เมื่ออีกสองวันมาถึง ปรากฏว่ามู่ชุนเหมียนก็พาไล่ต้าหย่งมาขอพบนางที่หมิงเพ่ยถังจริงๆ
เว่ยฉางอิ๋งจงใจวางท่าให้พวกเขารออยู่ครึ่งค่อนชั่วยามจึงอนุญาตให้พวกเขาเข้ามา
รอจนทั้งสองคนเข้ามาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็กวาดสายตาไปคราวหนึ่ง เห็นว่าเนื้อตัวของมู่ชุนเหมียนมีแต่ฝุ่น คล้ายว่าคงไม่มีเวลาไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ที่คฤหาสน์จี้หยวน หากแต่พาไล่ต้าหย่งตรงมาพบตนในทันที จากนั้นก็มองไปยังไล่ต้าหย่ง …นี่เป็นคราแรกที่เว่ยฉางอิ๋งได้พบกับพ่อค้าเกลือเถื่อนที่มีชื่อเสียงมากมายที่ภายนอกผู้นี้ เมื่อมองไปจากช่องว่างของฉากกันลม คนผู้นี้ก็เหมือนกับในเสียงร่ำลือว่ามีร่างกายกำยำนัก ผิวคล้ำ บนใบหน้ายังมีรอยแผลเป็นยาวสองชุ่นกว้างครึ่งชุ่นรอยหนึ่ง เหมือนตะขาบตัวหนึ่งพาดอยู่บนโหนกแก้ม มองไปแล้วดูดุดันข่ากลัวนัก
ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หากบอกว่าเขาไม่ใช่โจรก็จะไม่มีใครเชื่อนี้ แต่กลับสวมชุดพ่อค้าที่ดูภูมิฐานมีสง่าราศี ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่เข้ากันยิ่งนัก
เพียงแต่ไล่ต้าหย่งที่แม้มองไปดูดุร้ายเสียเหลือเกิน เวลานี้กลับมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า เป็นทีประจบเช่นนั้น …สิ่งที่ทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสนใจก็คือ ท่าทีประจบนี้ไม่ใคร่เหมือนว่าจะทำกับตน กลับคล้ายว่าจะทำกับมู่ชุนเหมียนต่างหาก
เมื่อคิดถึงคำที่เฉายาเรียกขานไล่ต้าหย่ง เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่าน่าสนใจ นั่นเพราะ ดูไปแล้วไล่ต้าหย่งอายุราวสามสิบกว่าปี ซึ่งเกือบจะถึงช่วงวัยของจี้กู่แล้ว…
นางไม่เอ่ยคำใด ปล่อยให้มู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งที่นั่งอยู่ในที่นั่งรองคำนับตน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงให้ลุกขึ้น จนทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่ขัดเขินยิ่งนัก
ชาหนึ่งถ้วย ชาสองถ้วย …เว่ยฉางอิ๋งกำลังดื่มชาจอกที่สามไปประหนึ่งมีเวลาว่างนักหนา และใจเย็นเสียเหลือเกิน ของว่างที่วางไว้ข้างๆ มือก็เปลี่ยนไปหลายรอบแล้ว มู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งที่อยู่ในตำแหน่งที่นั่งรองก็ยังคงอยู่ในท่าคารวะอยู่ และบนหน้าผากก็เริ่มมีเหงื่อไหลออกมาให้เห็น
เพียงแต่เมื่อแอบมองเหลือบตาขึ้นมามอง กลับเห็นว่าหลังฉากกันลมบางๆ ที่นำมาตั้งเอาไว้เพราะมีไล่ต้าหย่งซึ่งเป็นชายที่มาจากข้างนอกเข้ามาพบ เมื่อมองจากภาพที่เห็นเป็นเค้าโครงนั้นก็รู้ว่าสตรีสูงศักดิ์ในชุดหรูหราและมีเครื่องประดับครบครันดูเหมือนว่ากำลังก้มหน้า คล้ายว่ากำลังมองดูแมวฮวาหลีที่มาหมอบอยู่ที่ชายกระโปรงของตน หัวเราะน้อยๆ พลางสอบถามบ่าวซ้ายขวาว่า “เหตุใดมันจึงวิ่งมาที่นี่? สืออวี๋ก็ไม่ดูมันไว้ให้ดี?”
สาวใช้ตัวน้อยในชุดสีสันสดใสเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เรียนฮูหยินน้อย ข้าน้อยคอยดูแลเสี่ยวฮวาอยู่ตลอดนะเจ้าคะ เพียงแต่เสี่ยวฮวาชอบวิ่งมาเล่นที่นี่ …คราก่อนข้าน้อยเห็นมันปีนป่ายอยู่ในพุ่มดอกไม้ก็อยากจะอุ้มมันออกไป จนเกือบจะถูกมันข่วนเอาเชียวเจ้าค่ะ!”
“หรือว่าคราก่อนข้าเอาปลาดองให้มันตัวหนึ่ง จึงทำให้มันจำรสชาติไม่ลืมเสียแล้ว?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะ แล้วเอื้อมมือไปทางแมวหลีฮวาตัวนั้น แมวตัวนั้นก็ปีนขึ้นมาบนตักนางอย่างรู้ความ เอาหัวถูไปมาบนฝ่ามือนางหนแล้วหนเล่า พลางส่งเสียงร้องอ่อนโยน
“เสี่ยวฮวาชอบฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ…”
นายบ่าวหัวร่อต่อกระซิกกัน ราวกับว่าไม่มีมู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งสองคนนี้อยู่เช่นนั้น
เมื่อเห็นดังนี้ มู่ชุนเหมียนจึงขบริมฝีปาก แต่กลับยังอดทนเอาไว้
แต่ไล่ต้าหย่งเป็นโจรทมิฬมานาน อารมณ์ร้อน เมื่ออดทนมานานเพียงนี้ ตอนนี้กลับทนไม่ไหวแล้ว พลันหยัดตัวขึ้น แล้วร้องไปเสียงดังว่า “ครั้งลูกพี่ อื่ม… ข้าน้อยมาคารวะคุณชายเสิ่นสามเมื่อวันก่อน มีเรื่องล่วงเกิน วันนี้จึงตั้งใจมาขอขมาฮูหยินน้อย! หากฮูหยินน้อยยังคงขัดเคืองในใจ จะให้ตีให้ฆ่า ข้าน้อยล้วนไม่ปฏิเสธ! แต่ฮูหยินน้อยให้ ข้าน้อยรออยู่นานเช่นนี้ กลับหมายความว่าอย่างไร?”
เจ้าหมอนี่จู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา และเป็นเพราะเว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงอยากจะได้กองโจรเขาเหมิงซาน จึงไม่ต้องการทำให้เรื่องใหญ่โตและแข็งกร้าวเกินไป จึงใช้โอกาสนี้เอาแมวฮวาหลีที่ชื่อว่าเสี่ยวฮวาให้ให้สืออวี่ไป แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “คำกล่าวของท่านหัวหน้าไล่นี้แปลกนัก ข้าเป็นสตรีผู้หนึ่ง ครานี้ยังเพิ่งได้พบท่านหัวหน้าเป็นคราแรก ทั้งยังมิได้มีความแค้นเคืองอันใดกับท่านหัวหน้า แล้วไยต้องมาระบายอารมณ์ใส่ท่านหัวหน้าด้วยเล่า?”
“ข้าน้อยเสนอให้น้องสาวของข้าน้อยมาเป็น…” ไล่ต้าหย่งเอ่ยไปครึ่งหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งก็มองเห็นจากช่องว่างของฉากกันลมอย่างชัดเจนว่ามู่ชุนเหมียนหันหน้าไป แล้วถลึงตาใส่เขาหนหนึ่ง และสายตานี้ทำให้โจรเหี้ยมผู้นั้นเงียบเสียงลงทันใด อ้ำอึ้งอยู่สักพัก จึงเอ่ยอย่างขัดๆ เขินๆ ว่า “สรุปก็คือ ข้าน้อยผิดไปแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “แม้ว่าท่านหัวหน้าไล่ทำความผิด แล้วเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร?”
“…ข้าน้อยล่วงเกินฮูหยินน้อย”
“ข้าไม่เคยพบท่านหัวหน้ามาก่อน ท่านหัวหน้าจะล่วงเกินข้าได้อย่างไร?”
จากนั้นก็ยึดยื้อกันไปมาด้วยคำพูดนี้อยู่เนิ่นนาน ไล่ต้าหย่งกลัดกลุ้มจนแทบกระอักเลือด แอบคิดว่าการพูดจากับพวกสตรีสูงศักดิ์ในตระกูลใหญ่โตที่เป็นผู้ดีตีนแดงนี้มันเหนื่อยนัก เขาจึงหลับตาลง กล่าวว่า “เรื่องที่เสนอไปวันก่อนล้วนเป็นข้าน้อยคิดการเพียงผู้เดียว หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับน้องสาวบุญธรรมของข้าน้อยไม่ ฮูหยินน้อย…”
“น้องสาวบุญธรรม? น้องสาวของท่านคือผู้ใด?” เว่ยฉางอิ๋งขัดคำเขา “คงมิใช่ท่านหัวหน้าป้อมมู่กระมัง?”
ไม่คิดว่าไล่ต้าหย่งกลับพยักหน้าจริงๆ “บิดามารดาของข้าน้อยเสียไปนานแล้ว ข้าเคยได้รับการช่วยเหลือจากท่านพ่อบุญธรรมครั้งอยู่บนเขา จึงได้มีวาสนามาเป็นพ่อลูกกันขอรับ ชุนเหมี่ยนก็คือน้องสาวบุญธรรมของข้าน้อย”
ข้างหลังฉากกันลม เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วน้อยๆ คิดในใจว่าวันก่อนเสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่ได้สอบถามให้ละเอียด หรือว่าไม่ได้ถาม หรือว่าถามแล้วแต่ไม่ได้มาบอกตน? ก่อนหน้านี้ไล่ต้าหย่งผู้นี้ล้วนไหว้วานให้จี้กู่ส่งจดหมายมาให้ ก็นึกแต่ว่ากองโจรเขาเหมิงซานมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับป้อมตระกูลเฉา ยามนี้ดูไปแล้วกลับเป็นตัวเขาเองที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับจี้กู่ต่างหาก
จี้กู่ที่เดิมทีเป็นเพียงคนนอก ไม่เพียงก่อร่างสร้างตัวในป้อมตระกูลเฉาประหนึ่งนกพิราบครอบครองรังนกกางเขน กระทั้งทำให้บุตรสาวและหลานสาวของตนได้ครองตำแหน่งหัวหน้าป้อมและหัวหน้าป้อมน้อย ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นจั้งเฟิงหรือว่าเว่ยฉางอิ๋งล้วนคาดเดาว่าเป็นเพราะเขามีชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมเหนือคน ทั้งยังมีฝีมือแพทย์ล้ำเลิศ ยามนี้เพิ่งจะรู้ว่าโชคของจี้กู่ก็ไม่เลวด้วย …นั่นเพราะเขาเคยช่วยชีวิตคนอยู่บนเขา และยังกลับช่วยคนที่กลายมาเป็นหัวหน้าของกองโจรอันดับหนึ่งแห่งเขาเหมิงซานอีกด้วย
เมื่อมีแรงหนุนที่แข็งแกร่งเพียงนี้ แล้วไยต้องกังวลว่าจะควบคุมป้อมตระกูลเฉาที่เป็นเพียงที่อยู่อาศัยของพวกผู้อพยพเท่านั้น?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา จึงบอกว่า “ที่แท้ท่านก็เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อาวุโสจี้? เกินคาดจริงๆ”
ไล่ต้าหย่งและมู่ชุนเหมียนที่อยู่ข้างล่างรออยู่เนิ่นนาน กลับไม่เห็นว่านางจะพูดสิ่งใดอีก พลันรู้สึกว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยากยิ่งนัก มู่ชุนเหมียนจึงออกมาอธิบายว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ วันก่อนพี่ชายข้าถูกคนยุยงจึงเสนอเรื่องที่ให้คุณชายสามรับอนุ ความจริงแล้วกลับเป็นเพราะมีสาเหตุอื่น เรื่องนี้มิกล้าปิดบังฮูหยินน้อย…”
เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ จิบน้ำชาอึกหนึ่ง จึงเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “สาเหตุ? เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด คิดว่าก็คงเป็นเรื่องหลวง แล้วจะเกี่ยวกับข้าซึ่งเป็นสตรีผู้หนึ่งในเรือนหลังได้อย่างไร? คำพูดเหล่านี้พวกท่านควรจะไปบอกกับท่านพี่ของข้าจึงจะถูก มาบอกกับข้า ก็มิเท่ากับว่าดีดฉินให้วัวฟังหรอกรึ?”
มู่ชุนเหมียนยิ้มสู้ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยท่านมิทราบ เรื่องนี้เป็นเรื่องหลวงครึ่งหนึ่งเรื่องส่วนตัวครึ่งหนึ่ง …ข้าน้อยพูดจาเงอะงะนัก ไม่ทราบว่าควรพูดเช่นใดจึงจะดี? สรุปก็คือคนที่จู่ๆ ก็เขียนจดหมายมาหาพี่ชายข้าผู้นั้น แม้ตัวเขาเองจะมิได้มีชื่อเสียงอันใด แต่เบื้องหลังคล้ายมีผู้มีอิทธิพล เพียงแต่พี่ชายข้าไม่ยอมไปสวามิภักดิ์กับพวกเขา ตลอดมาจึงไม่รู้สักทีว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นผู้ใด ทว่าตามที่บิดาข้าคาดเดา คิดว่าน่าจะเป็นคนในหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล …โดยเฉพาะผู้ที่มาทาบทามพี่ชายข้านั้นมีความเชี่ยวชาญด้านการใช้ทหาร พี่ชายข้าพ่ายแพ้แก่เขามาหลายครา แต่อีกฝ่ายกลับออมมือและปล่อยมาทุกครั้งไป พี่ชายข้าก็ถูกเขาบีบจนอับจนหนทางแล้ว…”