบว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?”

คนพูดก็คือหลินเป่ยเฉิน

เขาค่อยๆ เดินแหวกกลุ่มผู้เข้าแข่งขันออกมาข้างหน้า เมื่อสบตามองหน้าเฉาพั่วเถียน ริมฝีปากก็บิดตัวเป็นรอยยิ้มเหยียดหยาม “ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ เจ้าคิดว่าการยกกระถางหมายเลขห้าได้สำเร็จ มันทำให้เจ้าเป็นจอมพลังแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เฉาพั่วเถียนเหยียดยิ้มเย้ยหยันและหัวเราะเยาะตอบกลับไป “เจ้าทำได้หรือเปล่าล่ะ?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะฮ่าฮ่า “เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ว่ารสชาติของความหมดหวังมันเป็นอย่างไร”

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันไปทางหลี่ชิงสวนและกล่าวว่า “กราบเรียนใต้เท้าหลี่ ข้ามีเรื่องอยากจะร้องขอเป็นกรณีพิเศษ โปรดให้สิทธิ์ข้าเข้ารับการทดสอบต่อจากเฉาพั่วเถียนได้ไหมขอรับ?”

หลี่ชิงสวนยังไม่ทันได้กล่าวตอบอะไร หลินอี้ก็ชิงพูดขึ้นมาว่า “ข้าขอคัดค้าน”

แล้วเด็กหนุ่มก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “กฎกติการะบุไว้อย่างชัดเจนว่าผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องเข้ารับการทดสอบตามหมายเลขที่ได้รับ พี่เป่ยเฉิน ไม่ทราบว่าท่านตื่นเต้นเกินไปหรืออย่างไร? รู้ตัวหรือไม่ว่าท่านกำลังทำผิดกฎการแข่งขัน และมันจะทำให้ท่านต้องถูกไล่ออก!”

บังเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นรอบบริเวณ

ใบหน้าของหลินอี้ประดับด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าญาติร่วมสายเลือดด้วยแววตาเหนื่อยใจ “ทำไมเจ้าต้องอวดรู้แสดงความโง่เขลาของตัวเองด้วย? ข้าเป็นผู้ที่ได้คะแนนเต็มจากการสอบวัดความรู้รอบแรก และผู้ที่ได้ตำแหน่งอันดับหนึ่งจากรอบที่แล้ว มีสิทธิ์พิเศษที่จะขออะไรก็ได้จากผู้ควบคุมการแข่งขัน ข้าถึงได้ใช้สิทธิ์นั้นขอเข้ารับการทดสอบต่อจากเฉาพั่วเถียน อย่าบอกนะว่าเรื่องแค่นี้เจ้าก็ไม่รู้?”

สีหน้าของหลินอี้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

จังหวะนั้น ผู้สังเกตการณ์หลี่ชิงสวนกล่าวออกมาเสียงดังว่า “อนุมัติคำร้องขอ หลินเป่ยเฉินจะเป็นผู้ที่เข้ารับการทดสอบต่อจากเฉาพั่วเถียน”

เด็กหนุ่มผมทองขยับไปยืนกอดอกยิ้มเหยียดหยามอยู่ด้านข้าง

หลินเป่ยเฉินเดินไปข้างหน้าภายใต้การจับจ้องของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน…แล้วเขาก็เคลื่อนกายไปหยุดอยู่ที่หน้ากระถางหมายเลขหนึ่ง

กระถางหมายเลขหนึ่งที่มีน้ำหนักเพียง 500 ชั่ง

ทันใดนั้นเอง แม้แต่กลุ่มคณะอาจารย์ก็อดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

“เจ้าเด็กคนนี้คิดจะทำอะไร…”

เริ่มมีเสียงพูดคุยด้วยความเหยียดหยามดังขึ้น

แต่แล้วพวกเขาก็ได้เห็นหลินเป่ยเฉินสามารถยกกระถางหมายเลขหนึ่งขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เมื่อครบกำหนดระยะเวลาสูดลมหายใจห้าครั้ง เขาก็วางมันกลับคืนลงที่เดิมอย่างนุ่มนวล

เด็กหนุ่มเดินต่อไปที่กระถางหมายเลขสอง

เขายังคงจับหูกระถางด้วยมือเพียงข้างเดียว ลักษณะท่าทางยังคงผ่อนคลาย เมื่อยกขึ้นเหนือศีรษะได้ครบตามระยะเวลาที่กำหนด เขาก็วางกระถางกลับคืนลงที่เดิม

บัดนี้ แม้แต่ผู้ที่โง่เขลาที่สุดก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด

เพียงพริบตาเดียว หลินเป่ยเฉินก็เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระถางหมายเลขสาม

เขายังคงยกกระถางที่มีน้ำหนัก 1,500 ชั่งได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว มิหนำซ้ำ ยังสามารถชูขึ้นเหนือศีรษะได้อย่างมั่นคง เมื่อครบกำหนดตามระยะเวลา เด็กหนุ่มก็วางกระถางกลับคืนลงที่เดิมอีกครั้ง

แล้วเขาก็ยกกระถางหมายเลขสี่

ตามด้วยกระถางหมายเลขห้า

หลินเป่ยเฉินยังคงยกกระถางด้วยมือเพียงข้างเดียว

เขาไม่เคยเปลี่ยนไปใช้มืออีกข้างสักครั้ง

หลินเป่ยเฉินใช้งานเพียงแต่มือซ้ายของตัวเอง กล่าวได้ว่า มือขวาของเขายังไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด

ในห้องโถงใหญ่บัดนี้เกิดความเงียบในชนิดที่แม้แต่เสียงเข็มตกก็คงได้ยินแล้ว