รวมตัว

 

 

 

โยนปีกขนนกสีสันแวววาวในมือขึ้นไปกลางอากาศ หานลี่พ่นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมาแล้วกลืนมันลงไปในคำเดียว

 

 

ครู่ต่อมาหานลี่ก็นำกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่ได้รับความเสียหายออกมา เริ่มหลอมขึ้นใหม่ทีละเล่มๆ ฟื้นฟูพลังวิญญาณของพวกมันอย่างช้าๆ…

 

 

หนึ่งปีต่อมาเหนือภูเขานิรนามในแดนป่าเถื่อนแห่งหนึ่ง ลำแสงสีเขียวจางๆ สายหนึ่งกะพริบวาบๆ พลางพุ่งออกไป

 

 

ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี ชายหนุ่มสีหน้าซีดขาวคนหนึ่งกำลังเอาสองมือไพล่หลัง นั่นก็คือหานลี่ที่ออกจากที่ซ่อนที่ซ่อนตัวมานานสองสามเดือน

 

 

เขาซ่อมแซมกระบี่บินทั้งหมดเสร็จแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเจตนาจะรั้งรออยู่ที่นี่เลยสักนิด แต่รีบขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีออกไปในทันที

 

 

เป็นเพราะตัวคนเดียวหานลี่จึงระมัดระวังมาก ถึงแม้ว่าจะบินมานานครึ่งปี ก็ยังคงปลอดภัย

 

 

ภูเขานิรนามแห่งนี้ดูแล้วไม่ค่อยปกตินัก

 

 

ไม่ว่าบนภูเขาหรือด้านล่างภูเขา ต้นไม้ทั้งหมดต่างเตี้ยแคระ มีความสูงแค่พุ่มไม้เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นขอแค่บินต่ำลงหน่อย ก็จะสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ปะทะเข้ามา

 

 

คาดไม่ถึงว่าบนภูเขาจะมีหนองน้ำน้อยใหญ่เรียงรายอยู่ทั่วทุกแห่งหน หนึ่งในนั้นที่ใหญ่หน่อยก็มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึงสองสามพันลี้ เล็กหน่อยกลับมีขนาดแค่สองสามลี้ ดูเหมือนอุโมงค์น้ำอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ทว่าครั้นเมื่อหานลี่บินอยู่เหนือทะเลสาบเหล่านี้ ก็ไม่กล้าประมาทเกินไปนัก

 

 

ผู้ใดจะรู้ว่าในบ่อน้ำเหล่านี้จะมีอสูรโบราณที่ร้ายกาจอะไรซ่อนอยู่ หรือมีคนของเผ่าประหลาดอะไรซ่อนตัวอยู่

 

 

ตั้งแต่ที่เข้ามาในชีพจรภูเขาลุกนี้ เขาก็สังหารอสูรประหลาดที่กระโจนเข้ามาหาลำแสงหลีกหนีของเขาเองไปสิบกว่าตัวแล้ว หนึ่งในนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นอสูรยักษ์ปลาไหลที่อยู่ในบึง ระดับเกือบเท่าระดับเทพแปลง มีความสามารถด้านน้ำ ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปรอบหนึ่ง

 

 

หลังจากบินต่อไปได้อีกครึ่งวัน ทิวทัศน์ภูเขาเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป ยอดเขาตั้งตรงสูงพันจั้งสองลูกพลันปรากฏขึ้น

 

 

เมื่อเห็นยอดเขาทั้งสอง หานลี่กลับแววตาเปล่งประกาย เผยสีหน้ายินดีออกมา

 

 

หากพูดถึงว่ายอดเขาเล็กหรือใหญ่ ภูเขาน้อยสองลูกนี้ก็ไม่แปลกประหลาดเลย แต่ภูเขาสองลูกนี้ลูกหนึ่งเป็นสีเงินขาว คาดไม่ถึงว่ายอดเขากว่าครึ่งจะถูกหิมะปกคลุมเอาไว้ บรรยากาศรอบๆ เย็นยะเยือก

 

 

ยอดเขาอีกลูกหนึ่งเป็นสีม่วงระยิบระยับ มีต้นไม้ที่ดูเหมือนต้นเฟิงขึ้นอยู่เต็มไปหมด ใบไม้ล้วนเปล่งแสงสีม่วงที่พิเศษออกมา

 

 

ยอดเขาทั้งสองอยู่ห่างกันแค่สิบลี้เศษ และนอกจากต้นไม้ประหลาดสีม่วงบนภูเขาและหิมะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันแล้ว ก็ไม่อาจกล่าวว่าเหมือนกันได้อีก แต่ก็คล้ายคลึงกันแปดเก้าส่วน

 

 

“ในเมื่อที่นี่มียอดเขาสองลูกจริงๆ ดูแล้วพวกเขาก็คงไม่ได้หลอกลวง” หานลี่เอ่ยพึมพำ ทันใดนั้นลำแสงหลีกหนีพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ตรงไปยังภูเขาน้ำแข็งลูกนั้น

 

 

เมื่อเข้าใกล้ภูเขาลูกนั้น พายุก็พัดเข้ามาหอบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะหนาวเหน็บจนเสียดแทงกระดูก ราวกับมีดเฉือนออกไปอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หานลี่หน้าเปลี่ยนสี แต่ร่างกายยังมีลำแสงสีเขียวแผ่ออกมาชั้นหนึ่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

ประตูใหญ่ยังไม่ทันเข้าไปในภูเขา ฉับพลันนั้นชั้นหิมะหนาๆ ที่ปกคลุมอยู่บนภูเขาก็มีสายรุ้งสองสายพุ่งออกมา หลังจากเปล่งแสงสองสามครั้ง ก็มาอยู่ห่างจากหานลี่ไปสามสิบจั้งเศษ

 

 

หานลี่ตกใจพลางสลายลำแสงหลีกหนีออก เผยร่างกายของตนเองออกมาท่ามกลางลำแสงที่สว่างวาบ

 

 

“ฮ่าๆ ที่แท้ก็สหายหานนี่เอง ข้ารู้อยู่แล้วว่าจากความสามารถของสหาย ภารกิจแค่นี้ต้องไม่เป็นอะไรแน่” ลำแสงเบื้องหน้าหม่นแสงลงเช่นกัน เผยร่างบุรุษสองคนออกมา หนึ่งในนั้นมองหานลี่ปราดหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

คนผู้นี้มีสีหน้าซีดขาว ราวกับอายุห้าสิบหกสิบปี นั่นก็คือชายชราแซ่หลี่ว์ที่รู้จักในวิหารเหินวิญญาณตอนที่เข้ามาในเมืองเทวะสวรรค์ตอนแรก

 

 

ส่วนคนข้างกายกลับเป็นนักปราชญ์ท่าทางป่วยกระเสาะกระแสะคนหนึ่ง ต่างมีท่าทางอัธยาศัยดีเช่นกัน

 

 

“ที่แท้ก็พี่หลี่ว์และพี่โอวหยางนี่เอง ทั้งสองท่านไม่ได้มาก่อนข้าน้อยนานหรอกนะ? ดูแล้วภารกิจของทั้งสอง น่าจะราบรื่นกว่าข้าน้อยมาก” หานลี่หัวเราะหึๆ ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองเกือบจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่อยู่จากเผ่าพฤกษาเลยสักนิด

 

 

“ภารกิจของเราสองคนจะเทียบกับสหายหานได้อย่างไร ตาเฒ่าแค่ตามผู้พิทักษ์ทองสองสามเท่าไปยังฐานที่มั่นของเผ่าประหลาดสองสามแห่งเท่านั้น ขอแค่ระวังตัวหน่อย ก็ไม่มีอันตรายมากนักแล้ว” ชายชราแซ่หลี่ว์สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่องขณะเอ่ย

 

 

“นอกจากสหายทั้งสองแล้ว ยังมีสหายคนอื่นมาถึงแล้วหรือไม่?” หานลี่หัวเราะน้อยๆ แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

 

 

“แน่นอนว่ามี การเดินทางของพวกเราจำเป็นต้องใช้คนจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสหายเกือบครึ่งน่าจะมาไม่ทัน แต่ตอนนี้คนที่มาถึงก็เกือบจะครบแล้ว ข้าจะพาพี่หานไปรู้จักสักหน่อยดีกว่า” ชายชราแซ่หลี่ว์หยีตาหัวเราะแผ่วเบาขณะเอ่ย

 

 

“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนสหายแล้ว” หานลี่ประสานกำปั้นคารวะ ไม่มีเจตนาจะปฏิเสธ

 

 

ทันใดนั้นหานลี่ก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินไปที่ภูเขาน้อยแข็งโดยมีทั้งสองคนเป็นผู้นำ

 

 

แต่เมื่อบินมาได้ระยะหนึ่ง ชายชราที่นำทางอยู่เบื้องหน้าก็ควักแผ่นหยกออกมาจากอกเสื้อ โบกไปกลางอากาศเบื้องหน้า

 

 

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวผืนหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากแผ่นป้าย ทุกแห่งที่กวาดไป ดอกบัวสีขาวพลันปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบระยิบระยับ

 

 

ชายชราแซ่หลี่ว์กระตุ้นลำแสงหลีกหนี ล่วงหน้าเข้าไปในดอกบัวสีขาวก่อน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

 

 

หานลี่แววตาเปล่งประกาย ตามนักปราชญ์ไปติดๆ ที่ด้านหลัง

 

 

คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีคนวางเขตอาคมลวงตาเอาไว้ชั้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขามองไม่ออกในปราดเดียว ดูแล้วน่าจะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก!

 

 

เช่นนั้นโดยปกติแล้วหากอสูรโบราณเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็ไม่อาจพบการเคลื่อนไหวบนภูเขาได้

 

 

หลังจากที่ลำแสงหลีกหนีของทั้งสามเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็หมุนวนโจรอยู่เหนือยอดเขาสีขาว ร่อนลงตรงศาลาน้ำแข็งแห่งหนึ่ง

 

 

รอบๆ มีห้องน้ำแข็งรูปทรงแตกต่างกันเรียงรายอยู่ ในศาลามีบุรุษคนหนึ่งและสตรีสองคนกำลังสนทนาอะไรกันอยู่

 

 

บุรุษนั้นคือชายร่างใหญ่สวมชุดสีเทาร่างกายกำยำ ไว้หนวดเคราและจอนผม ใบหน้าเต็มไปด้วยองอาจผึ่งผาย

 

 

สตรีคนหนึ่งอายุสี่สิบปีเศษ หน้าตาธรรมดาๆ สวมชุดกระโปรงสีเขียว อีกคนหนึ่งกลับดูอ่อนเยาว์สวมชุดสีเขียวมรกต สวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้

 

 

หานลี่เห็นหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าแล้วพลันตกตะลึง ปากก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ

 

 

“เซียนอิ๋ง คิดไม่ถึงว่าสหายจะได้รับเชิญมาด้วย ช่างบังเอิญจริงๆ” หานลี่ร้องทักสตรีผู้นั้น

 

 

“ข้ากลับรู้ว่าสหายต้องมาที่นี่ ข้าน้อยนับว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเรื่องนี้” หญิงสาวสวมผ้าคลุมกลับฉีกยิ้มเบิกบานให้หานลี่

 

 

สตรีผู้นี้คือ ‘เซียนอิ๋ง’ ที่เชิญให้หานลี่ทำภารกิจเดียวกันในงานชุมนุมผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา

 

 

“ผู้บุกเบิก? ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของผู้แซ่หานจริงๆ” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา

 

 

ตอนนั้นที่คนที่เชิญเขาเข้าร่วม ถึงแม้ว่าจะไม่มีสตรีผู้นี้ แต่คิดดูแล้วอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องโกหกหลอกลวงเรื่องนี้ น่าจะเป็นความจริง

 

 

ส่วนคนที่เป็นผู้นำในการชุมนุมครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจนัก

 

 

หานลี่กลอกตาไปมา กวาดไปบนเรือนร่างของคนที่เหลืออีกสองคน

 

 

ใบหน้าของทั้งสองคนดูคุ้นตา เหมือนว่าจะเคยพบในงานชุมนุมผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา แค่ไม่เคยสนทนากับเขาเท่านั้น

 

 

ทั้งสามคนเองก็มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขั้นกลางขึ้นไป โดยเฉพาะฮูหยินผู้นั้น ท่าทางเหมือนอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นปลาย

 

 

ส่วนสองคนที่หานลี่ประสานกำปั้นคารวะให้นั้น

 

 

ชายร่างใหญ่และฮูหยินไม่กล้าดูแคลนหานลี่ จึงคารวะตอบกลับเช่นกัน

 

 

หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหนึ่งเชิญให้หานลี่เข้าไปในนั่งในศาลาทันที หลังจากที่หานลี่ขบคิดเล็กน้อยแล้ว กลับสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้มว่า

 

 

“ภารกิจที่ผู้แซ่หานรับไปในครั้งนี้ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แล้วยังต้องเร่งเดินทางข้ามวันข้ามคืนจนสูญเสียพลังปราณไปอีก จึงอยากพักผ่อนสักหน่อย หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ดูเหมือนว่าจะยังห่างจากเวลาที่นัดกันไว้อีกครึ่งเดือนสินะ”

 

 

“หึๆ เป็นเพราะพวกเราสะเพร่าเอง พี่หานเพิ่งมาแน่นอนว่าต้องพักผ่อนก่อนแล้วค่อยว่ากัน ห้องเหล่านี้ทางซ้ายสุดสองสามห้องไม่มีเจ้าของ สหายเชิญเลือกได้ตามสบาย แน่นอนว่าหากสหายไม่พอใจล่ะก็ จะสร้างขึ้นเองก็ได้” ชายชราแซ่หลี่ว์ลูบเคราแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

 

 

“เช่นนั้นข้าน้อยก็จะไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่หัวเราะต่ำๆ ออกมา ไม่ได้กล่าวอะไรนัก พลางกล่าวลาพวกเขาสองสามคน ทันใดนั้นก็เดินไปยังห้องน้ำแข็งห้องหนึ่ง หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง ก็จมหายเข้าไปในห้องอย่างไร้ร่องรอย

 

 

คนที่อยู่รอบๆ ศาลามองเงาแผ่นหลังของหานลี่ แล้วตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง

 

 

“พี่หานรีบร้อนพักผ่อนเช่นนี้ คงไม่ได้รับบาดเจ็บหนักกระมัง” ฮูหยินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า

 

 

“น่าจะไม่ใช่! สีหน้าของสหายหานดูดีมาก อาจจะแค่เสียลมปราณไปเล็กน้อยเท่านั้น” ชายร่างใหญ่ชุดสีเทาทที่อยู่ด้านข้างกลับสั่นศีรษะ

 

 

“นั่นก็ไม่แน่ ความจริงแล้วสหายหานเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเก็บงำสีหน้ามาก พวกเราดูไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติ แต่จะว่าไปแล้วในเมื่อมาถึงตรงเวลา ก็หมายความว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ต่อให้เจ็บป่วยเล็กน้อย เชื่อว่าก็คงไม่ลอบวางแผนอะไรที่มีผลกระทบต่อพวกเรา สหายหยวนและปรมาจารย์จิ้งหยวนที่มาก่อน ก็ไม่ได้เข้าพักในห้องเหมือนกันหรือ?” เซียนอิ๋งกลับเชื่อใจหานลี่เป็นอย่างมาก พลางเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ

 

 

“เซียนอิ๋งพูดมีเหตุผล! ถึงแม้ว่าสหายหานจะเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นกลาง แต่จากที่ข้าคาดการณ์ ความสามารถนั้นเพียงพอจะติดอันดับหนึ่งสามในหมู่สหายได้” นักปราชญ์ท่าทางป่วยกระเสาะกระแสะผู้นั้นกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มออกมา

 

 

“ที่สหายโอวหยางพูด มันจะเกินไปหน่อยกระมัง สหายหานเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงขั้นกลาง จุดนี้ตาเฒ่าดูไม่ผิดแน่” ฮูหยินได้ยินแล้วพลันตกตะลึง และเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ

 

 

“พี่หญิงจ้าวเอาแต่ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักมาหลายปีในเมืองเทวะสวรรค์ และไม่ค่อยได้เข้าร่วมการชุมนุมของพวกเรา จึงไม่รู้เรื่องพี่หานก็ไม่แปลก สหายหานเคยสังหารและจับเป็นคนของเผ่าประหลาดในระดับเดียวกัน ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาใหม่อย่างพวกเรานั้น นับว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย โดยเฉพาะวรยุทธ์ที่เขาฝึกฝน ยิ่งมีประโยชน์ในการควบคุมเผ่าเงาเป็นอย่างมาก จุดนี้คือสาเหตุหลักที่พวกเราเชิญเขาเข้าร่วม” หญิงสาวที่มีผ้าคลุมหน้าเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“สหายอิ๋งหมายความว่า จะให้คนผู้นี้ต่อกรกับอสูรแมลงเงาเหล่านั้นโดยเฉพาะหรือ” ฮูหยินถึงบางอ้อ

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราหมายความว่าอย่างนั้น มิเช่นนั้นล่ะก็ อสูรแมลงเงาเหล่านั้นก็รับมือยากมาก หากสูญเสียลมปราณไปมากเพราะเหตุนี้ ทำให้เหยื่อของพวกเราเตลิดนี้ จะยิ่งแย่ไปใหญ่” ชายชราแซ่หลี่ว์อธิบายพร้อมกลั้วหัวเราะ

 

 

ฮูหยินแซ่จ้าวได้ยินก็พยักหน้าไม่เอ่ยอะไรอีก

 

 

ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งอยู่ในศาลาพลางสนทนากันไปมา ส่วนหานลี่นั้นกลับนั่งสมาธิอยู่ในห้องน้ำแข็ง สองตาปิดสนิท ร่างกายไม่ไหวติง