ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 78 ชุนอิง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใจอ่อนอันใดกัน! เมื่อครู่พอข้าได้ยินเขาว่ามาเช่นนั้น ก็เกือบจะเรียกองครักษ์เข้ามาจับพวกเขาไปยิ่งเป้าให้ตายทั้งหมดแล้ว!”

“หา?” เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง

เสิ่นจั้งเฟิงพูดด้วยโทสะหนักหนาว่า “ครั้งสามียังไม่ได้มาที่ซีเหลียง พวกเราสองสามีภรรยาสนทนาเป็นส่วนตัวกันในห้อง สามียังไม่ทันพูดสิ่งใดเลย อิ๋งเอ๋อร์ก็เอ่ยถึงสตรีที่ในซีเหลียงขึ้นมาเอง และยังเอาปิ่นปลายแหลมมาจ่อที่แผ่นหลังตรงหัวใจของสามีพลางเค้นถามสามีแล้ว! หากมิใช่ว่าสามีฉลาดมีไหวพริบดี จะยังได้มาที่ซีเหลียงหรือ คงถูกอิ๋งเอ๋อร์แทงทะลุหัวใจตายตั้งแต่ที่เมืองหลวงไปแล้ว! ครั้งสองครั้งก่อนก็ยังไม่รู้ชัดแจ้งเลย เพียงแค่มีเสียงเล่าลือเล็กน้อย ซ้ำยังเป็นผู้อื่นให้ร้ายด้วย อิ๋งเอ๋อร์ก็เผยท่าทีจะลงมืออย่างโหดร้ายกับสามีแล้ว! แล้วยามนี้ แม้แต่ตัวเลือกเจ้าพวกเวรนี่ก็ยังจัดออกมาให้สามีแล้ว นี่มิเท่ากับคิดจะบีบสามีให้ตายหรอกรึ!”

เขาพูดอย่างดุเดือด “ยามนี้สามีสงสัยนักว่าที่แท้แล้วพวกเขาอาจเป็นไส้ศึกชาวตี๋! จงใจยืมมืออิ๋งเอ๋อร์มาสังหารสามีให้ตาย!”

เขาพูดอย่างมีเรื่องในใจ “ฉะนั้น อิ๋งเอ๋อร์เจ้าต้องตรวจดูให้แน่ชัด จากการกระทำชั่วร้ายไร้ยางอายของพวกเขานี้ ก็เห็นชัดว่าสามีเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งไร้ความผิดใดๆ อย่าถูกพวกเขาล่อลวงเด็ดขาด แล้วหันกระทำการให้ตนเองเจ็บ แต่ศัตรูกลับชื่นมื่นทีเดียวเชียว!”

เว่ยฉางอิ๋งไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ถลกแขนเสื้อขึ้นมาทันใดแล้วบิดหูเขา หัวเราะครึ่งไม่หัวเราะครึ่งว่า “ข้าลงมืออย่างโหดร้ายกับเจ้า? ข้าโหดร้ายเพียงนั้นรึ?”

“ฟังผิดแล้ว! อิ๋งเอ๋อร์เจ้าต้องฟังผิดแน่แท้แล้ว!” เสิ่นจั้งเฟิงรีบร้องขอชีวิต “สามีบอกว่าอิ๋งเอ๋อร์ถูกข่าวลือล่อลวงจนเกือบจะลงมือสังหารล้างครัวต่างหาก!”

“ข้าถูกข่าวลือล่อล่วง ข้าโง่เง่าเพียงนั้นเชียวรึ?” เว่ยฉางอิ๋งยิ่งบิดแรงกว่าเดิม พลางขึ้นเสียง

เสิ่นจั้งเฟิงยกมือขึ้นขอร้อง ยิ้มพลางว่า “อิ๋งเอ๋อร์ เจ้าฟังผิดอีกแล้ว เอ่อ สามีบอกว่า อิ๋งเอ๋อร์จะไปหลงเชื่อข่าวลือได้อย่างไร? ความจริงแล้ว อิ๋งเอ๋อร์เพียงแค่คิดจะทำก็…”

“ข้าฟังผิดอีกแล้วรึ ข้าแก่นักรึ? แต่พอดีว่าสตรีที่คนเขาคิดจะมอบให้มาเป็นอนุเจ้าในวันนี้ ทั้งอายุน้อยงดงามดังบุปผาดังหยกใช่หรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด!

เสิ่นจั้งเฟิงทำทีสลดร่ำไห้ “สามีถูกใส่ความ…”

ทั้งสองคนต่อล้อต่อเถียงกันพักหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงแสร้งทำเป็นหายโกรธ ปล่อยมือลง ยิ้มแล้วบอกว่า “กำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่มิใช่หรือ! หายังเล่นต่อไป วันพรุ่งก็ยังถามไม่จบ”

เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องจริงจังก็ล้วนพูดไปหมดแล้ว …กองโจรเขาเหมิงซานอยากให้หัวหน้ารองของพวกเขามาเป็นอนุของข้า และถูกข้าปฏิเสธไปแล้ว”

“…แล้วยามนี้เล่า?”

“ยามนี้พวกเขากลับไตร่ตรองดูที่คฤหาสน์จี้หยวนแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “ดีชั่วคนที่ควรต้องร้อนใจก็คือพวกเขา”

เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพัก จู่ๆ ก็หัวเราะพู่ออกมา กล่าวว่า “ก่อนนี้เจ้ายังบอกว่า พวกเขากลัวว่าหากพลาดตำแหน่งคนสนิทในยามที่เจ้ากำจัดภัยจากภายนอกไปแล้วและเริ่มหันมาจัดการเรื่องต่างๆ ในซีเหลียง พอยามนี้คนมาแล้ว ที่แท้กลับเป็นเพราะถูกแม่นางบ้านไล่ยุยงมา ว่ามายามนี้ ชื่อเสียงเกรียงไกรที่เจ้าทำให้ชาวตี๋แตกพ่ายยับเยินไปหลายครา กลับไม่มีประโยชน์เท่าชื่อเสียงว่าเจ้ารูปงามเลย!”

“พูดจาส่งเดช!” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางต่อว่า “แม่นางบ้านไล่อันใดนั่น จะต้องเป็นพวกไล่ต้าหย่งพูดจาส่งเดช สามีจะเป็นคนที่อาศัยหน้าตาเช่นนั้นได้อย่างไร?”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปคำหนึ่งก็มิได้โต้เถียงแล้ว ยิ้มและถามว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่า พวกไล่ต้าหย่งจะทำเช่นใด?”

“สามีก็มิใช่คนทำการค้าหรือว่าจะต้องค่อยพูดค่อยจากับเขา?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มอย่างผ่อนคลาย บอกว่า “หากพวกเขาไม่ยอมตัดขอเรียกร้องที่ไร้สาระนี้ออกไป เช่นนั้นสามีก็จะยัดเยียดข้อหาพวกเขาไปเรื่อยเปื่อยว่าลักลอบเข้ามาก่อการร้ายในซีเหลียง แล้วส่งทหารไปเหยียบกองโจรเขาเหมิงซานให้ราบเป็นหน้ากลองเป็นใช้การได้แล้ว เหตุที่ไม่ไปแตะต้องพวกเขาก่อนหน้านี้ก็เพราะไม่มีข้ออ้าง ยามนี้หัวหน้าของพวกเขาก็อยู่ในซีเหลียง ยังต้องกลัวว่าจะหาเหตุผลไม่อีกหรือ?”

“ว่ามาดังนี้ เจ้าก็จัดการไล่ต้าหย่งได้อยู่หมัดแล้วเช่นนั้น?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างมีความคิดในใจ

เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยว่า “หยิวเจี่ยบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ หากไม่อาจใช้สอยเขาได้ เช่นนั้นก็ต้องกำจัด…” สีหน้าเขาขึงขังขึ้นมาน้อยๆ เอ่ยเสียงต่ำไปว่า “บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ผู้กล้ามารวมตัวกันได้ง่าย กว้านโจวห่างจากซีเหลียงเพียงนี้ อีกทั้งกองโจรเขาเหมิงซานก็ยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับป้อมตระกูลเฉา ข้ากลับไม่อยากให้เหลือภัยใดเอาไว้ภายหลัง! ยามนี้ไล่ต้าหย่งเข้ามาขอสวามิภักดิ์เอง ต่อให้เขาไม่มาเอง ข้าก็จะไม่ปล่อยเขาไป!”

เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า และไม่ไถ่ถามเรื่องนี้อีก

พอถึงวันรุ่งขึ้น นางก็เรียกนางหวงและนางเฮ่อมาหา สอบถามเรื่องของเยียนอวี่ว่าสอบสวนที่มาที่ไปได้แล้วหรือไม่ นางหวงจึงบอกกับนางว่าเป็นลุงของบ่าวที่เกิดในบ้านที่ชื่อว่าชุนอิงเป็นคนทำ ซึ่งก่อนหน้านี้นางถูกคัดเลือกเข้ามาในชุดเดียวกับเยียนอวี่

เพราะชุนอิงผู้นั้นหน้าตาไม่น่ารักเท่าเยียนอวี่ ฉะนั้นแม้ว่าก่อนนี้จะผ่านการทดสอบนานามาได้และได้รับโอกาสพามาตรงหน้าเพื่อให้เว่ยฉางอิ๋งคัดเลือก แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังคงเลือกเยียนอวี่ …ญาติผู้ใหญ่ของชุนอิงผิดหวังหนักหนา ครานี้เมื่อไล่ต้าหย่งมาหาพวกเขาจึงสบโอกาส

ฟังถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “ก่อนนี้ไล่ต้าหย่งคุ้นเคยกับพวกเขาหรือ? เหตุใดจึงทำให้เขาพวกเขามองเห็นโอกาสใดขึ้นมา?”

นางหวงกล่าวว่า “ก่อนนี้ไม่คุ้นเคยกันเจ้าค่ะ เพียงแต่ไล่ต้าหย่งต้องการให้น้องสาวของเขามาเป็นอนุของคุณชายของเรา ฉะนั้นเมื่อมาถึงซีเหลียงแล้ว จึงใช้ทองจำนวนมากไปติดสินบนฉีซาน ให้ฉีซานมาสอบถามเรื่องในเรือนหลังของคุณชายของเรา จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเพราะข้าน้อยเลินเล่อไป เดิมทีนึกว่าฉีซานผู้นั้นเป็นคนดี ปรากฏว่าฉีซานนั่นเป็นคนใจคด ไม่เพียงรับผลประโยชน์จากพวกเขา ยังบอกไปจดหมดเปลือกว่าคุณชายมีใจเดียวต่อฮูหยินน้อยและไม่เคยรับอนุมาก่อนเลย …ฉีซานนั่นก็คือลุงของชุนอิง เมื่อรู้ว่าพวกของไล่ต้าหย่งจะมาพบกับคุณชายทั้งยังต้องการยกน้องสาวของเขาให้เป็นอนุของคุณชายด้วย คิดว่าฮูหยินน้อยเป็นคนขี้หึง เมื่อสาวใช้รู้ว่ามีคนต้องการจะเสนออนุให้คุณชาย ก็จะต้องรีบมารายงานให้ฮูหยินน้อยทราบ และฮูหยินน้อยก็จะต้องมาหาและอาละวาดกับคุณชายในทันที …ดังนี้แล้วแม้แรกเริ่มคุณชายอาจมิได้สนใจแม่นางบ้านไล่ แต่เมื่อถูกฮูหยินน้อยอาละวาดจนเสียหน้าแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะรับปากก็เป็นได้เจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังก็นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน แล้วหันหน้ามามองนางเฮ่อ “วานนี้ท่านอาลงโทษเยียนอวี่ นางบอกว่าอย่างไร?”

“เจ้าเด็กเยียนอวี่นั่นถูกเล่นงานก็ยังไม่รู้ตัวเลยเจ้าค่ะ!” นางเฮ่อบอกว่า “เมื่อถูกทำโทษเสร็จและพยุงตัวขึ้นมา ข้าน้อยถามนาง นางก็ยังไม่เข้าใจ ข้าน้อยเห็นแก่ที่นางอายุยังน้อยไม่รู้ความ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ถูกตีนางก็ยังไม่ได้มีท่าทีแค้นเคืองฮูหยินน้อยเลย จึงได้บอกกับนางไปเสีย แล้วเล่าสาเหตุให้นางฟังอย่างชัดเจน เวลานี้เยียนอวี่ชิงชังชุนอิงแทบตายแล้ว หามิใช่ข้าน้อยร้องห้ามไว้ เจ้าเด็กนั้นก็คิดจะไปหาและสู้ตายกับชุนอิงแล้วเจ้าค่ะ!”

“บอกนางว่าวันหน้ายามพบเจอเรื่องใดต้องคิดให้ดี อย่าให้ผู้อื่นใช้ตนเป็นทวนแล้วยังไม่รู้ตัว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “ในเมื่อตีนางแล้ว ก็ให้นางกลับไปพักรักษาอาการบาดเจ็บที่บ้านสักสองสามวัน รอแผลหายแล้วค่อยกลับมาทำงานเถิด อ้อใช่ หักเบี้ยเดือนนางสามเดือนด้วย!”

นางเฮ่อพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

ฉีซานซึ่งเป็นลุงของชุนอิงจึงมาเล่นงานเยียนอวี่ ทว่าในบรรดาบ่าวที่เกิดในบ้าน ทั้งพ่อและพี่ชายของเยียนอวี่ก็มิใช่คนที่หาเรื่องได้ง่ายๆ เช่นกัน…แต่ลำพังที่ฉีซานใช้เรื่องงานมาแก้แค้นส่วนตัวในครานี้ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่มีทางละเว้นเขาแล้ว เพียงแต่ฉีซานก็มิใช่คนโง่ ในเมื่อเขาวางแผนเล่นงานเยียนอวี่ แล้วจะไม่เตรียมตัวว่าจะถูกจับหรือ? นางหวงและนางเฮ่อใช้เวลาเพียงคืนเดียวก็สืบสวนไปถึงตัวเขาได้แล้ว และมีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าเบื้องหลังคนผู้นี้ยังมีคนร้ายที่แท้จริงอยู่อีก ซึ่งเขาก็จงใจมาเป็นโล่เพื่อปิดบังคนร้ายตัวจริงเอาไว้โดยเฉพาะด้วย

แต่นางหวงและนางเฮ่อล้วนยังไม่พูดสิ่งใดออกมา เห็นชัดว่ายังสืบหาคนร้ายตัวจริงไม่ได้

ยามนี้ให้เยียนอวี่พักและกลับไปฟ้องคนที่บ้านทั้งน้ำตา ให้คนบ้านของเยียนอวี่เกิดความขัดแย้งกับฉีซานขึ้นมาเสียก่อน และนับเป็นการตักเตือนฉีซานหนหนึ่งด้วย ให้เขาคิดดูให้ดีว่าที่แท้แล้วยังอยากจะเป็นโล่กำบังให้ผู้อื่นอีกหรือไม่?

เพียงแต่ทางฉีซานยังไม่ทันได้คิดอย่างชัดแจ้ง เพียงแค่ผ่านไปวันเดียวพวกของ ไล่ต้าหย่งก็กลับให้เฉายาพาเข้ามาขอเข้าพบ บอกว่าพวกเขาคิดชัดเจนดีแล้ว ยอมไม่เอ่ยถึงเรื่องของหัวหน้ารองของพวกเขา เพียงให้เสิ่นจั้งเฟิงยังคงให้สัญญาว่าจะนิรโทษพวกเขาและแก้ปัญหาเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในป้อมตระกูลเฉาสองเรื่องนี้ แล้วเขาจะนำคนเข้ามาสวามิภักดิ์ในทันใด

ความจริงแล้วสำหรับเสิ่นจั้งเฟิงหรือว่าเสิ่นหยิวเจี่ย กลับไม่ใคร่สนใจคนอื่นๆ ในกองโจรเขาเหมิงซานเท่าใด เพราะยามนี้ซีเหลียงกลับมิได้ขาดแคลนทหาร หากแต่ขาดแคลนคนมีความสามารถเช่นไล่ต้าหย่งต่างหาก

แต่ในเมื่อไล่ต้าหย่งเป็นหัวหน้า หากต้องการให้เขามาอย่างสงบ การรับลูกน้องเขาเข้ามาทำงานด้วยสักหน่อยก็เป็นการสมควรแล้ว ดีชั่วคนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกโจรร้าย แต่ไรมามีเพียงทหารที่ใช้การไม่ได้ ไม่เคยมีพวกกองโจรที่ใช้การไม่ได้ นั่นเพราะพวกกองโจรที่ไร้ความสามารถล้วนตายไปในการปราบปรามของทางการหลายครั้งก่อนนานแล้ว

เรื่องนี้ไล่ต้าหย่งยอมผ่อนปรนข้อเรียกร้องนี้เป็นสิ่งที่เสิ่นจั้งเฟิงคาดคิดเอาไว้แล้ว ครั้งนี้เขาจึงไม่ได้ไปพบกับพวกของไล่ต้าหย่ง เพียงแต่ส่งคนไปบอกให้เสิ่นหยิวเจี่ยและเสิ่นตงไหลเป็นคนจัดการ ข้างฝ่ายไล่ต้าหย่งเมื่อได้รับจดหมายของเสิ่นจั้งเฟิง ก็กลับมิได้ออกไปจากซีเหลียงในทันที หากแต่แจ้งให้เสิ่นจั้งเฟิงรู้ว่าเขามีเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยและยังคิดจะอยู่ในซีเหลียงต่ออีกสักหลายวัน

พวกเขาทั้งกลุ่มทั้งหมดก็มีเพียงสิบกว่าคน ต่อให้วางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะพาพวกไส้ศึกเข้ามาแฝงตัวในตัวเมืองซีเหลียง ในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเสิ่นแห่งนี้ แม้แต่ขุนนางที่ถูกส่งมาชั่วคราว ตระกูลเสิ่นก็ยังไม่เกรงกลัวเท่าใดเลย เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงรู้เรื่องแล้ว จึงบอกไปง่ายๆ คำหนึ่งว่ารู้แล้ว ซึ่งนับว่าเป็นการตอบรับแล้ว

และแน่นอนว่าในทางลับเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังกำชับให้คนคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาไว้สักหน่อย

ไม่คิดว่าจากนั้นพวกของไล่ต้าหย่งกลับเพียงไปซื้อหาแพรพรรณและพวกขนม ของกินเล่นทั่วตัวเมืองซีเหลียง คงจะนำกลับไปให้แก่ครอบครัวของพวกเขาในเขาเหมิงซาน จากนั้นก็กลับไปอยู่เป็นเพื่อนจี้กู่ที่คฤหาสน์จี้หยวน และไม่ออกมาจากเรือนอีกเลย

เป็นดังนี้จนผ่านไปหลายวัน ก็มีคนมารายงานกับเสิ่นจั้งเฟิงว่ามู่ชุนเหมียนหัวหน้าป้อมตระกูลเฉากำลังเร่งเดินทางมาที่ตัวเหมืองซีเหลียง

เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงรู้เรื่องก็ไปหาภรรยา แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อีกไม่กี่วันเกรงว่าจะมีคนมาขอขมาเจ้าที่บ้าน จะวางท่าหรือไม่ก็สุดแท้แต่เจ้าแล้ว”

ระหว่างนั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ได้รับจดหมายของซ่งไจ้สุ่ย จึงมาสอบถามกับเสิ่นจั้งเฟิง เขาว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าจางลั่วหนิงมาสะกดรอยตามซ่งไจ้สุ่ยด้วยคิดทำการใดกันแน่ กำลังหารือกับพวกของนางหวงซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทอยู่ทั้งวันว่าจะตอบจดหมายของซ่งไจ้สุ่ยอย่างไร เมื่อได้ยินคำนี้จึงเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ผู้ใด?”

“ถึงยามนั้นเจ้าก็จะรู้เอง” เสิ่นจั้งเฟิงอมพะนำ

เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้คิดช้า แล้วเอ่ยอย่างมีความคิดหนึ่งว่า “ระยะนี้คนที่ล่วงเกินข้า หากมิใช่ทางฉีซาน เช่นนั้นก็คือพวกของไล่ต้าหย่งที่เสนออนุให้เจ้า หากไม่เกินคาดก็คือสองทางนี้”

เสิ่นจั้งเฟิงเห็นว่านางคิดออกแล้ว จึงมิได้ปิดบังอีก ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “มู่ชุนเหมียนคงจะมาถึงในอีกสองวัน นางคงจะนำไล่ต้าหย่งเข้ามาขอขมากับเจ้า”

“ก่อนหน้านี้เฉายาเรียกไล่ต้าหย่งว่าลุง หรือว่าน้องสาวที่ไล่ต้าหย่งเอ่ยถึง หัวหน้ารองของกองโจรเขาเหมิงซานก็คือมู่ชุนเหมียน?” เว่ยฉางอิ๋งกุมขมับ กล่าวว่า “คราก่อนเจ้ามิใช่บอกว่า เมื่อเฉายาผู้นั้นพบเจ้าระหว่างทาง เพียงแค่เห็นเจ้าคราวหนึ่งก็ถูกเจ้าทำเอาตกอกตกใจ …หากยามนั้นนางรู้ว่าแม่ของนางกำลังจะมาเป็นอนุของเจ้า วันหน้าต้องมีชีวิตที่ต้องคอยทำตามเจ้า จึงได้ตกใจไม่น้อย”

“เช่นนั้นก็ควรจะยิ่งกลัวเจ้าจึงจะถูก” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ดีชั่วยามนี้ก็ไม่มีเรื่องใดแล้ว เจ้าก็ลองไปสอบถามดูให้ดีๆ ว่าพวกเขามีปัญหาใดอยู่กันแน่? หยิวเจี่ยเห็นว่าไล่ต้าหย่งผู้นี้มีความสามารถมากมายนัก ข้าดูจากที่เขาทำครานี้ก็กลับค่อนข้างกังขาเสียแล้ว”

เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “ในเมื่อเจ้ากังขาในความสามารถของไล่ต้าหย่งผู้นี้ เช่นนั้นข้าก็จะวางท่าให้หนัก จงใจทำให้เขาตกที่นั่งลำบากจึงจะรู้ได้ว่าที่แท้แล้วเขามีความสามารถ หรือเพียงดีแต่ชื่อ”