“ฉันก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน” ถังหนิงส่ายหน้า “ฉันว่าเราคงเอาวิธีการจัดการปัญหาของผู้ชายมาเทียบไม่ได้หรอก”
“คุณเองก็ฉลาดมากเหมือนกันค่ะ โอเคไหมคะ” หลงเจี่ยกลอกตามอง “ยังไงตอนนี้ประธานฟ่านก็ถูกจับแล้ว หมายความว่าเขากำลังรอการตัดสินโทษอยู่สินะคะ น่าชื่นใจจริงๆ! รู้สึกเหมือนโลกสดใสขึ้นมาเลยค่ะ”
ถังหนิงนอนอยู่บนเตียง แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นสภาพน่าสมเพชของประธานฟ่านด้วยตาตัวเอง แต่เมื่อนึกว่าเขากำลังจะสูญเสียอิสรภาพไปก็รู้สึกสะใจอย่างถึงที่สุด
ไม่นานโม่ถิงก็กลับมาอยู่ข้างกายถังหนิง
ภายในเวลาเพียงวันเดียว…
…เขาได้จัดการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
“เจ้านายคะ คุณเหมือนพระเจ้าสำหรับฉันเลยค่ะ ฉันเทิดทูนคุณจากใจจริงเลยนะคะ” หลังจากเห็นโม่ถิง หลงเจี่ยรู้สึกราวกับเขายิ่งใหญ่ขึ้นมากในใจของเธอ
ชายคนนี้ช่างทรงอำนาจจนชวนให้เธอกลัวไปบ้าง
“กลับไปทำงานได้แล้วล่ะ ผมอยู่กับหนิงแล้ว” โม่ถิงมีท่าทีเรียบเฉย เขาไม่ได้คิดว่าการกำจัดขยะอย่างนั้นจะเป็นอะไรที่พิเศษ
หลงเจี่ยพยักหน้าขณะที่ทำทีบอกถังหนิงว่าเธอกำลังจะไปแล้ว จากนั้นจึงรีบออกจากโรงพยาบาลไปด้วยไม่ต้องการเป็นก้างขวางคอ
ในที่สุดทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ถังหนิงมองหน้าโม่ถิงก่อนเอ่ย “เรื่องที่ปกติฉันทำต้องดูโง่สำหรับคุณแน่เลยใช่ไหมคะ”
โม่ถิงหัวเราะพลางลูบศีรษะถังหนิง “คุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดที่ผมรู้จักแล้วครับ”
“ซย่าหันโม่ฟื้นหรือยังคะ” ถังหนิงหัวเราะตามเขา ทว่าเธอนึกถึงใครบางคนที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงคนไข้เพราะเธอได้ขึ้นมา
บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกผิด ชายผู้หนุนหลังซย่าหันโม่มาเยี่ยมเธอหลายครั้ง แต่หลังจากที่เห็นว่าเธอยังคงไม่ได้สติ เขาก็จากไปและไม่กลับมาอีก หรือว่าเขา…กำลังจะทิ้งซย่าหันโม่ไป
หลินเฉี่ยนไปเยี่ยมซย่าหันโม่เช่นกันและยังพูดบางอย่างกับเธออีกด้วย หลินเฉี่ยนไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดและทรมานใจกับเรื่องในอดีตอีกแล้ว ตอนนี้เธอมองซย่าหันโม่ในฐานะซย่าหันโม่คนที่เธอเคยรู้จัก
“พูดตามตรงนะ ฉันไม่เคยโทษคุณเลย ฉันเข้าใจว่าคุณทำไปเพราะความรักบังตา ตั้งแต่ที่คุณจัดการกับโจวชิง ความเกลียดชังของฉันก็หายไปหมดแล้ว
“ตอนนี้ฉันได้แต่รอให้คุณตื่นขึ้นมาเพื่อฟังสิ่งที่ฉันพูดกับคุณ ซย่าหันโม่ จู้ซิงมีเดียรอคุณอยู่นะ”
บางทีเธออาจสัมผัสได้ถึงการมาของหลินเฉี่ยน ร่างกายของเธอจึงเริ่มตอบสนอง
หากแต่เธอก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมา
หลินเฉี่ยนเรียกหมอมาดูอาการทันที เธอคิดว่ามันเป็นสัญญาณของอาการที่ดีขึ้นของซย่าหันโม่ ทว่าเธอก็ต้องตกตะลึง…เมื่อในท้ายที่สุดซย่าหันไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
“เธออาจจะทนจนถึงลมหายใจสุดท้ายเพราะต้องการจากไปอย่างสงบก็ได้ครับ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”
เมื่อหลินเฉี่ยนได้ยินเช่นนั้น เธอถึงกับอึ้งไป
ซย่าหันโม่อดทนมาถึงตอนนี้เพราะต้องการให้เธอยกโทษให้หรือ
หากเธอรู้อย่างนั้น เธอคงไม่มาปรากฏตัวที่โรงพยาบาล
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ จริงๆ แล้วเธอก็บาดเจ็บสาหัส จากไปอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการพ้นทุกข์ของเธอแล้วครับ”
“คุณไม่ได้พูดเองเหรอคะว่าอาการของเธอไม่รุนแรงจนถึงชีวิตน่ะค่ะ” หลินเฉี่ยนถามพลางคว้าเสื้อกาวน์ของหมอเอาไว้ “คุณไม่ได้พูดเองเหรอคะว่าเธออาจจะรอดน่ะค่ะ”
“ควบคุมอารมณ์ของคุณเถอะครับ อาการของคนไข้ไม่เคยคงที่และก็มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอด…”
“ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องนี้เลยค่ะ”
ดวงตาของหลินเฉี่ยนแดงก่ำ “หมอคะ ช่วยพยายามรักษาเธอเถอะนะคะ อย่าเพิ่งยอมแพ้กับเธอเลยนะคะ”
“เราทำทุกอย่างสุดความสามารถแล้วครับ” หมอหนุ่มผละตัวออกจากมือของหลินเฉี่ยนก่อนตบบ่าเธอ “เธออาจไปสู่สุคติแล้วล่ะครับ”
หลินเฉี่ยนนึกไม่ถึงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าซย่าหันโม่ ความจริงแล้วเธอแทบเป็นคนที่ส่งเธอจากไปด้วยมือของตัวเอง
“หันโม่…”
ถังหนิงยังไม่รู้ข่าวนี้ อย่างไรก็ตามสื่อได้ให้ความสนใจกับเรื่องของซย่าหันโม่ ดังนั้นการจากไปของเธอจึงสร้างความแตกตื่นขึ้น
หลินเฉี่ยนเดินกลับมาที่ห้องของถังหนิงอย่างอ่อนแรง เมื่อเธอมองหน้าถังหนิง หยดน้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน
“มีอะไรเหรอ”
“หันโม่…ไม่รอดแล้ว” หลินเฉี่ยนเอ่ยท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้อย่างพยายามพูดให้ฟังรู้เรื่องที่สุด
ถังหนิงได้ยินดังนั้น ก็นิ่งงันไป
“ที่บอกว่าไม่รอดหมายความว่ายังไงกัน”
หลินเฉี่ยนก้มหน้าและไม่ได้ปริปากออกมาอีก ทว่าเสียงร้องไห้ของเธอได้เป็นคำตอบของทุกอย่างแล้ว
ถังหนิงพยายามลุกออกจากเตียงทันที หากแต่โม่ถิงรีบเข้ามาช้อนตัวเธอไว้ในอ้อมแขน ก่อนอุ้มไปที่ห้องของซย่าหันโม่
ร่างซย่าหันโม่นอนอยู่ภายใต้ผ้าดิบสีขาว
“มันเกิดขึ้นได้ยังไงน่ะ
“ประธานฟ่านถูกจับแล้วคนเลวพวกนั้นก็ตกหลุมพรางของพวกเรา ทำไมเธอถึงไม่รอดกันล่ะ…
“…ซย่าหันโม่”
น้ำเสียงถังหนิงแผ่วเบา เบาจนเธอแทบไม่ได้ยินเสียงของตัวเองด้วยซ้ำ ก่อนที่เธอจะหมดสติในอ้อมแขนของโม่ถิงในจังหวะถัดมา
โม่ถิงหันขวับไปสั่งหลินเฉี่ยนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เรียกหมอที”
หลินเฉี่ยนทำตามคำสั่งทันทีและไปเรียกหมอ อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยของหมอกลับออกมาว่า “ปล่อยไปอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าเด็กยังอยู่ในท้องแม่ต่อไป จะเป็นอันตรายกับทั้งแม่และเด็ก เราต้องให้เด็กออกมาก่อนกำหนดและผ่าคลอดเป็นการฉุกเฉิน”
โม่ถิงโทรหาถังอี้เฉินทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “หนิงแย่แล้ว พาลู่กวงหลีมาที่นี่ เดี๋ยวนี้!”
ทันใดที่ถังอี้เฉินทราบเรื่อง เธอพลันรู้ว่าต้องเป็นเรื่องด่วนก่อนรีบวางสายและไปหาลู่กวงหลี
ในขณะเดียวกันโม่ถิงพยายามห้ามหมอไม่ให้ผ่าคลอด
“ประธานโม่ครับ ถ้าคุณรั้งให้ช้าไปกว่านี้ เด็กอาจจะไม่รอดและแม่ก็อาจจะบาดเจ็บระหว่างการรักษานะครับ”
โม่ถิงสับสนวุ่นวายอยู่ในใจ แต่เขาเชื่อมั่นในตัวถังหนิงและเชื่อใจตัวเองด้วย
“ใครหน้าไหนก็แตะต้องภรรยาของผมไม่ได้ทั้งนั้นถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากผม”
“ทำแบบนี้คุณกำลังทำร้ายภรรยาของตัวเองอยู่นะครับ”
การเกลี้ยกล่อมของหมอไม่ได้ผมเมื่อโม่ถิงไม่ยอมรับฟัง เขาต้องเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง
เขาเชื่อว่าถังหนิงไม่ได้ต้องการสิ่งนี้และเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองว่าการรอถังอี้เฉินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เวลากระชั้นชิดเข้ามากขึ้นเรื่อยๆ
หลินเฉี่ยนนึกหวั่นในใจ เธอต้องการถามโม่ถิงด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงไม่ตัดสินใจเสียที
หากแต่เธอรู้ว่าโม่ถิงรักถังหนิงมากกว่าสิ่งใด เขาไม่เคยทนเห็นภรรยาของตัวเองเจ็บปวดได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็เบาใจลงได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ถังอี้เฉินมาถึงโรงพยาบาลพร้อมลู่กวงหลี เมื่อพวกเขาเห็นหน้าโม่ถิง ถังอี้เฉินออกปากถามทันที “อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“เธออยู่ด้านใน” โม่ถิงผลักประตูเข้าไปและให้ถังอี้เฉินเข้ามาในห้อง
ถังอี้เฉินลากตัวลู่กวงหลีเข้ามาและบังคับให้เขาตรวจดูท้องของถังหนิงอย่างละเอียด
หลังจากตรวจเสร็จ หมอทั้งสองคนก็มองหน้ากันและกันก่อนเดินออกมาจากห้อง จากนั้นจึงบอกกับโม่ถิง “อาการของเธอตอนนี้เป็นอันตรายจริงๆ แต่การผ่าคลอดไม่ใช่ทางเลือกเดียวหรอก ย้ายตัวเธอออกจากที่นี่ซะ แล้วฉันรับรองว่าเธอจะคลอดตามกำหนดปกติได้”
“คุณมั่นใจเหรอ”
“หมอที่ตรวจเธออยู่ที่ไหนกันล่ะ ฉันต้องไปสั่งสอนเขาก่อนที่จะให้คำตอบกับคุณ” ถังอี้เฉินโวยลั่น