ตอนที่ 165 จอมปลอมและน่ารังเกียจ
ยังดีที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่แค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง เอ่ยเนิบๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
สิ้นเสียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็สะบัดแขนเสื้อกลับจวน
เมื่อถึงจวนองค์ชายสี่ เยี่ยเม่ยนั่งรอเขาอยู่ในห้องโถงนานแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวใจกระตุกแต่ก็มิได้ลนลาน หลังจากเดินไปถึงเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย เขาก็ค่อยๆ เอ่ยว่า “รอฟังผลลัพธ์อยู่หรือ”
“อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า ถามเสียงนิ่งว่า “ท่านถามได้ความหรือไม่”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ในใจรู้สึกหวาดๆ ทว่าบนใบหน้าไม่เผยความผิดปกติแม้แต่น้อย เอ่ยกับเยี่ยเม่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เสินเซ่อเทียนบอกว่า แม่ทัพที่คอยจัดการเรื่องในภายหลัง พบน้องชายเจ้าแล้วก็พลั้งฆ่าสังหารคนผิดไป เดิมทีเสด็จพ่อมีรับสั่งให้ปล่อยตัวราชนิกุลคนอื่นๆ ของราชวงศ์จงเจิ้ง เพียงแต่…แม่ทัพผู้นั้น เกรงว่าเขาคงดูไม่ออก”
ที่เขาโกหกต่อหน้าเยี่ยเม่ยเช่นนี้ ความจริงในใจไม่ใช่ไม่ลนลาน เพียงแต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ นอกจากวิธีนี้ เขาก็ไม่มีวิธีอื่นอีก
เยี่ยเม่ยแววตาเย็นเยียบ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยแววตาทอประกายวูบ เอ่ยถามเสียงเย็นชา “แม่ทัพคนนั้นคือใคร ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ยังรับตำแหน่งราชการอยู่หรือเปล่า”
ดูจากสีหน้าเยี่ยเม่ย เขารู้ชัดเลยว่า เกรงว่านางคงไม่ปล่อยให้แม่ทัพผู้นั้นมีชีวิตสืบไปแน่แล้ว นี่ก็เป็นการพิสูจน์อย่างชัดแจ้ง สำหรับคนที่สังหารน้องชาย นางไม่มีทางอภัยให้ง่ายๆ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบชัดเจน “ตายไปแล้ว ตอนที่เขาเก็บกวาดเรื่องราวภายหลัง ถูกสังหารท่ามกลางความวุ่นวายไปแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแก้แค้นอีก”
ในเมื่อคนตายไปแล้วก็ไม่มีแค้นให้ชำระอีก
เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก เพื่อสงบสติอารมณ์ นางกำหมัดแน่น ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกไปกุมมือนางไว้ เอ่ยปลอบ “เยี่ยเม่ย เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
ชั่วขณะนี้ ความจริงเขารู้สึกว่าตัวเองจอมปลอมมาก เกรงว่าคงเป็นคนจอมปลอมที่สุดในโลกแล้ว น้องชายของนางตายคามือเขาชัดๆ เขาไม่ยอมพูดความจริงสักคำและไม่กล้าพูดเช่นกันจึงได้แต่หลอกนาง
ซ้ำยังปลอบนางด้วยท่าทางปวดใจ
อันที่จริงเขาก็ปวดใจมาก เรื่องนี้เขาไม่ได้เสแสร้งสักน้อย แต่ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ล้วนเป็นสิ่งที่เขาก่อขึ้นมาจริงๆ
หากมีวันหนึ่งที่นางรู้ความจริงขึ้นมา หวนคิดถึงเขาในวันนี้จะรู้สึกว่าเขาไม่เพียงแค่จอมปลอมทั้งยังน่ารังเกียจหรือไม่
แต่…แววตาของเขาหนักแน่น ไม่มีทางมีวันนั้น เขาไม่มีทางปล่อยให้นางรับรู้เรื่องในปีนั้นได้เป็นอันขาด
เยี่ยเม่ยมองมือของเขา สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่น พยักหน้า เอ่ยว่า “อืม”
……
วันที่สิบห้า
เช้าตรู่ของวันนี้เป่ยเฉินหลิวอวี่ไปทูลขอร้องฮองเฮา บอกว่านางอยากไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย
หลายวันที่ผ่านมาฮองเฮาอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะเรื่องของเสด็จพี่ใหญ่ และซือถูจ้าวลาออกจากราชการ สูญเสียผู้ช่วยคนสำคัญข้างกายไปผู้หนึ่ง หรืออาจถึงขั้นเรียกได้ว่าสูญเสียแขนซ้ายแขนขวาไปเลยทีเดียว
ยามนี้เห็นเป่ยเฉินหลิวอวี่บอกว่าจะไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พระนางคิดๆ ดูแล้ว ยอมอนุญาตให้ลูกสาวออกไป กระชับความสัมพันธ์กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้มั่นคงเอาไว้ เพื่อให้ข้างกายเป่ยเฉินเสียงมีผู้ช่วยอีกคนก็ยังดี
ดังนั้นนางจึงอนุญาตแล้ว
เป่ยเฉินหลิวอวี่กลับห้องของตนเปลี่ยนชุดด้วยความเบิกบานใจ หลังจากเปลี่ยนไปหลายชุด ในที่สุดก็เลือกชุดที่ถูกใจที่สุดออกมาได้ เตรียมเปลี่ยนใส่ไปพบเย่จื่อหนาน
กลางคืน
หลังจากถึงจวนองค์ชายสี่ เยี่ยเม่ยก็รอนางอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้พวกเราออกไปจวนจงซานกัน”
“จวนของท่านเสนาบดีหรือ” เป่ยเฉินหลิวอวี่มุ่นคิ้ว
อันที่จริงหลายวันที่ผ่านมานี้ นางได้ยินชื่อจงซานจากปากเสด็จแม่ไม่น้อย จงซานแย่งตำแหน่งเสนาบดีไปจากท่านลุงซือถูจ้าวของนาง ถึงนางเข้าใจว่าเป็นเรื่องในราชสำนัก ไม่แน่ว่าจะธรรมดาเหมือนที่คิดและได้ฟังมา
ทว่า…
วันๆ เสด็จแม่เอาแต่พูดว่าจงซานไม่ดีต่อหน้านาง จะมากจะน้อยก็ย่อมมีผลกระทบต่อเป่ยเฉินหลิวอวี่บ้าง
ดังนั้น
ใบหน้านางฉายแววไม่พอใจ
เยี่ยเม่ยคล้ายจะเดาเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “เป็นอะไรไป ไม่ชอบจงซานหรือ เพราะเรื่องซือถูจ้าวใช่หรือไม่”
“นี่…ถูกแล้ว” เป่ยเฉินหลิวอวี่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ถามออกมาตรงๆ นางชอบพี่สะใภ้ผู้นี้มาก แน่นอนว่านางก็จะบอกทุกสิ่งที่รู้กับเยี่ยเม่ยเช่นกัน
เยี่ยเม่ยพยักหน้า กลับยิ้มเอ่ย “น่าเสียดายเรื่องนี้จงซานเป็นคนช่วยเจ้า ตอนอยู่ในท้องพระโรง เขาช่วยเย่จื่อหนานพูดสองสามประโยค เย่จื่อหนานไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดมาตลอด วันนี้ถึงได้ยอมมาร่วมงานเลี้ยง หากมิใช่เพราะจงซาน พวกเราคงเชิญคนผู้นี้มาไม่ได้ ยากนักที่เจ้าจะได้พบเขา”
“เอ๋” เป่ยเฉินหลิวอวี่อึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าภายในเรื่องราวจะมีจุดสำคัญนี้ด้วย
เยี่ยเม่ยพยักหน้ายิ้ม “ถึงบอกว่าเขาทำเพื่อช่วยลูกสาวตัวเองแต่งกับชายในดวงใจซะส่วนใหญ่ แต่ว่าก็นับว่าช่วยเจ้าด้วย ไม่ว่าอย่างไร อย่าได้มีปัญหากับความสุขตัวเอง เจ้าว่าไหม อีกอย่างนะ เรื่องในราชสำนัก แต่เดิมก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าอยู่แล้ว”
เป่ยเฉินหลิวอวี่ฟังเยี่ยเม่ยพูดเช่นนี้ก็นิ่งไปชั่วครู่ ความจริงเรื่องในราชสำนัก ไม่เกี่ยวข้องกับนางสักนิด วังหลังไม่อาจก้าวก่ายเรื่องราชการ
ความจริงถึงแม้เสด็จแม่เอาแต่ด่าจงซานอยู่ตลอด แต่ว่าไม่ใช่เป่ยเฉินหลิวอวี่จะไม่ได้ฟังว่า แท้จริงแล้วท่านลุงของนางเป็นฝ่ายขอเกษียณกลับบ้าน ดังนั้นเสด็จพ่อจึงหันไปใช้งานจงซาน
เมื่อคิดเช่นนี้นางก็ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้า เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า จากนั้นขึ้นรถม้า
เมื่อเข้าจวนจงซาน ในจวนมีบรรยากาศสนุกสนาน ขุนนางจำนวนไม่น้อยกำลังกินดื่มในห้องโถง ดื่มสุรากันอย่างคึกคัก ทั้งหมดเมื่อเห็นเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินหลิวอวี่ปรากฏตัว ต่างก็แปลกใจพากันแสดงความเคารพ
เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก “ไม่ต้องสนใจพวกเรา ใต้เท้าจงเชิญข้ามา องค์หญิงมาหาข้าที่จวนองค์ชายสี่พอดี ถึงได้มาชมความสนุกด้วยกัน ใต้เท้าทุกท่านดื่มกันตามสบายเถอะ ข้าจะออกไปเดินข้างนอก”
ทุกคนต่างตอบตามมารยาททีหนึ่ง
จงซานลุกขึ้นมาต้อนรับเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยบอกว่าจะออกไปเดินเล่น นั่นก็เพราะไม่เห็นเย่จื่อหนานในห้องโถง คิดว่าเรื่องน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจงใจเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินหลิวอวี่ไม่ได้พบเย่จื่อหนานก็ผิดหวังอยู่พักหนึ่ง
จากนั้นจงซานเดินมาอยู่ข้างเยี่ยเม่ย นางถามเขาเบาๆ “เกิดอะไรขึ้น”
จงซานตอบเบาๆ “เย่จื่อหนานไม่ชอบเสียงดังวุ่นวาย ดังนั้นจึงไปเดินสวนดอกไม้คนเดียวแล้ว เขาเอาสุราไปด้วย ข้างกายมีผู้ติดตามคนหนึ่ง บอกให้ข้าไม่ต้องสนใจเขา ข้าคิดๆ ดู เมื่อองค์หญิงมาถึงพบกับเขาเป็นการส่วนตัวก็ดี ดังนั้นเพื่อเหตุการณ์ต่อไปจึงไม่ขวาง ปล่อยเขาไป”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า นั่นก็หมายความว่า เมื่อครู่ที่นางบอกว่าจะออกไปเดินเล่น กลับเป็นว่าจับพลัดจับผลูทำถูกต้องเสียแล้ว
นางส่งสายตาให้เป่ยเฉินหลิวอวี่ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
เป่ยเฉินหลิวอวี่ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังติดตามไป…
ตอนที่ 166 ชื่นชมทัศนียภาพสามพันลี้ ยังมิอาจคลายความคะนึงหา
เมื่อเดินออกมาจากห้องโถง เยี่ยเม่ยเอ่ยปากกับเป่ยเฉินหลิวอวี่ว่า “เย่จื่อหนานอยู่เรือนด้านหลัง เจ้าไปหาเขาเองเถอะ ข้าไม่ไปแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ถามเป่ยเฉินหลิวอวี่ว่า “จริงสิ นางกำนัลที่ออกมากับเจ้าเมื่อคราวที่แล้วล่ะ”
ครั้งนี้ไม่มีนางกำนัลคอยจับตามองแล้วหรือ
เป่ยเฉินหลิวอวี่ทำหน้าไม่ถูก แต่ยังตอบว่า “นาง…อืม ข้าเกรงว่านางจะทำเสียเรื่อง ดังนั้นตอนอยู่บนรถม้าให้นางดื่มชาถ้วยหนึ่ง ในน้ำชามียาสลบอยู่”
เยี่ยเม่ย “…”
ช่างหักมุมเหลือเกิน
เยี่ยเม่ยงุนงงอยู่สักครู่ ถามด้วยเสียงนิ่งๆ ว่า “ครั้งที่แล้ว เจ้าลังเลกับเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ ไฉนครั้งนี้ถึงได้…”
วางยาสลบนางกำนัลยังคิดออกมาได้ ด้วยนิสัยของเป่ยเฉินหลิวอวี่ นี่หาใช่เรื่องที่นางจะทำได้ลง
เป่ยเฉินหลิวอวี่ฟังคำถามของเยี่ยเม่ยก็เข้าใจว่าเยี่ยเม่ยแปลกใจอะไร
ด้วยเหตุนี้นางได้แต่เล่าเรื่องที่นางบังเอิญพบเย่จื่อหนานบนถนนในวันนั้นออกมาให้เยี่ยเม่ยฟังด้วยสีหน้าแดงเรื่อ
หลังฟังจบ เยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจได้ ที่แท้มีเรื่องนี้เกิดขึ้น นางก็ว่าแม่หนูนี่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนท่าทางได้ไวยิ่งนัก
เยี่ยเม่ยยิ้มๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย รีบไปหาเขาที่เรือนหลังเถอะ รีบไปเร็วหน่อย พวกเจ้าจะได้อยู่นานขึ้นมาอีกนิด”
“อืม” เป่ยเฉินหลิวอวี่พยักหน้า รีบจับมุมกระโปรงขึ้นเล็กน้อย วิ่งไปที่สวนดอกไม้ด้านหลังแล้ว
……
สวนด้านหลัง
เป่ยเฉินหลิวอวี่หาอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่นานก็หาเย่จื่อหนานพบ ด้านหลังภูเขาจำลองลูกหนึ่ง มีสะพานอยู่ด้านข้างภูเขาจำลอง ฝ่ายเย่จื่อหนานในยามนี้ยืนอยู่บนสะพาน มือข้างหนึ่งถือจอกสุรา มองดวงจันทร์บนฟ้า
วันนี้เขาสวมเสื้อต่วนสีขาวปลอด ภายใต้แสงจันทราสาดส่อง ยังชวนให้คนรู้สึกใจสั่นมากกว่าวันที่พบเขาบนถนนถึงสามส่วน
เป่ยเฉินหลิวอวี่กำลังจะเดินเข้าไป
ในยามนี้เองเย่จื่อหนานพลันเอ่ยขึ้นกับดวงจันทร์ “ชื่นชมทัศนียภาพสามพันลี้ ยังมิอาจคลายความคะนึงหา”
ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังพลันมุ่นคิ้ว อดใจไม่ไหวเอ่ยปากถามว่า “ใต้เท้า ท่านยังคิดถึงคุณหนูจวนเสนาบดีอีกหรือ”
เป่ยเฉินหลิวอวี่ได้ฟัง ฝีเท้าที่เดิมจะก้าวออกไปชะงักทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว
คุณหนูจวนเสนาบดี ตอนนี้จงซานเป็นเสนาบดี หรือว่าจะเป็นจงรั่วปิง
ส่วนบ่าวผู้นั้นคล้ายนึกอันใดได้ กล่าวว่า “อ้อ จริงสิ ตอนนี้นางหาใช่คุณหนูจวนเสนาบดีอีกแล้ว เสนาบดีเปลี่ยนคนไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางก็เป็นพระชายาองค์ชายใหญ่ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรส ดังนั้นใต้เท้าท่านอย่าได้คิดอีกเลย คิดไปก็ไม่มีประโยชน์”
คราวนี้ใบหน้าเป่ยเฉินหลิวอวี่ก็ยิ่งซีดขาว
เป็นญาติผู้พี่หรือ
ครั้นคิดถึงญาติผู้พี่ของนาง แต่ไรมาก็มีท่าทางอ่อนแอน่าถนอม ราวกับต้องมีคนคอยประคองยามเดินด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงตัวเอง เป่ยเฉินหลิวอวี่ตระหนักได้ทันทีว่า ตัวนางกับญาติผู้พี่ต่างเป็นคนคนละประเภท คิดแล้วเขาคงไม่ชอบนางแน่
ในเวลานี้เอง
เย่จื่อหนานหันกลับมามองผู้ติดตามขมวดคิ้วแน่น เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “องค์ชายใหญ่มีความสามารถอันใดถึงได้แต่งงานกับนาง”
สำหรับเรื่องที่เป่ยเฉินเสียงตกหลุมพรางสังหารแม่ทัพหวัง เย่จื่อหนานได้ตาสว่างว่าองค์ชายผู้นี้โง่งมได้ถึงขั้นใดกัน
องค์ชายที่ไร้สามารถกลับได้แต่งงานกับแม่นางผู้มีจิตใจดีงาม เป่ยเฉินเสียงคู่ควรอย่างนั้นหรือ
เป่ยเฉินหลิวอวี่ฟังมาถึงตอนนี้ก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ปิดปากร้องไห้วิ่งจากไป