ตอนที่ 325 ความจริงในอดีต
ปี้จูตกใจเล็กน้อยเพราะนี่ยังเช้าอยู่ เหตุใดคุณหนูจึงรีบร้อนออกไปนอกจวน อย่างน้อยก็น่าจักทานมื้อเช้าเสียก่อนแล้วค่อยออกไป
นางกำลังเอ่ยปาก แต่เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของอันหลิงเกอ นางจึงตัดสินใจกลืนสิ่งที่จักเอ่ยลงไป “คุณหนูวางใจเถิด บ่าวรับประกันว่าในเรือนจักมิมีอันใดเกิดขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอจึงเก็บของเล็กน้อยแล้วให้คนขับรถม้าเตรียมรถม้าออกนอกจวน
เพราะฐานะหมอหญิง นางจึงสามารถเข้าออกวังหลวงได้ตลอดเวลาและการออกนอกจวนในเวลานี้จึงมิต้องคอยหลบซ่อน นางสามารถออกไปได้อย่างเปิดเผย
คนขับรถม้ากำลังจักเคลื่อนรถม้าไปทางวังหลวง แต่ได้ยินเสียงของอันหลิงเกอสั่ง “ไปหอจิ่นซิ่ว”
รถม้าจึงหันเปลี่ยนทิศไปอย่างกะทันหัน คนขับรถม้าเมื่อรับคำเสร็จก็พานางมุ่งหน้าไปทางหอจิ่นซิ่วทันที
อันหลิงเกอลงจากรถม้าแล้วเงยหน้ามองป้ายที่อยู่ด้านหน้า
คำว่าหอจิ่นซิ่วส่องประกายอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ประตูหน้าร้านมีลูกค้าเดินเข้าออกเห็นได้ชัดว่าคึกคักเป็นอย่างมาก
นางค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านใน เพียงครู่เดียวหลงจู๊หอจิ่นซิ่วก็มองเห็นนางแล้ว
“คุณหนูใหญ่ ท่านมาได้อย่างไรขอรับ ? ”
อันหลิงเกอมองซ้ายแลขวาเห็นลูกค้าสองสามกลุ่มกำลังเดินดูของในหอจิ่นซิ่ว เลือกของชิ้นแล้วชิ้นเล่า บ้างก็เป็นของที่ประณีต บ้างก็เป็นของแปลกตา
แววตาของนางดูลึกล้ำและมีท่าทีเคร่งขรึม “ข้ามีบางเรื่องอยากถามเจ้า”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลงจู๊หอจิ่นซิ่วก็เข้าใจทันที เขาจึงพาอันหลิงเกอขึ้นไปบริเวณที่นั่งบนชั้นสอง
เขายืนอยู่ด้านหน้าอันหลิงเกอ สีหน้ามิเห็นถึงความผิดปกติใด ๆ
“ท่านแม่ของข้าเป็นใครกันแน่ ? ”
น้ำเสียงกังวานใสของอันหลิงเกอดังขึ้น ก้องอยู่ในหูของหลงจู๊หอจิ่นซิ่วและท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป
สีหน้าของเขาคล้ายกำลังข่มกลั้นอารมณ์ตื่นตกใจเอาไว้ ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม
“เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงถามเช่นนี้ขอรับ ? ฮูหยินใหญ่ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา…”
อันหลิงเกอเอ่ยขัดหลงจู๊หอจิ่นซิ่วทันที “ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามเจ้าใหม่ว่าฉูอวี่เป็นใคร ? ”
นางเห็นความตื่นตระหนกที่พาดผ่านใบหน้าของหลงจู๊หอจิ่นซิ่วได้อย่างชัดเจน คำตอบที่เขาเตรียมไว้เป็นข้ออ้างกลับโดนนางโต้คืน
หลงจู๊หอจิ่นซิ่วมองลึกเข้าไปในดวงตาของอันหลิงเกอ สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมา ราวกับได้ตัดสินใจแล้ว “ในเมื่อคุณหนูทราบแล้ว ข้าก็จักมิปิดบังอีกขอรับ”
“ที่จริงแล้วฮูหยินใหญ่มิใช่สตรีธรรมดา เพราะนางเป็นแม่ทัพของแคว้นเชียงขอรับ”
เขากดเสียงต่ำ ต่อให้อยู่ในที่ของตนก็ยังคงระมัดระวังตัว
“เดิมทีฮูหยินใหญ่เคยผูกสัมพันธ์รักอยู่กับฮ่องเต้ของแคว้นเชียง แต่ผู้ใดจักคิดว่าฮ่องเต้ทำไปเพื่อหลอกใช้กองกำลังทหารของนางเท่านั้น หลังจากนั้นก็กลัวว่าฮูหยินใหญ่จักอยู่เหนือจักรพรรดิ มันจึงวางแผนใส่ร้ายจวนแม่ทัพเพื่อทำให้ผู้บริสุทธิ์ทั้งหมดในจวนแม่ทัพตายอย่างทรมาน ! ”
ในขณะที่หลงจู๊หอจิ่นซิ่วกล่าวนั้น สีหน้าของเขาก็ดูสะเทือนใจอย่างมาก ราวกับได้เห็นโลหิตไหลท่วมเช่นในอดีตอีกครา
“เดิมทีข้าเป็นทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฮูหยินใหญ่ ตอนได้ยินข่าวนี้ทุกคนในจวนแม่ทัพล้วนตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฮูหยินที่โดนคุมขังในคุก”
“พวกเราต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ทว่าสุดท้ายโดนฮ่องเต้ใส่ร้าย พวกเราจักยอมได้อย่างไร?”
“นอกจากข้าแล้วยังมีนายทหารที่กลับมาเมืองหลวงด้วยกัน พวกเรายอมให้จวนแม่ทัพถูกใส่ร้ายเช่นนี้มิได้ ยิ่งทนมิได้ที่ต้องเห็นฮูหยินโดนคนทำร้าย พวกเราจึงบุกเข้าไปในคุกหลวงแล้วช่วยนางออกมา”
อันหลิงเกอได้ฟังเรื่องราวที่พรั่งพรูออกมาถึงกับอึ้งงันทันที ต่อให้นางคาดเดาเอาไว้แล้ว ทว่าตอนได้ยินเรื่องจริงก็ยังอดสะเทือนใจมิได้
ท่านแม่ของนางมิใช่คนธรรมดาจริงด้วย แต่เป็นถึงแม่ทัพของแคว้นเชียง !
หลงจู๊หอจิ่นซิ่วยังเล่าด้วยความโกรธแค้น “ฮ่องเต้พระองค์นั้นบีบคั้นจนจวนแม่ทัพหมดทางรอด แม้แต่พวกเราที่เป็นนายทหารก็มิละเว้น ฮูหยินใหญ่จึงตัดสินใจพาพวกเรามาที่ต้าโจวแล้วเปลี่ยนชื่อแซ่เสียใหม่ พวกเราจึงได้มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ขอรับ”
ดวงตาที่ลึกล้ำราวกับมหาสมุทรของอันหลิงเกอคล้ายมีพายุโหมกระหน่ำ “เช่นนั้นท่านแม่มาพบท่านพ่อได้อย่างไร ? ”
หากท่านแม่หนีออกจากคุกหลวง ฮ่องเต้แคว้นเชียงต้องมิปล่อยนางไว้แน่
เสียงของหลงจู๊หอจิ่นซิ่วกลับมามั่นคงอีกครั้งราวกับทำใจให้สงบได้แล้ว “เรื่องนี้พวกเราก็มิทราบขอรับ พวกเราเปลี่ยนชื่อแซ่แล้วย้ายมาอยู่ในต้าโจวโดยการปลอมตัวเป็นพ่อค้าและก่อตั้งหอจิ่นซิ่วขึ้นมา จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปตามที่ต่าง ๆ มีเพียงข้าคนเดียวที่อยู่ดูแลหอจิ่นซิ่วขอรับ”
“ข้าจำได้เพียงว่าวันนั้นหลังจากฮูหยินกลับมา นางเคยกล่าวเรื่องจวนโหวอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเราก็มิได้เก็บไปคิดอันใด แต่ผู้ใดจักคิดว่ามิกี่เดือนหลังจากนั้นนางจักแต่งงานกับท่านโหวอัน”
หลงจู๊หอจิ่นซิ่วเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ฮูหยินใหญ่แม้จักเป็นถึงแม่ทัพแต่ก็ยังเป็นสตรีคนหนึ่ง พวกเขาย่อมมิกล้าถามเรื่องส่วนตัวของนาง
มิมีผู้ใดคาดคิดว่าแม้แต่เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงาน ฮูหยินจักรีบร้อนตัดสินใจเช่นนี้
อันหลิงเกอก็เลิกคิ้วขึ้น ตอนนี้นางทราบฐานะแท้จริงของมารดาแล้ว แต่ยังมิรู้ว่าตอนนั้นเกิดอันใดขึ้นบ้าง ทำให้รู้สึกเหมือนมีเมฆหมอกลอยบดบังอยู่เบื้องหน้าตลอดเวลา
ท่านแม่ต้องปิดบังฐานะแม่ทัพแคว้นเชียงกับทุกคนอย่างแน่นอน เช่นนั้นนางมิมีทางเอาชีวิตรอดในต้าโจวได้แน่ แต่เหตุใดท่านย่าและท่านพ่อจึงให้ความสำคัญกับท่านแม่ ต่อให้โดนทุกคนพูดถากถางก็ยังยืนกรานที่จักแต่ง ‘สาวชาวบ้าน’ เข้าจวนอยู่ดี ?
เพราะท่านแม่มีทรัพย์สินมากมาย เพียงพอที่จักช่วยเหลือจวนโหวที่กำลังตกต่ำอย่างนั้นหรือ ?
อันหลิงเกอมิรู้อันใดเพิ่มมากขึ้น เพียงแค่ยืนยันได้ว่าที่จริงแล้วมารดาเป็นถึงแม่ทัพของแคว้นเชียง หลงจู๊หอจิ่นซิ่วก็เคยเป็นผู้ใต้บัญชามาก่อน
นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงฝากฝังหลงจู๊หอจิ่นซิ่วมิกี่คำก็ลงไปข้างล่างทันที
“คุณหนูใหญ่ พวกเรามิได้ตั้งใจปิดบังท่านขอรับ” หลงจู๊หอจิ่นซิ่วสังเกตเห็นสีหน้าผิดหวังของอันหลิงเกอก็คิดว่านางอาจเข้าใจพวกตนผิดไป
อันหลิงเกอชะงักฝีเท้า “มิเป็นไร ข้ารู้ว่าที่พวกเจ้าทำเช่นนี้เพราะเป็นทางเลือกดีที่สุดแล้ว”
ฐานะของพวกเขาอันตรายถึงเพียงนี้ หากมิระวังอาจนำไปสู่ความตายได้ พวกเขาย่อมต้องปิดบังความจริงไว้อย่างมิดชิด
“ฮูหยินใหญ่เคยคิดว่าจักรอให้คุณหนูโตก่อนค่อยบอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบ แต่น่าเสียดาย…”
หลงจู๊หอจิ่นซิ่วถอนหายใจออกมา เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาของอันหลิงเกอก็เป็นประกายขึ้นมา นางจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น “ตอนนั้นท่านแม่เอ่ยอันใดอีกหรือไม่ ? ”
อยู่ ๆ ก็เห็นนางตื่นเต้นขึ้นมาเช่นนี้ ทำให้หลงจู๊หอจิ่นซิ่วถึงกับทำตัวมิถูก
เขาค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อออกจากมือของอันหลิงเกอ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ตัวตนของพวกเราถูกปิดบังไว้อย่างดี แต่ฮูหยินลืมความแค้นที่จวนแม่ทัพโดนสังหารยกตระกูลมิได้ จึงวางแผนเพื่อแก้แค้นฮ่องเต้ชั่วพระองค์นั้น นางเคยบอกพวกเราว่ารอให้ท่านโตกว่านี้ แล้วนางจักบอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบ แต่ใครจักคิดว่าฮูหยินมาจากไปเร็วถึงเพียงนั้น”
อันหลิงเกอรู้สึกราวกับมีของสำคัญบางอย่างอยู่ใกล้มือ แต่นางคว้าเอาไว้มิได้อย่างไรอย่างนั้น
ใช่แล้ว ท่านแม่เป็นถึงแม่ทัพ ร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด สุดท้ายต้องจากไปเพราะโรคบางอย่างในระยะเวลาอันสั้น จักเป็นเพราะคนของแคว้นเชียงพบตัวตนที่แท้จริงของท่านแม่จึงลงมือสังหารหรือไม่ ?