ตอนที่ 324 ชีวิตของฮูหยินใหญ่อัน
ฉูฉิงราวกับมิได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย นางหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขจนทำให้ใบหน้าที่งดงามดูบิดเบี้ยว “พี่หญิงคงยังมิทราบว่าเรื่องที่ท่านกลับเมืองหลวงก่อนกำหนดและเรื่องขัดราชโองการ อันที่จริงเป็นความคิดของข้าเอง”
นางค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ฉูอวี่ “พี่หญิง ท่านควรได้รู้เอาไว้ว่าตั้งแต่ที่ท่านขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพชิงซานแล้วชนะสงครามมากมายถึงขั้นมีบางคนรู้จักเพียงฉูอวี่แห่งจวนแม่ทัพ แต่มิรู้จักพระนามของฝ่าบาทด้วยซ้ำ ! ฝ่าบาทจักทนได้เยี่ยงไร ? พระองค์ย่อมรีบกำจัดเจ้าเพื่อความสบายใจอย่างไรเล่า”
แววตาของฉูอวี่เย็นเฉียบพลางมองไปยังคนที่รู้จักกันดีแต่กลายเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว “ตอนที่กู่ฉางเซิ่งขอร้องให้ข้านำทหารออกรบเขาหาได้กล่าวเช่นนี้ เขาบอกว่ามีข้าศึกเข้ารุกรานจนราษฎรล้มตายและมีเพียงจวนแม่ทัพของข้าที่สามารถพึ่งพาได้ หากเขามิหลอกลวง ป่านนี้ข้าคงขึ้นเป็นฮองเฮาของเขาไปแล้ว ! ”
“ฮองเฮาน่ะหรือ ? พี่หญิงช่างไร้เดียงสาเสียจริง ไม่สิ ต้องกล่าวว่าเจ้าช่างโง่เขลายิ่งนักมากกว่า” ฉูฉิงเผยรอยยิ้มออกมา “คิดว่าฝ่าบาทรักเจ้าจริงอย่างนั้นหรือ แค่เพราะเจ้ามีอำนาจมากเกินไปจึงต้องกำจัดเจ้าหรือ ? มิใช่เช่นนั้นหรอก ที่จริงแล้วฝ่าบาทมิเคยรักเจ้าเลยด้วยซ้ำ เพราะคนที่ฝ่าบาทรักมาตลอดคือข้าผู้เดียว ! ”
“หากมิใช่เพราะอำนาจของจวนแม่ทัพ ฝ่าบาทจักทรงฝืนพระทัยคอยเอาอกเอาใจเจ้าสารพัดเพื่อเหตุใด ? ที่ทำไปก็เพื่อให้กองทัพของจวนแม่ทัพตกอยู่ในพระหัตถ์อย่างไรเล่า”
มุมปากของนางยกขึ้นเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ทว่าตอนนี้บัลลังก์ของฝ่าบาทมั่นคงแล้ว จวนแม่ทัพก็ไร้ความจำเป็นในการดำรงอยู่ อ้อ ใช่แล้ว ข้าลืมบอกเจ้าว่าแม้แต่จดหมายว่าจวนแม่ทัพทรยศทั้งคอยแจ้งข่าวแก่ศัตรูก็เป็นข้าเองที่นำไปวางไว้ในช่องทางลับ เพื่อให้พวกเจ้าทั้งครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในนรก ข้าต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ! ”
“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ ? จวนแม่ทัพก็เป็นครอบครัวของเจ้าเช่นกัน ! เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายพวกเขาด้วย ! ” มือเท้าของฉูอวี่เย็นเฉียบ มินึกว่าฉูฉิงใจดำอำมหิตได้ถึงเพียงนี้
ฉูฉิงกรีดร้องออกมาราวกับเจ็บปวดแสนสาหัส “ครอบครัวของข้าหรือ ? จวนแม่ทัพเป็นครอบครัวของข้าที่ไหนกันเล่า ? เพราะเป็นบุตรอนุภรรยาจึงต้องคอยระวังท่าทีว่าจักทำให้พวกท่านพ่อมิพอใจ แม้แต่สาวใช้ข้างกายของเจ้ายังกล้าชักสีหน้าใส่ข้า มีแต่เจ้า มีแต่คนที่สูงส่งเยี่ยงเจ้าได้รับความสุขสบายในฐานะบุตรีของภรรยาเอก มีหรือจักมาเข้าใจคนที่โดนเหยียบย่ำเยี่ยงข้า ! ”
“เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ ? ” ฉูอวี่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ตั้งแต่เด็กจนโตมีตรงไหนบ้างที่ข้ามิเคยดูแลเจ้า ? เสื้อผ้าเครื่องประดับที่ท่านพ่อและท่านพี่นำกลับมา ข้าก็ให้เจ้าเลือกก่อนทุกครั้ง ของที่เจ้าบอกว่าชอบ ข้าก็มิเคยแย่งเลยสักครั้ง นึกมิถึงว่าเจ้าจักคิดเช่นนี้ได้ ! ”
“นั่นก็แค่ของบริจาคจากเจ้า เหตุใดข้าต้องสนใจด้วย”
ฉูฉิงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ข้าจักช่วงชิงทุกอย่างที่เป็นของเจ้าให้หมด เห็นเจ้าทุกข์ทรมานข้าถึงมีความสุข รู้หรือไม่ว่ามารดาของเจ้าตายอย่างไร ? ตอนที่ข้าผลักนางตกน้ำ นางยังตะโกนขอร้องให้ข้าช่วยอยู่เลย ตอนนั้นข้าดีใจมากที่ฮูหยินใหญ่จวนแม่ทัพอันสูงส่งในที่สุดยังต้องขอร้องอ้อนวอนข้า ! ”
ฉูอวี่เงยหน้าขึ้นมา นางถึงขั้นเบิกตาโพลง ตอนที่มารดาสิ้นลมนั้น ฉูฉิงเพิ่งอายุได้ 8 ขวบ แต่นางกลับลงมือสังหารคนได้แล้ว !
อันหลิงเกอก็ตกใจไปพร้อมฉูอวี่เช่นกัน แต่มิใช่เพราะฉูฉิงฆ่าคนตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าเพราะในที่สุดนางก็ได้เห็นใบหน้าของฉูอวี่อย่างชัดเจน
ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของท่านแม่ !
อันหลิงเกอเบิกตากว้างด้วยความตกใจและพลันตื่นจากความฝันแปลกประหลาดทันที
ตอนนี้ฟ้าเพิ่งสว่าง แสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าส่องทะลุเข้ามาจากทางหน้าต่างไม้แกะสลัก ทอประกายแสงอบอุ่นเข้ามาภายในห้อง
ภายนอกมีเสียงเดินไปมาของเหล่าสาวใช้ พวกคนรับใช้ที่ดูแลทำความสะอาดคงเริ่มทำงานกันแล้ว
อันหลิงเกอยกมือขึ้นลูบหน้าผากทีหนึ่งจึงพบว่ามีเหงื่อผุดขึ้นมากมายตั้งแต่เมื่อไรมิรู้ได้
ทั้งที่เป็นเพียงความฝัน ทว่าภายในใจของอันหลิงเกอก็เต็มไปด้วยความสงสัย
สตรีที่ชื่อฉูอวี่คนนั้น เหตุใดจึงมีใบหน้าเหมือนท่านแม่มากเพียงนี้?
อีกอย่างผู้หญิงที่อยู่ในความฝันแม้มีชื่อว่าฉูอวี่ แต่พ้องกับชื่อมารดาเยี่ยงอวี๋ฉู นี่บังเอิญเกินไปหรือไม่ ?
อันหลิงเกอนึกถึงหอจิ่นซิ่วขึ้นมา เจ้าของร้านนั้นหลังจากที่ท่านแม่ตายก็มิยอมฟังคำสั่งของหลี่อี๋เหนียงอีกและยังสามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองหลวงได้แม้จักโดนหลี่อี๋เหนียงกลั่นแกล้งสารพัดก็ตาม เห็นได้ชัดว่าหอจิ่นซิ่วต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน
ท่านแม่เป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดา นางจักอาศัยสิ่งใดจนสามารถสร้างหอจิ่นซิ่วได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แล้วทำอย่างไรท่านพ่อจึงเกลี้ยกล่อมท่านย่าได้สำเร็จ อีกทั้งท่านย่ายังมิถือสาที่นางเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาและยังดีกับท่านแม่มากอีกด้วย ?
นับตั้งแต่ที่ได้เห็นใบหน้าของฉูอวี่อย่างชัดเจนในความฝัน อันหลิงเกอก็มิสามารถหยุดความคิดว้าวุ่นลงได้เลย
ความคิดแสนสับสนวุ่นวายภายในหัวผุดขึ้นมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า นางมิเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แต่ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงม่านลูกปัดดังขึ้น เป็นปี้จูที่กำลังเดินถืออ่างทองแดงเข้ามา
“คุณหนู บ่าวกำลังมาเรียกอยู่พอดีเจ้าค่ะ” ปี้จูวางอ่างในมือลงที่ชั้นด้านข้างพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเพื่อมาปรนนิบัติอันหลิงเกอตามปกติ
หลังจากล้างและเช็ดหน้าจนแห้งแล้ว อันหลิงเกอจึงหันไปถามปี้จู
“เจ้าคิดว่าหากมีหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งมาตั้งร้านค้าที่มีลูกค้ามาซื้อของมากมายทุกวัน หลังจากที่นางตายแล้วร้านนั้น…”
นางกล่าวออกมาได้เล็กน้อยก็หยุดเพื่อไตร่ตรองว่าควรใช้ถ้อยคำอย่างไรมาบรรยายสถานการณ์ของหอจิ่นซิ่วดี
ปี้จูมิได้คิดอันใดมาก นางแค่หัวเราะออกมา “คนที่คุณหนูกล่าวถึงเหมือนฮูหยินใหญ่มากเลยเจ้าค่ะ”
นางหยิบหวีขึ้นมาก่อนที่จักให้อันหลิงเกอนั่งลงหน้ากระจก บนกระจกทองแดงปรากฏเงาของคนสองคนขึ้นมา
ปี้จูหวีผมให้อันหลิงเกอพลางกล่าวว่า “แต่บ่าวคิดว่าฮูหยินใหญ่ดูมิเหมือนสาวชาวบ้านเลยเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอนั่งนิ่ง มองเข้าไปในกระจกก็เห็นปี้จูกำลังย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอยู่ “บ่าวจำได้ว่าตอนนั้นที่พ่อแม่ของบ่าวโดนโจรภูเขาฆ่าตาย มิรู้ว่าฮูหยินใหญ่ผ่านไปทางนั้นได้อย่างไรจึงถูกโจรภูเขาจับตัวไปด้วย แต่มิถึงสองชั่วยาม ฮูหยินใหญ่ก็สังหารโจรภูเขาพวกนั้นจนหมด โจรมีกันตั้งยี่สิบกว่าคนเจ้าค่ะ ! ตอนนั้นบ่าวแอบอยู่ในพุ่มไม้ หลังจากฮูหยินใหญ่สังหารโจรภูเขาหมดแล้วก็ส่งชาวบ้านที่รอดชีวิตกลับหมู่บ้าน มีเพียงพ่อแม่ของบ่าวที่มิรอดแต่โชคดีที่นางรับบ่าวเอาไว้จึงได้มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้เจ้าค่ะ”
เพราะฮูหยินใหญ่อันช่วยชีวิตนางเอาไว้ ปี้จูจึงซื่อสัตย์ต่อสองแม่ลูกยิ่งนัก
ขนตาดำเป็นแพของอันหลิงเกอกะพริบปริบ ๆ ดวงตาดำขลับฉายแววบางอย่างออกมา
เดิมทีนางรู้แค่ว่ามารดาช่วยปี้จูเอาไว้ แต่มิเคยรู้มาก่อนว่าท่านแม่ช่วยปี้จูจากโจรภูเขายี่สิบกว่าคน
อาศัยแรงของคนเพียงคนเดียวก็สามารถสังหารโจรภูเขายี่สิบกว่าคนได้ หญิงสาวชาวบ้านทั่วไปจักทำเรื่องเช่นนี้ได้หรือ ?
เมื่อนึกถึงฉูอวี่ที่อยู่ในความฝันก็คล้ายว่านางจักเป็นแม่ทัพ ยิ่งทำให้ความสงสัยของอันหลิงเกอเพิ่มมากขึ้น
“ไปเรียกหลงจู๊หอจิ่นซิ่วให้ข้าที” อันหลิงเกอสั่งออกไปก็นึกได้ว่าในจวนมีคนมากเกินไปจึงเปลี่ยนความคิดทันที “เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้ากับหมิงซินดูแลเรือนให้ดี ส่วนข้าจักออกไปข้างนอกเสียหน่อย”