เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง ใคร่ครวญแล้วบอกว่า “คนที่พวกเจ้าเอ่ยถึงนี้คือผู้ใด? หรือว่าเป็นกองโจรหนึ่งในเขาเหมิงซาน?” นางรู้สึกสงสัยในใจ …ก่อนหน้านี้มิใช่เคยได้ยินว่า กองโจรเขาเหมิงซานเป็นกองโจรอันดับหนึ่งในเขาเหมิงซานแล้วหรือ? เหตุใดจึงพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดมาหลายครา? ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลสูงศักดิ์ …หรือว่าในหกตระกูลสูงศักดิ์มีบ้านใดที่หมายตากองโจรเขาเหมิงซานเอาไว้? และทำเพื่อสิ่งใด…?
นางกำลังคิด ก็ได้ยินมู่ชุนเหมียนกล่าวว่า “คนผู้นั้นนามว่าโม่ปินอวี่…”
“โม่ปินอวี่!” ไม่เพียงแค่เว่ยฉางอิ๋งเท่านั้นที่ร้องออกมาเบาๆ แม้แต่จูเสียนและจูเสวียนก็ยังหันมามองหน้ากันอย่างตกตะลึง แล้วพูดพร้อมกันว่า “เป็นเขาได้อย่างไร?”
แม้ว่าจูเสียนและจูเสวียนจะไม่รู้ว่าผู้ที่มีความชอบในชัยชนะครั้งใหญ่ของเฟิ่งโจวที่แท้แล้วก็คือโม่ปินอวี่ แต่ก็รู้ว่าคนผู้นี้เป็นนักโทษที่หนีมาจากเฟิ่งโจว ทั้งยังเคยทำให้เว่ยฮ่วนต้องเป็นกังวลด้วย …สาวใช้ทั้งสองคนล้วนคิดในใจว่าคนผู้นั้นกลับหนีมาเป็นโจรในเขาเหมิงซานแล้วรึ? มิน่าเล่าตระกูลเว่ยของเราออกมาตามจับเขาหลายคราก็ล้วนหาเขาไม่พบ
ทว่า เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้ว่าเดิมทีโม่ปินอวี่เป็นผู้มีความสามารถที่แม่เฒ่าซ่งหมายตาไว้ให้แก่เว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นน้องชายร่วมท้องของตน เพียงแต่ช่วงเวลาในครานั้นก็ช่างบังเอิญนัก จิ่งเฉิงโหวชิงนำเรื่องชัยชนะครั้งใหญ่ของเฟิ่งโจวรายงานขึ้นไปก่อน และขอพระราชทานพระราชโองการปูนบำเหน็จมาจากฮ่องเต้ จนทำให้ความชอบของซ่งหานและซ่งตวนสองพ่อลูกกลายมาเป็นเรื่องจริง ส่วนในขณะนั้นรุ่ยอวี่ถังก็กำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ เว่ยฮ่วนเองก็ไม่คิดว่าโม่ปินอวี่จะคุ้มค่าพอให้ตนออกหน้าไปยืนยันให้เขา …หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องที่สองพี่น้องถูกลอบสังหารที่นอกตัวเมืองเฟิ่งโจวอีก ทำให้เว่ยซินหย่งซึ่งพอดีว่ากำลังเดินทางไปอำเภอเฉาอวิ๋นและตั้งใจเดินทางผ่านเฟิ่งโจวเพื่อมาพบหน้าและสนทนากับเว่ยฮ่วนสบโอกาส และบีบให้เว่ยฉางอิ๋งไปพบกับเขาแทนน้องชายในหุบเขา กลับเป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ ฉวยโอกาสที่ตระกูลเว่ยออกไปตามหาเว่ยฉางอิ๋งทุกทิศทาง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ควบคุมดูแลโม่ปินอวี่อย่างรัดกุม แล้วส่งคนสนิทรีบเดินทางมาหลอกให้โม่ปินอวี่หนีไป…
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเสียดายกับเรื่องนี้อย่างมากมาโดยตลอด …นั่นเพราะความสามารถที่โม่ปินอวี่แสดงออกมาในชัยชนะครั้งใหญ่ที่เฟิ่งโจวก็ควรค่าให้ทาบทามมาอยู่ด้วยจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเว่ยก็ยังขาดผู้มีความสามารถดังนี้อยู่
โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังเสิ่นจั้งเฟิงคาดคะเนว่าบ้านเมืองกำลังจะเกิดความวุ่นวาย เว่ยฉางอิ๋งจึงเสียดายแทนน้องชายเป็นอย่างยิ่งที่สูญเสียคนเช่นนี้ไป นั่นเพราะแม้ ตระกูลเว่ยจะมีทหารของตนเอง ทั้งยังมีองครักษ์ลับ ทว่ากลับไม่มีผู้นำที่เก่งกาจซึ่งสามารถตัดสินใจเรื่องใดได้ ว่ากันว่าทหารนับพันหาง่ายนายทัพผู้เดียวยากจะขอ …เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกเป็นห่วงแทนบ้านฝั่งมารดาของตนจริงๆ
เพียงแต่ยามนี้มิใช่เวลาที่จะมาเป็นกังวลในเรื่องนี้ นางตั้งสติกลับมาที่เรื่องสำคัญตรงหน้า…
หลังจากโม่ปินอวี่ถูกเว่ยซินหย่งพาตัวไปแล้วก็ไม่มีข่าวคราวของเขาอีกเลย จนกระทั่งปีก่อนที่เว่ยซินหย่งจากจือเปิ่นถังและมาเป็นบุตรบุญธรรมในรุ่ยอวี่ถัง หลังจากเดินทางมาที่เมืองหลวงและพบกับเว่ยฉางอิ๋งครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนั้นด้วยอาหลานทั้งสองคนเอาแต่ขัดแข้งขัดขากัน เว่ยฉางอิ๋งจึงมิได้เอ่ยถามถึงโม่ปินอวี่
แต่กลับไม่คิดว่าจะมาได้ยินเรื่องของเขาจากมู่ชุนเหมียน!
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าไม่ใคร่ดี เอ่ยถามเสียงหนักไปว่า “คนผู้นี้ยามนี้เป็นเช่นใด? บอกกับข้ามาให้ละเอียดซิ!”
แม้เสียงร้องตกใจของนางเมื่อครู่นี้จะเบา และเสียงตื่นตะลึงของจูเสียนและจูเสวียนก็ไม่ดังนัก ทว่าในโถงยามนี้เงียบสงัด มู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งจึงต่างได้ยินอย่างชัดเจน และประหลาดใจยิ่งนักว่าโม่ปินอวี่ที่จนยามนี้ก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียงอันใด แต่กลับเป็นคนที่สตรีสูงศักดิ์เช่นเว่ยฉางอิ๋งรู้จัก เมื่อตั้งสติได้มู่ชุนเหมียนก็บอกว่า “คนผู้นี้มาจากเขาเหมิงซานใต้ ยังมิได้สร้างชื่อเสียงอันใด แต่เป็นเพราะเขาดูแลควบคุมคนของตนอย่างเข้มงวด พวกเราจะเรียกขนานพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่ากองทหารสกุลโม่ เขาเดินทางตามทางเดินเล็กๆ บนเขาเหมิงซานขึ้นมาทางเหนือ กองโจรที่อยู่ระหว่างทาง ไม่มีกองโจรใดที่ไม่ถูกเขากวาดล้าง ไม่ปิดบังฮูหยินน้อย เดิมทีกองโจรเขาเหมิงซานได้ชื่อว่าเป็นกองโจรใหญ่อันดับหนึ่งของเขาเหมิงซาน ทว่าในเวลานี้กองทหารสกุลโม่ …ก่อนหน้านี้ข้าน้อยบอกว่าโม่ปินอวี่ยังคงไม่มีชื่อเสียง แต่ก็เป็นเพียงแค่ชั่วขณะเท่านั้น อีกไม่นานเกรงว่าชื่อเสียงของคนผู้นี้ก็จะเป็นที่รู้จักไปทั่วหล้าแล้ว!”
มู่ชุนเหมียนยิ้มเจื่อนคราวหนึ่ง บอกว่า “หากมิได้เป็นดังนี้ พี่ชายข้าที่มีคดีหนักติดตัว บิดาข้าก็จะไม่กล้าให้เขามาออกหน้าเช่นกันเจ้าค่ะ…”
หรือว่าการที่กองโจรเขาเหมิงซานเร่งรีบมาขอสวามิภักดิ์กับเสิ่นจั้งเฟิงที่แท้แล้วเป็นเพราะถูกโม่ปินอวี่บีบบังคับมา?
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว คิดในใจว่าตอนสามีบอกว่าคนเหล่านี้จะมาขอขมาก่อนหน้านี้ก็มิได้เอ่ยอย่างละเอียด …แต่พอคิดไปอีกที เว่ยฉางอิ๋งก็จำขึ้นมาได้ว่าตอนที่ไล่ต้าหย่งผู้นี้มาหาครั้งแรกก็เสนอว่าจะยกมู่ชุนเหมียนให้เป็นอนุของเสิ่นจั้งเฟิง แต่กลับถูกเสิ่นจั้งเฟิงปฏิเสธไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ให้พวกเขาทั้งหมดกลับไปทั้งเช่นนั้นด้วย
ภายหลังไล่ต้าหย่งรออยู่สองวันไม่เห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะเปลี่ยนใจ จึงทำได้เพียงต้องอ่อนข้อให้ แต่ครานี้เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่ได้พบเขา …คิดว่าก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่เอาแต่ห่วงจะเสนอน้องสาวของเขามาเป็นอนุ แต่กลับลืมธุระสำคัญไปเสียแล้ว เดิมทีเขานึกว่าเมื่อมาขอพบอีกครั้งก็จะเอ่ยเรื่องนี้ได้อีก แต่ปรากฏว่าเสิ่นจั้งเฟิงรำคาญว่าตอนแรกที่เขามาขอพบก็เอาแต่พูดเรื่องขอมาสวามิภักดิ์ แต่พอได้พบกันกลับมีเงื่อนไขว่าจะเพิ่มคนในเรือนหลังของตนขึ้นมาอีก ครั้งที่สองจึงไม่พบเขาไปเสียเลย เพียงแต่ให้ เสิ่นหยิวเจี่ยและเสิ่นตงไหลไปเป็นธุระจัดการให้
ทว่ายามนี้ เหตุที่สองพี่น้องนี้พูดมาตั้งมากมาย ก็เกรงว่าเพราะต้องการจะบอกเป็นนัยๆ ว่าความจริงแล้วทางพวกเขายังมีความลับอีกมากมายที่จะบอกกล่าว…
ทว่าลำพังแค่เรื่องของโม่ปินอวี่ เว่ยฉางอิ๋งก็ต้องเอาเรื่องที่จะวางท่าให้หนักๆ พักวางไว้ข้างๆ ก่อน …โม่ปินอวี่ผู้นี้เดิมทีก็เป็นนายทัพเปี่ยมความสามารถ และยังไปเป็นพวกเดียวกับเว่ยซินหย่งเสียอีก!
ตามความเข้าใจของเว่ยฉางอิ๋งที่มีต่อเว่ยซินหย่ง คนที่มู่ชุนเหมียนบอกว่าอยู่เบื้องหลังของโม่ปินอวี่ มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าก็คือ เว่ยซินหย่งนี่เอง!
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะตนถูกเว่ยซินหย่งจัดการหนแล้วก็หนเล่าที่นอกตัวเมืองเฟิ่งโจว ซึ่งแม้จะมีท่านย่าคอยชี้แนะแต่ก็ต้องผ่านไปปีสองปีจึงเพิ่งจะรู้ตัวขึ้นมา และจากนั้นก็กลายเป็นความเคยชินหรือไม่ว่า ไม่ว่าเรื่องใดที่มีเว่ยซินหย่งมาเกี่ยวข้องด้วย สัญชาตญาณของเว่ยฉางอิ๋งล้วนบอกให้นางเตรียมระวังตัวเอาไว้!
แม้นางจะรู้เรื่องบุ๋นเพียงครึ่งๆ กลางๆ ทว่าตระกูลเว่ยเลื่องลือด้านบุ๋นมาหลายร้อยปี อย่างไรก็ยังพอจะมีความรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของใต้หล้าโดยกว้างๆ อยู่บ้าง นางรู้ว่าเขาเหมิงซานซึ่งอยู่ในด่านต้าฉินในเขตเมืองกว้านโจวแบ่งออกเป็นเขาเหมิงซานเหนือใต้ บอกว่าเป็นเหนือใต้ แต่ความจริงแล้วแนวเขาเหมิงซานทั้งหมดนั้นกลับทอดตัวในแนวเอียงจากทิศอาคเนย์[1]ไปทางทิศพายัพ[2] ….เขาเหมิงซานเหนือในส่วนทิศพายัพนี้ พาดผ่านทิศเหนือของฉินโจว หลานโจว และกว้านโจวในแนวนอนแล้วค่อยยื่นเข้ามาในซีเหลียง
เทือกเขาที่เข้ามาถึงซีเหลียง ก็คือส่วนของเขาซวงชุ่ยที่เป็นที่ตั้งของยอดเขาเตี๋ยชุ่ย
ส่วนเขาเหมิงซานใต้นั้นก็ทอดตัวจากทางใต้ของฉินโจวมาทางทิศอาคเนย์ ผ่านอวิ๋นโจว หูโจว ชิงโจว จนมาสิ้นสุดที่หลิงหนาน
ซึ่งอำเภอเฉาอวิ๋นนี้ก็อยู่ในเขตของเมืองชิงโจวพอดี
เว่ยฉางอิ๋งพอจำได้ลางๆ ว่าอำเภอเฉาอวิ๋นนี้เป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองของตัวเมือง ซึ่งห่างจากเขาเหมิงซานไม่ไกล
มู่ชุนเหมียนบอกว่าโม่ปินอวี่มาจากทิศใต้ขึ้นเหนือตามเขาเหมิงซานมา …เว่ยซินหย่งคิดจะทำการใดกันแน่?!
แม้กองโจรเขาเหมิงซานจะได้ชื่อว่าเป็นกองโจรใหญ่อันดับของของเขาเหมิงซาน แต่เขตอิทธิพลของเขากลับอยู่แต่ในเขตของกว้านโจว ซึ่งกว้านโจวก็เป็นเมืองข้างเคียงของซีเหลียงแล้ว!
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจเป็นร้อยรอบ กล่าวว่า “โม่ปินอวี่ผู้นี้ ข้ารู้จักมาก่อน เป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง ในเมื่อพวกเจ้าคาดเดาออกมาได้ว่าเบื้องหลังเขาจะต้องมี ตระกูลสูงศักดิ์คอยหนุนหลังอยู่ แล้วเหตุใดไม่ไปสวามิภักดิ์กับเขา แต่กลับเร่งเดินทางจนฝุ่นคลุ้งมาที่ซีเหลียง?”
มู่ชุนเหมียนยังไม่ทันตอบ ไล่ต้าหย่งกลับชิงเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันออกมาก่อนว่า “เพียงเพราะเจ้าหมอนั่นมิใช่คนดีอันใด! เมื่อเทียบกับเขาและผู้ที่หนุนหลังเขาอยู่แล้ว ข้าน้อยกลับเชื่อถือตระกูลเสิ่นมากกว่า!”
__________________________________
[1] ทิศอาคเนย์ คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้
[2] ทิศพายัพ คือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ