[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 385 : เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5!

หลิงหยุนซัดยันต์ทั้งสองแผ่นออกไปด้านนอกพร้อมกัน เพื่อต้องการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยันต์ทั้งคู่ แต่เมื่อยันต์ทั้งสองแผ่นกลายเป็นลูกไฟ กลับทำให้หลิงหยุนประหลาดใจอย่างมาก!

ยันต์อัคนีที่เขียนด้วยพู่กันจักรพรรพินั้น ยังคงมีขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอล และเปลวไฟเป็นสีแดง

ส่วนยันต์อัคนีที่หลิงหยุนเพิ่งเขียนขึ้นมานั้น ขนาดของลูกไฟนั้นเล็กกว่านิดหน่อย เพราะมีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล แต่สีของเปลวไฟนั้นกลับแตกต่าง เพราะในเปลวไฟสีแดงนั้น ที่ปลายของเปลวไฟกลับเป็นสีฟ้าอ่อน

เปลวไฟที่มีสีฟ้าอ่อนนั้นเป็นเปลวไฟของยันต์อัคนีในระดับสอง และถ้าเปลวไฟทั้งหมดเป็นสีฟ้าอ่อน ย่อมหมายความว่าหลิงหยุนสามารถปลุกเสกยันต์อัคนีระดับสองได้แล้ว!

“พี่หยุน.. มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า? ยันต์ที่พี่เขียนขึ้นใหม่ทำไมลูกเล็กลง..”

ถังเมิ่งเห็นหลิงหยุนจ้องมองลูกไฟที่มีขนาดเล็กลง แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น จึงได้แต่สงสัย?!

ครึ่งนาทีต่อมา ยันต์อัคนีที่เขียนด้วยพู่กันจักรพรรดิก็เริ่มดับลง แต่ยันต์ที่หลิงหยุนเพิ่งเขียนขึ้นมาใหม่นั้น ยังคงสว่างไสวต่ออีกราวสิบวินาทีจึงค่อยดับลง

หลิงหยุนหันไปพูดกับถังเมิ่งและตี้เสี่ยอู๋ว่า “พวกนายคงจะงงแล้วก็ไม่เข้าใจสินะ..  สำหรับไฟนั้น.. ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่มีขนาดใหญ่หรือเล็ก แต่อยู่ที่ระยะเวลาในการเผาไหม้ และความร้อนของไฟต่างหาก ยิ่งเผาไหม้ได้นานมากเท่าไหร่ และมีความร้อนที่สูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”

“แม้เปลวไฟสีฟ้านั่นจะลูกเล็กกว่า แต่ความร้อนของมันนั้นกลับสูงกว่าลูกไฟสีแดงถึงสองเท่า ถ้าปาไปโดนแขนของพวกนายแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าแขนของพวกนายคงต้องกลายเป็นรูขนาดใหญ่และลึกเข้าไปจนถึงกระดูกแน่นอน!”

ถังเมิ่งถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ “นี่.. ประสิทธิภาพของมันร้ายกาจแบบนั้นเลยเหรอ?!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “แน่นอน.. ลองคิดดูนะว่าระหว่างที่ต่อสู้กันอยู่ แค่ศัตรูของนายโดนยันต์ที่เผาไหม้ได้เพียงแค่ผิวหนัง พวกมันก็เจ็บปวดจนไม่มีกะจิตกะใจจะสู้กับนายแล้ว แต่ถ้าโดนยันต์ที่สามารถเผาเข้าไปถึงกระดูกได้แล้วล่ะก็ นายคิดว่าศัตรูของนายจะเป็นยังไง?!”

หลิงหยุนอธิบายให้ทั้งสองคนฟังอย่างพออกพอใจในผลงานของตนเอง ตอนนี้หลิงหยุนกำลังใคร่ครวญอยู่ว่า เพราะเหตุใดยันต์ที่เขียนด้วยพู่กันธรรมดาจึงได้มีประสิทธิภาพรุนแรงกว่ายันต์ที่เขียนด้วยพู่กันจักรพรรดิ!

เหตุผลหลักเลยก็คือระดับขั้นของกำลังภายในที่พัฒนาขึ้นมากของหลิงหยุน หากตอนนี้กำลังภายในของเขาอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-3 เขาก็คงจะไม่สามารถถ่ายเทพลังชีวิตจากร่างกายผ่านพู่กันขนหมาป่าลงไปในยันต์อัคนีได้

แต่ตอนนี้กำลังภายในของหลิงหยุนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-4แล้ว และต่อให้ตอนนี้ในมือของเขาเป็นกิ่งไม้ที่ตายแล้ว หรือใบไม้ที่เขียวสด เขาก็สามารถที่จะถ่ายเทพลังชีวิตในร่างกายออกไปได้!

เดิมทีนั้น.. พู่กันจักรพรรดิจดจำว่าหลิงหยุนคือเจ้านายของมัน และยอมให้หลิงหยุนใช้มันถ่ายเทพลังชีวิตลงไปในยันต์ แต่ตอนนี้ ด้วยพู่กันขนหมาป่าธรรมดาๆ หลิงหยุนก็สามารถปลุกเสกยันต์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิมเล็กน้อยได้ ก็เพราะนอกเหนือจากระดับกำลังภายในที่เพิ่มขึ้นของหลิงหยุน ก็ยังมีปัจจัยอย่างอื่นอีก

มีเหตุผลหลายข้อว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องใช้วัตถุดิบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษเขียนยันต์ หมึก และสมุนไพรที่เก็บไว้ในห้องเก็บของภายในบ้าน อีกทั้งยังใช้เลือดสุนัขทั้งสี่ตัวที่อยู่ในสวน

หลิงหยุนได้จัดการเปลี่ยนบ้านเลขที่ -1 ของเขาให้กลายเป็นหลุมพลัง และด้วยพลังชีวิตที่เข้มขนภายในบ้านของเขานั้น ทำให้สัตว์และต้นไม้ใบหญ้าต่างๆที่อยู่ภายในบ้าน ได้รับการชำระล้างด้วยพลังชีวิตอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน สัตว์ต่างๆและต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น จึงเต็มไปด้วยพลังชีวิตมากกว่าสิ่งอื่นที่อยู่นอกบ้าน!

ทั้งสมุนไพร และเลือดของสุนัขทั้งสี่ตัวที่อยู่ในบ้านของหลิงหยุน ล้วนมีพลังชีวิตปะปนอยู่ ดังนั้นกระดาษเขียนยันต์และหมึกเขียนยันต์ที่ทำขึ้นจากวัตถุดิบเหล่านี้ ยังไงก็ต้องดีกว่ากระดาษและหมึกที่เขาทำก่อนหน้านี้

จึงสรุปได้ว่าสาเหตุที่ยันต์อัคนีที่หลิงหยุนเพิ่งเขียนขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพที่รุนแรงกว่า ก็เพราะระดับกำลังภายในที่เพิ่มมากขึ้น และวัตถุดิบอย่างกระดาษและหมึกที่มีคุณภาพดีกว่านั้นเอง

แต่นี่เป็นยันต์ที่หลิงหยุนเพียงแค่เขียนขึ้นมาเพื่อทดลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพเท่านั้น เขายังไม่ได้ผสมสมบัติล้ำค่าอย่างโสมพันปีที่อยู่ในแหวนพื้นที่ลงไปด้วย หากเขาผสมมันลงไปในระหว่างทำหมึกแล้วล่ะก็ ประสิทธิภาพของมันก็จะยิ่งรุนแรงกว่านี้หลายเท่า

ในเมื่อยันต์อัคนีที่เขาเขียนขึ้นมาใหม่นั้น มีประสิทธิภาพที่รุนแรงขึ้น หลิงหยุนจึงเชื่อว่ายันต์บำบัดของเขาก็ต้องมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน!

“เอาล่ะ.. เริ่มปลุกเสกยันต์กันได้แล้ว!”

หลิงหยุนเดินไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยความตื่นเต้น และพร้อมมากสำหรับการลงมือเขียนยันต์ แต่ก่อนที่จะเริ่มลงมือนั้น เขาก็สั่งถังเมิ่งให้ออกไปหาซื้อชุดดำมาสองสามชุด

“ชุดดำงั้นเหรอ?” ถังเมิ่งกำลังงงว่าหลิงหยุนจะเอาชุดดำไปทำไม

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ใช่.. ถ้ามีผ้าปิดหน้าด้วยก็ยิ่งดี ส่วนรองเท้านั้น ดูเหมือนพวกเราจะตัวเท่าๆกัน นายก็ซื้อไซส์ของนายมาเลยก็แล้วกัน”

พูดจบหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ลานบ้านที่ตู้กู่โม่กำลังนั่งขัดสมาธิเดินลมปราณอยู่ “แล้วช่วยหาซื้อเสื้อคลุมแบบที่เขาใส่มาด้วย..”

หลิงหยุนกำลังจัดเตรียมชุดที่เหมาะสำหรับภารกิจในคืนนี้ให้กับเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ นั่นก็คือชุดที่เหมาะกับการต่อสู้..

“พี่หยุน.. แล้วฉันจะไปหาซื้อเสื้อคลุมแบบนั้นได้ที่ใหน..” ถังเมิ่งไม่เคยพบเห็นเสื้อสไตล์นี้ในร้านเสื้อที่ใหนมาก่อนเลย

แต่หลิงหยุนกลับไม่สนใจถังเมิ่ง เขาเริ่มลงมือเขียนยันต์บำบัดทันที

เมื่อเห็นถังเมิ่งกำลังตาอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ตี้เสี่ยวอู๋ก็ยิ้มให้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ให้ฉันช่วยไม๊..”

ตี้เสี่ยวอู่อยู่กับแก๊งมังกรเขียวมาหลายปี และชอบการต่อสู้เป็นที่สุด และมีความสนใจในเรื่องพวกนี้มากกว่าถังเมิ่งที่เป็นเพียงแค่หนุ่มเจ้าสำราญ

หลิงหยุนเขียนยันต์บำบัดจำนวนสิบกว่าแผ่นเสร็จภายในเวลาสามนาที จากนั้นก็หันมาพูดกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า

“นายไปกับถังเมิ่ง.. ถ้าพวกนายชอบก็ซื้อให้ตัวเองด้วย แต่ก่อนจะไป นายสองคนเอายันต์นี่ไปจัดการรักษาบาดแผลให้กับสุนัขทั้งสี่ตัวก่อน”

ตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งหยิบยันต์บำบัดไปพร้อมกับพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ส่วนหลิงหยุนยังคงหมกมุ่นกับการเขียนยันต์บำบัดต่อไป

หลิงหยุนใช้เวลาไปร่วมสองชั่วโมงในการเขียนยันต์บำบัดและยันต์อัคนีอย่างละสามร้อยแผ่น และเวลาของหลิงหยุนก็หมดไปกับการทำกระดาษเขียนยันต์และหมึก

หลังจากที่ปลุกเสกยันต์เรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็ลุกขึ้นยืดแข้งยืดขา และเริ่มดูดซับพลังชีวิตเข้าไปในร่างกายอีกครั้ง

“นี่มัน.. ดูเหมือนข้าใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5แล้ว..” หลิงหยุนใจสั่น คิ้วขมวดเข้าหากัน แต่ก็ยังคงสงบนิ่ง และรู้สึกดีใจ..

หลิงหยุนตื่นเต้นดีใจ และต้องการจะไปที่ลานบ้านเพื่อจัดการฝึกฝนให้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5ในตอนนี้เลย แต่กลับนึกขึ้นมาได้ว่าเหล่ากุ่ยยังคงอยู่ในห้องนอน และเขาเองก็ยังไม่ได้ถอนเข็มทองออกให้

ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงแล้ว ก็ได้เวลาพอดี หลิงหยุนจึงเปิดประตูเข้าไปในห้อง

“ห๊ะ! เหล่ากุ่ย.. นี่ท่านกำลังจะกลายเป็นมารแล้ว!” หลิงหยุนร้องอุทานออกมาอย่างตกใจสุดขีดเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที!

ใบหน้าของเหล่ากุ่ยเป็นสีแดงและขาว เปลือกตาทั้งสองข้างสั่นอย่างรุนแรง และร่างกายก็สั่นเทิ้มรุนแรงไม่ต่างกัน เหงื่อเม็ดโป้งไหลออกมาเต็มหน้า เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าธาตุไฟของเขากำลังจะแตก และกำลังจะกลายร่างเป็นมารในที่สุด!

หลิงหยุนสามารถเข้าใจเรื่องราวได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องสอบถามด้วยซ้ำ เหล่ากุ่ยน่าจะรู้สึกว่าการฝังเก้าเข็มปลุกชีพของหลิงหยุนนั้นได้ผลดีมาก และรู้สึกว่าจุดตันเถียนและเส้นลมปราณต่างๆของตนเองถูกฟื้นฟูแล้ว จึงต้องการเดินลมปราณในร่างกายให้สามารถทะลวงสู่ขั้นต่อไป!

แต่เหล่ากุ่ยคงจะลืมไปว่า.. บนร่างกายของเขายังคงมีเข็มทองทั้งเก้าเล่มปักอยู่!

เข็มทองทั้งเก้าเล่มนี้ใช้รักษาจุดอ่อนในร่างกายของเหล่ากุ่ย ไม่ได้ใช้ในการฝึกฝน หากเข็มทั้งเก้าเล่มยังไม่ถูกดึงออก ไม่มีทางที่เหล่ากุยจะฝึกได้

หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่า จากบุคลิกของเหล่ากุ่ยเขาไม่น่าเป็นคนใจร้อนถึงเพียงนี้ หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังเหล่ากุ่ย!

“เหล่ากุ่ย.. ทำใจให้สบาย แล้วหยุดเดินลมปราณ และปล่อยให้พลังชี่ในร่างกายค่อยๆไหลคืนสู่เข็มทองทั้งเก้าเล่ม!”

“ข้าจะช่วยท่านอีกแรง!”

พูดจบ.. หลิงหยุนก็วางฝ่ามือลงไปบนแผ่นหลังของเหล่ากุ่ย พร้อมกับใช้วิชาพลังลับหยินหยาง และพลังหยินและพลังหยางในจุดตันเถียนของหลิงหยุนก็ไหลผ่านเส้นลมปราณเยิ่น และเส้นลมปราณตูผ่านเข้าสู่ร่างกายของเหล่ากุยทางแผ่นหลัง

พลังชี่ในร่างกายของเหล่ากุ่ยตอนนี้มีคุณสมบัติเป็นไฟ หลิงหยุนจึงใช้พลังหยินของเขาเข้าไปต้านไว้ ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังหยางที่บริสุทธิ์ของเขาช่วยฟื้นฟูพลังชี่ในร่างกายของเหล่ากุ่ยทีละนิดๆ

ในขณะเดียวกันนั้น ตู้กู่โม่ที่กำลังฝึกฝนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงผิดปกติภายในบ้าน เขาจึงรีบลืมตาขึ้นและวิ่งตรงเข้าไปในบ้านทันที จากนั้นก็ค่อยๆเปิดประตูห้องนอนออกดู

ตู้กู่โม่มองไปที่เตียงนอนพร้อมกับขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ ก่อนจะกลับมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องทำหน้าที่คอยคุ้มกันหลิงหยุนกับเหล่ากุ่ย

ตู้กู่โม่ยืนอยู่อย่างนั้นราวสองชั่วโมง จนกระทั่งหลิงหยุนเอาฝ่ามือออกจากแผ่นหลังของเหล่ากุ่ย เขาจึงสูดลมหายใจยาวอย่างโล่งอก

หลิงหยุนกัดฟันลุกขึ้นจากเตียง และเดินออกมาจากห้อง ตู้กู่โม่ที่ยืนอยู่ด้านนอกเดินตามออกไปอย่างเงียบๆ

“นี่เจ้าเหนื่อยมากใช่ไม๊?” ตู้กู่โม่ถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

“หากเหล่ากุ่ยธาตุไฟแตก จนต้องกลายเป็นมาร เจ้าจะทำยังไง?!”

หลิงหยุนพูดกับตู้กู่โม่ในขณะที่เดินตรงเข้าไปที่หน้าต้นสมุนไพรชีฉียู่ เขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มฝึกฝนโดยไม่สนใจตู้กู่โม่อีก

หลังจากที่หลิงหยุนได้เขียนยันต์ไปร่วมหกร้อยแผ่น ยังไม่ทันที่เขาจะได้มีเวลาดูดซับพลังชีวิตเข้าไปใหม่ ก็พบว่าเหล่ากุ่ยธาตุไฟแตกและกำลังจะกลายเป็นมาร เขาจึงต้องใช้พลังหยินและหยางในร่างกายของตนเองเข้าช่วยแก้ไข

แต่หลิงหยุนกลับคาดไม่ถึงว่าพลังชี่ของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนนั้นจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาจึงต้องใช้พลังหยินและหยางในร่างกายของตนเองไปจนหมดเพื่อดึงเหล่ากุ่ยกลับมาก่อนที่จะเดินเข้าประตูแห่งความตาย

ตอนนี้หลิงหยุนแทบหมดเรี่ยวหมดแรง เขาจึงต้องอาศัยพลังชีวิตในการเดินวิชาพลังลับหยินหยางในร่างกาย

แต่ภายในระยะเวลาเพียงแค่สั้นๆที่กำลังดูดซับพลังชีวิตนั้น หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขากำลังจะทะลวงเข้าสู่ขึ้นที่สูงขึ้นแล้ว!

แต่ในเวลานี้ แม้แต่พลังชีวิตจากต้นสมุนไพรชีฉียู่ที่สะสมมานานถึงเจ็ดวัน ยังไม่เพียงพอให้เขาดูดซับเข้าไปถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย

หลิงหยุนไม่รอช้า เขาจัดการเรียกน้ำเต้าวิเศษออกมาจากแหวนพื้นที่ และรีบยกขึ้นดื่มทันที

อึก.. อึก.. อึก.. อึก..

เพียงแค่หนึ่งลมหายใจ หลิงหยุนก็ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปกว่าสองกิโลกรัมได้ จากนั้นก็รีบเดินวิชาพลังลับหยินหยางภายในร่างกายอีกครั้ง!

เพียงไม่นาน หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่ามัจฉาหยินและมัจฉาหยางที่อยู่ในสัญลักษณ์ไท่จี๋นั้นเริ่มหมุนอีกครั้ง และค่อยๆเร็วขึ้น และเร็วขึ้น!

ผ่านไปสิบนาที ยี่สิบนาที และครึ่งชั่วโมง!

ที่จุดตันเถียนของหลิงหยุนในตอนนี้ พลังหยางพุ่งขึ้นจำนวนมาก แต่พลังหยินกลับไม่เพียงพอ แต่เพราะหลิงหยุนได้ฝึกวิชาพลังลับหยินหยางสำเร็จแล้ว ภายในจุดตันเถียนจึงสามารถปรับสมดุลได้เอง

เมื่อพลังหยินและหยางภายในร่างกายเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นปังอีกครั้ง!

หลิงหยุนยิ้มอย่างพอใจเมื่อร่างกายของเขาพัฒนาขึ้นสู่ขั้นปรับร่างกาย-5ได้แล้ว!