นี่ก็ถูก
เสินเซ่อเทียนฟังแล้วก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มๆ เอ่ยว่า “เจ้ายังจำได้หรือเปล่า คดีที่เยี่ยนมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักจงเจิ้งเมื่อสี่ปีก่อน”
แววตาเสินเซ่อเทียนลุ่มลึก น้ำเสียง…ดังขึ้นตามมาว่า “เจ้าพูดถึงการตายขององค์ชายน้อยเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์จงเจิ้งหรือ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า
เสินเซ่อเทียนแค่นเสียงเย็นเบาๆ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยสายตาไม่พอใจ “ความต้องการของเสด็จพ่อเจ้าในปีนั้น หากมีคนในราชวงศ์จงเจิ้งที่ยังไม่ตาย ต้องรักษาชีวิตไว้ให้ได้ เป้าหมายก็เพื่อทำให้เป่ยเฉินอี้สงบ กังวลว่าเมื่อเป่ยเฉินอี้ฟื้นขึ้นมา สุดท้ายจะก่อการกบฏ แต่ว่า…เจ้าลงมือฆ่าเด็กคนนั้นด้วยตัวเองหรือ”
ปลายนิ้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่นไหวเล็กน้อย จับจ้องมองเสินเซ่อเทียน ยิ้มเอ่ยว่า “ถูกต้อง เพราะว่าเยี่ยนอยากเห็นหลังจากเสด็จอาฟื้นขึ้นมาแล้วจะต่อสู้กับเสด็จพ่อถึงขั้นเอาชีวิต หากเป็นเช่นนั้นถึงมีเรื่องสนุกให้ชม แต่ว่าหลังจากเสด็จอาฟื้น ไม่เพียงแค่สูญเสียวรยุทธ์ ขายังพิการอีก ความหวังของเยี่ยนก็แหลกสลาย ตอนนั้นเยี่ยนยังรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว”
เปลือกนอกเขาเอ่ยสบายๆ ในใจกลับเหมือนพายุโหมกระหน่ำ เรื่องนี้…หากเยี่ยเม่ยรู้เข้า เขาไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์
ส่วนเป้าหมายที่เขามาในวันนี้…
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว สายตาปรากฏความไม่พอใจ “เรื่องนี้ทำให้เสด็จพ่อของเจ้าพิโรธหนักมาก ข้าไม่อยากให้เจ้ากับเสด็จพ่อเจ้าปะทะกันในตอนนั้น กอปรกับแม่ทัพผู้หนึ่งที่ช่วยสงบศึกในตอนนั้น พลีชีพแล้ว ข้าถึงได้บอกว่าเขาพลาดพลั้งสังหารองค์ชายน้อยไป เรื่องนี้ถึงได้สงบลง”
ไม่ว่าอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในตอนนั้นก็คือคนที่สามารถยกเท้าเตะฮ่องเต้ลงจากบัลลังก์ได้ ยามฮ่องเต้จะลงโทษเขา
เสินเซ่อเทียนย่อมทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อกันไม่ให้ทั้งสองคนเกิดการปะทะกัน จะว่าอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นลูกศิษย์เขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า
ถัดมาค่อยถามว่า “เรื่องนี้ นอกจากจวินซ่างแล้ว ยังมีใครรับรู้อีกหรือไม่”
เสินเซ่อเทียนเลิกคิ้วสูง ชะงักไปเล็กน้อย “แม่ทัพที่รู้เรื่องราวในปีนั้นไม่มีใครรอดสักคน แม้กระทั่งเป่ยเจี้ยนเกอและเฉิงเสี่ยวจวนก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จึงไม่รู้เรื่อง เหตุใด ไฉนจู่ๆ เจ้าถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา”
เสินเซ่อเทียนกล่าวเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็วางใจ
ดังนั้นคนที่ต้องกำจัดในวันนี้ก็มีเพียงบ่าวในวังที่หลงเหลืออยู่ของราชวงศ์จงเจิ้ง
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร เพียงแต่ช่วงนี้รู้สึกเบื่อหน่าย อยากเอาเรื่องนี้ไปคุยกับเสด็จพ่อ ดูว่าเสด็จพ่อจะทรงกริ้วหรือไม่ก็เท่านั้น”
“เจ้า!” เสินเซ่อเทียนถูกยั่วโมโห
แต่ด้วยนิสัยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำเรื่องประเภทนี้ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เขารีบเตือนเสียงจริงจัง “เรื่องนี้เจ้าห้ามเอ่ยกับเสด็จพ่อเจ้าแม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้นจุดยืนของข้าเกรงว่าจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
ในตอนนี้เขายอมเชื่อใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชั่วคราว ทั้งยังมีความคิดที่จะช่วยเหลือเขา
แต่หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจงใจหยิบยกเรื่องนี้สนทนากับฝ่าบาท ก่อเรื่องขึ้นมาเขาย่อมพิจารณาจุดยืนของตัวเองใหม่อีกครั้ง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มออกมา “อย่าโกรธเลย เยี่ยนก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น หากพูดเรื่องนี้กับเสด็จพ่อในตอนนี้ เรื่องที่ข้ากับเยี่ยเม่ยทำทั้งหมดในระยะนี้จะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ”
เขาเอ่ยเช่นนี้ ในใจเสินเซ่อเทียนค่อยสงบขึ้นมาหลายส่วน
หัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าคิดได้เช่นนี้ดีที่สุด ฟ้ามืดแล้ว รีบกลับเถอะ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเสินเซ่อเทียนด้วยความแปลกใจ ถามว่า “เจ้าไม่คิดทวงความยุติธรรมให้องค์ชายรองหรือ”
เสินเซ่อเทียนเอ่ยตามสัตย์ “เขาก่อกรรมเอง สมควรรับโทษแล้ว ข้านึกมาตลอดว่าเจ้าไม่มีทางทำเรื่องดีๆ ได้ แต่ไม่อาจไม่บอกว่า จากมโนธรรมของข้า เรื่องของเยว่ซังอิ๋น เสด็จพี่รองเจ้าสมควรตายจริงๆ เจ้ากลับจับพลัดจับผลูทำเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นข้าไม่คิดสอดมือ”
ถึงแม้จุดยืนของเสินเซ่อเทียนคือจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ยืนหยัดไม่เปลี่ยนแปลง เห็นการภักดีต่อเป่ยเฉินเซี่ยวมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีมโนธรรม”
ดังนั้น…เรื่องนี้เขาไม่คิดยุ่งด้วย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วกลับไม่รู้สึกแปลกใจ เขาลุกขึ้นด้วยท่าทางสง่างาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเยี่ยนขอตัวกลับก่อนแล้ว พียงแต่จวินซ่างท่านจะรับปากเยี่ยนเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
เสินเซ่อเทียนแปลกใจ “เรื่องอะไร”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบอกตามตรง “ในเมื่อจวินซ่างไม่เห็นด้วยเรื่องที่เยี่ยนจะพูดเรื่ององค์ชายน้อยแห่งจงเจิ้งกับเสด็จพ่อ อย่างนั้นจวินซ่างจะรับรองได้หรือเปล่าว่านับตั้งแต่บัดนี้ไป จวินซ่างจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”
เสินเซ่อเทียนประหลาดใจ ไฉนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงขอร้องเช่นนี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบเนิบๆ “อย่างไรเสียเยี่ยนกำลังสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เสด็จพ่อไม่ใช่หรืออย่างไร ดังนั้นเมื่อจวินซ่างรับรองว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น เยี่ยนถึงวางใจลงได้อย่างเต็มที่”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว แค่นเสียงเบาๆ คำหนึ่ง เรื่องในปีนั้น เดิมทีเขาเป็นคนสะกดเอาไว้เอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาย่อมไม่ยินยอมเปิดโปงออกมา
แววตาของเขานิ่งไป “ได้ ข้ารับรองจะไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว”
“อย่างนั้นก็สัญญาตามนี้” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยจบก็ก้าวเท้าจากไป
เสินเซ่อเทียนตอบรับคำหนึ่ง ค่อยจากไปเช่นกัน
……
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมไม่นานอวี้เหว่ยพาตัวชายชราอายุหกสิบกว่าปีมาปรากฏตัวยยู่เบื้องหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย หาตัวคนพบแล้วพ่ะย่ะค่”
เสี้ยววินาทีที่ชายชราผู้นั้นเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็จดจำเขาได้ในทันที ชี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตวาดด่าว่า “เป็นเจ้า! เจ้ามันปีศาจร้าย!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจับจ้องมองเขา ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างน่ามอง “ตอนนั้นที่ไว้ชีวิตเจ้า เพียงเพราะให้เจ้าส่งข่าวเรื่องที่ข้าสังหารเด็กคนนั้นไปถึงหูเสด็จพ่อ เสด็จพ่อมาหาเรื่องเยี่ยน เยี่ยนย่อมไม่อาจไม่ตอบโต้ สั่งสอนเขาได้ แต่ไรมาเยี่ยนชอบให้คนอื่นมาหาเรื่อง เช่นนั้นต่อให้เยี่ยนรังแกพวกเขา ก็ยังสามารถแสร้งเป็นวิญญูชนมากหลักการ ยืนอยู่บนหลักเหตุผล สั่งสอนว่าเหตุใดพวกเขาถึงเป็นเช่นนี้ น่าเสียดาย เจ้ากลับหนีไป ทั้งยังหาที่หลบซ่อนเปลี่ยนชื่อแซ่ เก็บเรื่องนี้ฝังไว้ตลอดกาล”
ยามเมื่อชายชราได้ฟัง สีหน้าก็ฉายแววสำนึกเสียใจ ถึงเขามีใจภักดีต่อราชวงศ์จงเจิ้ง แต่ว่าเขาก็เป็นแค่ขันที ราชสำนักจงเจิ้งไม่หลงเหลือแล้ว หากเขาไม่หาที่หลบซ่อน ซ้ำยังออกมาก่อเรื่อง นั่นก็เท่ากับรนหาทางตายสถานเดียว
มดยังรู้จักหนีเอาชีวิตรอด นับประสาอะไรกับคนผู้หนึ่งเล่า
ดังนั้นเขาถึงได้เลือกหาสถานที่เพื่อหลบซ่อนแล้วใช้ชีวิตต่อไป
คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกพบตัว ครั้งนี้เขารู้ดีว่าตัวเองเคราะห์ร้ายมากกว่าดี ด้วยเหตุนี้เขาถึงเอ่ยว่า “เจ้ามันสัตว์เดียรัจฉาน ตอนนั้นข้าอยู่ที่ประตูอู่เต๋อ แอบเห็นองค์ชายน้อยเตรียมติดตามฝ่าบาทไป ทว่ากลับถูกเจ้าไล่ตามไปแล้ว เขาแค่เด็กคนหนึ่งเพิ่งจะสิบขวบเท่านั้น เจ้าไม่เพียงสังหารเขา ซ้ำยังหักแขนขาเขาก่อนสังหารด้วย ข้าไม่เคยพบคนที่อำมหิตเช่นเจ้ามาก่อนเลย”
เขาไม่เคยพบเคยเห็นคนเช่นนี้จริงๆ บุรุษหนุ่มผู้นี้ตอนนั้นอายุสิบกว่าขวบเท่านั้น ยังไม่ถึงยี่สิบเลย มีใบหน้าหล่อร้ายที่สุดในโลกหล้า กลับลงมือทำเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้ออกมาได้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับรู้สึกว่าปลายเท้าเย็นเยียบ
ตอนนั้นที่เขาลงมือหนักก็เพราะหวังว่าหลังจากเป่ยเฉินอี้รู้เรื่องแล้วว่าเสด็จพ่อกำจัดคน ไม่เพียงสังหารน้องชายของจงเจิ้งซี ซ้ำยังตัดแขนตัดขาก่อนสังหารคนด้วย นี่จะทำให้เป่ยเฉินอี้ที่เดิมทีก็โมโหอยู่แล้วยิ่งทวีความเดือดดาลขึ้นไปอีก
แต่ว่า…
ก่อนที่เขายังไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นคือน้องชายเยี่ยเม่ย เขาย่อมไม่มีความรู้สึกใดๆ อย่างไรเสียคนที่ตายด้วยน้ำมือเขา ถูกเขาสังหารอย่างอำมหิตก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่หลังจากรับรู้ว่าเด็กคนนั้นคือน้องชายของเยี่ยเม่ย
ความจริงระยะนี้ ในใจเขาไม่มีอวันใดที่ไม่หวาดกลัว
ทั้งไม่มีวันใดที่ไม่รู้สึกผิด
ถูกแล้ว รู้สึกผิด
ชั่วชีวิตของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รู้สึกผิดเพื่อคนคนหนึ่ง แต่ว่าความผิดเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากจะย้อนกลับไปได้ เรื่องที่เขาพอจะทำได้ในวันนี้ก็ย่อมมีเพียงปิดผนึกเรื่องนี้ไปชั่วนิรันดร์
ฝังมันเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรห้ามไม่ให้เยี่ยเม่ยรับรู้ได้อย่างแน่นอน
ไม่ได้เป็นอันขาด
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาพลันยื่นมือออกมา วางบนหัวชายชรา โคจรกำลังภายใน ชายชราผู้นั้นยังไม่เผยสีหน้าเจ็บปวด หัวกับร่างก็แยกจากกันแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่ที่เดิม นิ่งไปสักพัก
อวี้เหว่ยเอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ย นอกจากท่าน ข้า เสินเซ่อเทียน เขาคนที่มีชีวิตอยู่คนเดียวที่รู้ความจริง เขาตายแล้ว หลังจากนี้เยี่ยเม่ยคงยากจะรู้ความจริงได้อีก”
ตอนที่เตี้ยนเซี่ยลงมือสังหารคนนั้น มีเพียงเขาและบ่าวในวังไม่กี่คนอยู่ที่นั่น หลังฆ่าคนแล้ว เสินเซ่อเทียนก็มาเพียงลำพัง ดังนั้นจึงไม่มีใครอื่นรู้อีกแล้ว
เพียงแต่หลังจากเอ่ยถึงตรงนี้
อวี้เหว่ยพลันฉุกคิดได้ว่า “เตี้ยนเซี่ย เสินเซ่อเทียนคงไม่พูดออกมากระมัง หากมีวันใดวันหนึ่งที่เขารู้ฐานะที่แท้จริงของเยี่ยเม่ย ไม่แน่อาจเอ่ยเรื่องนี้ออกมาเพื่อปลุกปั่นความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านแล้ว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ยื่นมือออกมานวดหว่างคิ้วค่อยเอ่ยเสียงนุ่มว่า “นี่คือเหตุผลที่เยี่ยนมาพบเขาในวันนี้ เขารับปากเยี่ยนแล้วจะปิดเรื่องไว้ตลอดไป ไม่เอ่ยถึงอีก ในเมื่อเสินเซ่อเทียนรับปาก ไม่ว่าอย่างไรคงไม่เปลี่ยนใจอีก”
นี่คือความเข้าใจที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีต่อเสินเซ่อเทียน
ดังนั้นวันนี้เขาจึงวางแผนให้กับเสินเซ่อเทียนเช่นนี้ หากมีวันใดวันหนึ่ง ต่อให้เสินเซ่อเทียนรับรู้ความจริงทั้งรู้ว่าหากเอ่ยสาเหตุการตายของเด็กคนนั้นออกมา อาจทำให้เยี่ยเม่ยทะเลาะกับเขา เสินเซ่อเทียนก็ไม่มีทางเอ่ยออกมาสักคำ เพราะว่า…เขาให้สัญญาแล้ว
อวี้เหว่ยรีบพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็วางใจแล้ว”
ถัดมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันมองไปที่อวี้เหว่ย
อวี้เหว่ยมีไหวพริบ รู้สึกว่าตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เขาแทบคุกเข่าลงด้วยความเร็วแสงเอ่ยว่า “คือว่า เตี้ยนเซี่ย…ผู้น้อยจงรักภักดีต่อท่าน ข้าน้อยไม่มีทางเอ่ยเรื่องนี้ออกไปแน่ ท่านลองคิดดู หลายปีมานี้ผู้น้อยติดตามทำงานรับใช้อยู่ข้างกายท่าน เพื่อท่านแล้วพยายามไม่เล่นกัดจิ้งหรีดอีก หรือท่านยังไม่เชื่อใจผู้น้อยอีก”
คิดถึงจิ้งหรีดหลายตัวที่เขาซื้อตอนอยู่ชายแดน อวี้เหว่ยก็รู้สึกใจหดเกร็งราวถูกมีดกรีด
มารดามันเถอะ เขาลืมไปได้อย่างไร เมื่อฆ่าตาแก่นี่ เสินเซ่อเทียนไม่มีทางเอ่ย คนที่รู้เรื่องเป็นคนสุดท้ายก็คือเขาแล้ว เขาจะไม่ถูกฆ่าปิดปากใช่หรือไม่ เขาลนลานยิ่งนัก