อวิ๋นหว่านชิ่นถูกซือเหยาอันชมจนตัวลอย เจ้านี่เห็นทีกลับไปจะต้องเพิ่มเงินเดือนให้เสียแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
นางยิ้มอะไร กำจัดความคิดของนาง แถมยังยกนางฟ้ามาเปรียบมาว่านางไม่มีค่าเลยสักนิด หญิงสาวธรรมดาทั่วไปหากไม่อับอายจนโกรธเคืองก็คงเซื่องซึม แต่นี่กลับยังดีใจเสียอย่างนั้น
ซือเหยาอันกลัวว่านางจะฟังไม่เข้าใจ จึงเน้นย้ำอีก “เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ ข้าจะบอกกับเจ้าตรงๆ เลยแล้วกัน องค์ชายสามของข้า พวกเจ้าไม่ต้องคิดเป็นอย่างอื่น หากว่าข้ายังเห็นพวกเจ้ายังแสดงท่าทางหึงหวงต่อหน้าองค์ชายสามอีก ยังแย่งกันประจบสอพลอ ก็ไม่ต้องคิดอยู่ที่พระราชนิเวศน์แล้ว เข้าใจหรือยัง?”
“ใต้เท้าซือ” อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าเดินเข้าใกล้ “บ่าวเป็นแบบนี้ จะแข่งได้หรือเจ้าคะ ท่านไม่วางใจใคร ก็ไม่ควรไม่วางใจบ่าวนะเจ้าคะ”
ซือเหยาอันคิดดูก็จริง ตอบกลับอย่างพอใจ ยกมือขึ้นโบก “ได้ เจ้าเข้าไปปรนนิบัติรับใช้เสียเถอะ” เห็นรูปลักษณ์ของนางที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้ถอดผ้าหมด เกรงว่าผู้ชายก็ยังไม่รู้สึกอะไร
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มถอนสายบัว “เจ้าค่ะ ใต้เท้าซือ”
***
สองวันที่มาพระราชนิเวศน์ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้โอกาสทำงานทั่วสารทิศ ได้คุ้นเคยกับสถานการณ์ปัจจุบันในพระราชนิเวศน์คร่าวๆ บ้างแล้ว
ตามทฤษฎีกองกำลังทหาร ทหารหลวงต่อสู้กับกองกำลังโพกผ้าเหลืองของหลี่ว์ปายังถือว่าสู้สีกัน แต่หากว่ามีคนของซานอิงมาเพิ่ม ทหารหลวงก็ต้านไม่ไหวแน่
ก่อนที่จะมาพระราชนิเวศน์ นางตกลงกับหลี่ว์ปาไว้แล้วว่ารอหลังจากที่ตนเข้าไปได้ก่อนค่อยคิดหาวิธีส่งจดหมายออกมา ให้หลี่ว์ปารอสักหน่อย ถึงเวลานั้นหลี่ว์ปาจะส่งคนมาแถวพระราชนิเวศน์ ก็จะรอจดหมายจากนางได้ทุกเมื่อ
ชั่วครู่ทั้งสองฝั่งก็กลับสงบนิ่งลงสักพัก
ตอนบ่าย เมื่อเพิ่งฝึกทหารเสร็จ ซย่าโหวถิงกลับมาจากสนามฝึก กำลังจะไปห้องหนังสือเขาหลบหลีกบ่าวรับใช้ ไปปรึกษาข่าวคราวของซานอิงอย่างลับๆ กับซือเหยาอัน
เดิมทีเขาตั้งใจสร้างสงครามยืดเยื้อกับกองกำลังโพกผ้าเหลือง จากนั้นค่อยลากซานอิงเข้ามาเพื่อทำลายล้างให้สิ้นซาก แต่ทว่าใกล้ๆ นี้กองกำลังทหารเฉินจ้าวต้านอำเภอเพ่ยไว้แล้ว หากเข้าไปโจมตีในเมือง แผนของเขาก็จะพังลง
เมืองตะวันออกคือเฝยซาน ผ่านไปไม่ได้ กำแพงเมืองทางเหนือ ใต้ ตะวันตกก็ถูกกองกำลังผ้าเหลืองปิดไว้ทั้งหมด ต่อให้อยากส่งจดหมายออกไปให้เฉินจ้าวเข้าใจแผนการและสถานการณ์ในเมืองก็ยากนัก
โชคดีที่เฉินจ้าวเป็นคนฉลาด เห็นว่ากองทหารของตนไม่เคลื่อนทัพ ก็เดาได้ว่าในเมืองมีเรื่องไม่ชอบมาพากล จึงไม่บุ่มบ่ามเข้ามา
แต่ทว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ยืดเยื้อเวลาไม่จบไม่สิ้น
ตอนนี้มีสถานการณ์ลำบากให้คิดอยู่สองด้าน ด้านหนึ่งต้องหาวิธีล่อให้ซานอิงออกมา อีกด้านหนึ่งต้องป้องกันไม่ให้ทหารสกุลเฉินเข้ามาก่อนเวลา
ขณะนั้น ผู้ตรวจการเหลียงเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนกับลูกน้อง ทำลายความเงียบในตอนนั้น
เพียงเข้าประตูมา ผู้ตรวจการเหลียงเหงื่อไหลท่วมตัว แต่กลับเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่ “องค์ชายสาม ทหารหลวงของเราได้พบเห็นผู้สอดแนมของสกุลเฉินแถวประตูเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
ซือเหยาอันใจสั่น หากกองทัพส่งคนมาสอนแหนมถึงประตูเมือง ก็แสดงว่าสงครามก่อนหน้านี้จบลงแล้ว แสดงว่าแม่ทัพทหารกำลังพร้อมจะเปิดฉากทำสงครามได้ทุกเมื่อ จึงส่งคนมาสืบสถาพแวดล้อมก่อน
เฉินจ้าวมาใกล้เมืองเป็นเวลานานแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่ห้าพอดี ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อยากให้เขาใจเย็นไว้ก่อน อย่างน้อยก็ยืดเวลาออกไปก่อน ทำไมตอนนี้พอบอกว่าจะออกศึกก็ออกศึกได้
แค่เฉินจ้าวตีเมืองแตก ก็ตรงตามความคาดหวังของพวกโจร กลางเมืองก็จะเกิดจลาจลโดยทันที
มองด้านข้างองค์ชายสามอีกครั้ง คิ้วกระตุกขึ้น “ออกไป!”
ผู้ตรวจการเหลียงเห็นว่าฉินอ๋องคล้ายว่าไม่ต้อนรับตระกูลเฉินเท่าไรนัก เขาขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง ท่านอ๋องผู้นี้ ตนเองไม่ออกศึกก็ช่างเถอะ ราชสำนักก็ส่งทหารมาช่วยต่อต้านจำนวนมากแล้ว ยังจะไม่รับอีก อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “คุณชายเฉินนำกองกำลังทั้งคนและม้ามาเพียงพอแล้ว เพียงแค่ครู่เดียวก็ควบคุมกองกำลังผ้าเหลืองได้อย่างไม่มีปัญหา องค์ชายสามกลัวหมาป่าข้างหน้า กลัวเสือข้างหลัง ห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้ แท้จริงแล้วกลัวอันใดกันแน่…”
“บังอาจ!” ซือเหยาอันตะคอกใส่
เรื่องของซานอิง องค์ชายสามปรึกษาเพียงแค่ตนและทหารข้างกายคนสนิทเท่านั้น และไม่ได้บอกขุนนางที่นี่ เกรงว่าหากคนรู้เยอะจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่คิดว่าผู้ตรวจการเหลียงจะพูดจาตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจกันถึงเพียงนี้ ซือเหยาอันไม่ยอมให้เจ้านายถูกสงสัยและดูถูก แต่กลับได้ยินเจ้านายยกมือโบกมืออย่างไม่สนใจ “ออกไป”
คำพูดนี้เป็นคำที่พูดกับผู้ตรวจการเหลียง
ผู้ตรวจการเหลียงสะบัดแขนเสื้อ ส่งเสียงในลำคอแล้วเดินออกไป
ข้ามธรณีประตูเห็นหญิงสาวขี้เหร่กำลังยกชาเข้ามา ผู้ตรวจการเหลียงกำลังโกรธเต็มที่ ด่าทอเดินออกไป แม้แต่ประตูก็คร้านที่จะปิด
อวิ๋นหว่านชิ่นทำตามที่ป้าอู๋สั่งว่าท่านอ๋องกลับมาจากสนามฝึก นางจึงยกน้ำชามา พอดี ได้ยินว่าผู้ตรวจการเหลียงมาแล้ว ทั้งสามกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ข้างใน ยืนรอข้างนอกก็ถือโอกาสเงี่ยหูฟัง
รู้ว่าเฉินจ้าวมีแผนโจมตีเมือง มือนางก็สั่น
ไม่ใช่ตกลงกันว่าก่อนเข้าเมืองจะรอจดหมายจากตนก่อนไม่ใช่หรือ นี่เพิ่งจะห้าวันเอง
เฉินจ้าวไม่ใช่คนที่ใจร้อน …เหตุผลที่โจมตีเมืองในตอนนี้ ทำไมนางจึงจะไม่รู้
เห็นผู้ตรวจการเหลียงรีบเดินออกมาอย่างโกรธเคือง อวิ๋นหว่านชิ่นถอยหลังหลบด้านข้าง เห็นว่าเขาเดินไปแล้วจึงค่อยเดินเข้าไป
ซย่าโหวถิงไล่ผู้ตรวจการเหลียงออกไป ตอนนี้กำลังปรึกษาแผนการกับซือเหยาอันให้เฉินจ้าวหยุดกองทัพ
อวิ๋นหว่านชิ่นเอียงตัวแอบหลังม่าน ได้ยินเสียงซือเหยาอันลอยขึ้นมา “ส่งจดหมายไปให้กองทัพสกุลเฉินที่อำเภอเพ่ยแม้จะยาก แต่ก็ยังพอมีทางทำได้อยู่พ่ะย่ะค่ะ แผนการขององค์ชายสามไม่สามารถพูดให้ชัดเจนขนาดนั้นได้ หากว่าแพร่งพรายออกไป สิ่งที่พยายามมายาวนานก็เสียเปล่า แต่ทว่าเฉินจ้าวหากยังไม่รู้แผนการขององค์ชายสาม ก็คงจะโจมตีเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ….”
ขณะที่ซย่าโหวถิงกำลังฟัง จู่ๆ ก็หันหน้าไปด้านหน้า ดวงตาฉายแววดุดัน “ออกมา!”
อวิ๋นหว่านชิ่นถือถาดรองไม้แดง ศีรษะที่โผล่หลังผ้าม่านเดินออกมา ยกถ้วยชาออกมาวางบนโต๊ะ
สองวันมานี้ หญิงสาวผู้นี้วิ่งเข้าวิ่งออกห้องนอนเป็นประจำ ซย่าโหวถิงไม่ใส่ใจนัก เมื่อครู่เห็นนางเดินเข้ามา รู้ว่านิสัยนางบุ่มบ่าม เวลาว่างก็ไม่ได้อบรมสั่งสอนนางมานัก เห็นนางยังไม่ออกไปเสียที คิ้วก็ขมวดอย่างหงุดหงิด “ยกชาเสร็จก็ไสหัวออกไป”
แต่ก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นยังรู้สึกว่าเขาเป็นคนอบอุ่น หลายวันมานี้ได้ใกล้ชิดกับเขาในค่ายทหารอีกสถานะหนึ่ง เพิ่งจะรู้ว่าเขาผู้นี้ในเวลาทำงานไม่เคยไว้หน้า ยิ่งใกล้ชิดยิ่งโหดร้าย
มารยาทคืออะไรเขาคงไม่เข้าใจ เป็นลูกน้องของเขาช่างลำบากเสียจริง
เวลานี้มีเสียงกระซิบ นางเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋อง ใต้เท้าซือ บ่าวมีวิธีให้กองทหารสกุลเฉินที่อยู่นอกเมืองไม่ให้โจมตีเมืองเพคะ”
ทั้งสองไม่เอ่ยคำใด
ซือเหยาอันพูดขึ้นมาก่อน “นี่เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าไม่ควรเอามาล้อเล่น”
ซย่าโหวถิงเห็นคู่ตาอีกาดำของนางจ้องมาที่ตน ราวกับตะขอเกี่ยวใจคน จะหลบก็หลบไม่ได้ ได้แต่เอ่ย “เจ้าพูดมา”
วันก่อนยังเป็นหญิงสาวไร้เหตุผลกอดเสาในห้องโถงใหญ่ ตอนนี้กลับนิ่งสงบ “ไม่ต้องส่งคนไปส่งจดหมายถึงอำเภอเพ่ย ท่านอ๋องเพียงส่งคนสนิทที่ไว้ใจได้ออกไปคนหนึ่งเพคะ” พูดไป ก็นำปิ่นไข่มุกบนศีรษะออกมาวางเบาๆ บนโต๊ะ “พอถึงประตูเมือง คิดวิธีนำสิ่งนี้ให้ผู้สอดแนมที่สกุลเฉินส่งมา ก็จะสำเร็จเพคะ” ปิ่นไข่มุกนี้ชาวบ้านในอำเภอเจียงจือมักจะติดไว้บนศีรษะ เฉินจ้าวน่าจะสังเกตได้
หมายความว่าอะไร ซือเหยาอันแปลกใจ แต่กลับเห็นหญิงสาวพูดหนักแน่น อีกทั้งยังวิงวอนจากใจจริง “พวกท่านอย่าเพิ่งถามเหตุผลเลย ครั้งนี้เชื่อบ่าวเถิดนะเพคะ”