เยี่ยหลีมองบุรุษผมขาวที่จับมือนางเดินต่อไปด้านหน้า แล้วก็ให้รู้สึกใจเต้น นางเมื่ออยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยามักจะไม่ค่อยเสแสร้ง หากในตอนแรกจะทำเพื่อทดสอบบางสิ่งบางอย่างแล้ว เช่นนั้นที่ผ่านมาก็คงค่อยๆ กลายเป็นความเคยชิน เคยชินกับการยอมรับประหนึ่งไร้ขอบเขตของม่อซิวเหยา นางแสดงออกหลายอย่างในสิ่งที่เดิมทีเป็นสิ่งที่นางไม่ควรรู้ แต่ม่อซิวเหยากลับไม่เคยตั้งคำถาม ถึงขั้นบางครั้งยังช่วยนางสรุปความอีกด้วย บางที…นางเริ่มเข้าใจแล้วว่า ที่ม่อซิวเหยารู้สึกไม่สบายใจมาตลอดด้วยเพราะเหตุใด
เมื่อเดินอ้อมหุบเขาไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตายังคงเป็นทะเลดอกไม้ที่ดูประหนึ่งไกลสุดลูกหูลูกตา เดินมาก็ตั้งนาน ในที่สุด ณ ปลายสุดของหุบเขา ก็ได้เห็นตำหนักขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
“มีคน” ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีเข้ามากอดไว้ แทรกตัวเข้าไปหลังก้อนหินกองหนึ่ง แล้วไม่นานก็มีเสียงพูดคุยค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาจริงๆ และเสียงนั้นก็เป็นเสียงที่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีคุ้นหูเป็นอย่างดี “ของที่ข้าต้องการ พวกเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง”
น้ำเสียงเรียบเย็นของบุรุษดังลอยมาไม่ไกล ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีหันสบตากัน มองไปทางบุรุษที่เดินมาพร้อมกับสตรีจำนวนหนึ่งที่อยู่ในเครื่องแต่งกายอย่างคนหนานเจียง…ม่อจิ่งหลี
สตรีที่ยืนอยู่ข้างกายม่อจิ่งหลีก็คือองค์หญิงซีสยาที่งดงามตรึงตาตรึงใจ หลายปีนี้ม่อจิ่งหลีดีกับนางมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งทั้งที่นางอายุมากกว่าเยี่ยอิ๋งอยู่หลายปี แต่มองดูแล้วก็ยังคงความงดงามที่อ่อนหวานและมีเสน่ห์ยิ่งนัก
คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามพวกเขา เป็นหญิงชราอายุห้าสิบกว่าปี ในมือถือไม้เท้าที่ดูประหนึ่งเป็นหัวงูที่ดุร้าย นางเอ่ยกลั้วหัวเราะกับม่อจิ่งหลีว่า “หลีอ๋องโปรดวางใจเถิด หมอทุกคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ช่วยกันศึกษามาตั้งหลายปีเช่นนี้ ในที่สุดก็สามารถทำยาวิเศษที่หลีอ๋องต้องการได้แล้ว ข้ารับประกันว่าผลของมันจะต้องดีกว่าที่หลีอ๋องคิดไว้อย่างแน่นอน”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยนิ่งๆ ว่า “เช่นนั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะรอดู หวังว่าผู้อาวุโสคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ผู้อาวุโสท่านนั้นยิ้มด้วยความมั่นใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อร่วมมือกัน พวกเราทั้งสองฝ่ายก็ต้องพอใจทั้งคู่ถึงจะถูก ขอเพียงหลีอ๋องรักษาคำพูดที่ให้ไว้ก็พอ ใครก็ได้ ไปนำคนลองยาออกมา”
ไม่นาน คนที่ร่างกายดูผิดปกติสามสี่คนก็ถูกพาตัวเข้ามา จากมุมที่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีอยู่ มองเห็นไม่ชัดนัก แต่ก็ยังพอมองเห็นว่าชายคนหนึ่งในนั้นรูปร่างและลักษณะเป็นคนจงหยวน แต่ดวงตาของคนผู้นั้นกลับดูเลื่อนลอย หน้าเหลืองตัวซูบผอมประหนึ่งคนไร้เรี่ยวแรง ดูไม่มีสติ มุมปากตกลง เหมือนคนที่ไม่สมประกอบมาตั้งแต่เกิด
แล้วก็ได้ยินผู้อาวุโสท่านนั้นเอ่ยกลั้วกัวเราะว่า “หลีอ๋องเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลของยา พวกเรายังได้หาคนต้าฉู่ของพวกท่านสามสี่คนมาเป็นคนลองยาโดยเฉพาะอีกด้วย”
ม่อจิ่งหลีพิจารณาคนลองยากลุ่มนั้นโดยละเอียด ก็ดูจะเอ่ยถามด้วยความพอใจเป็นอย่างยิ่งว่า “ไม่เลว ให้ยาคนพวกนี้นานเท่าไร”
ผู้อาวุโสยิ้ม “ไม่ถึงหนึ่งเดือน”
ม่อจิ่งหลีจึงยิ้มพอใจขึ้นไปอีก “ดีมาก เรื่องที่พวกเจ้าขอ ข้าเห็นด้วยแล้ว”
ผู้อาวุโสท่านนั้นดูจะพอใจขึ้นกว่าเดิม เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หลีอ๋องช่างตัดสินใจได้รวดเร็วยิ่งนัก ธิดาเทพจะต้องขอบคุณท่านหลีอ๋องเป็นอย่างมากแน่ๆ”
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่างคนต่างได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น เอายามาให้ข้าเถิด ข้ายังต้องรีบไปเมืองหลวงของหนานจ้าว”
ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ไม่รั้งรอ หยิบขวดกระเบื้องเคลือบสองขวดออกมาส่งให้ม่อจิ่งหลีทันที “นี่เป็นยาที่พอสำหรับสามเดือน เพียงพอให้ท่านอ๋องนำไปใช้ กว่าจะสกัดตัวยาออกมาได้นั้นไม่ง่ายเลย หมอในหุบเขาของพวกเราทำกันมาตั้งนานก็สามารถสกัดออกมาได้เพียงเท่านี้”
ม่อจิ่งหลีรับยามา เอ่ยว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสมาก ข้าขอตัวก่อน”
ผู้อาวุโสยิ้ม “ข้าจะให้คนไปส่งหลีอ๋องออกจากหุบเขา”
จนเมื่อม่อจิ่งหลีพาองค์หญิงซีสยาออกไปแล้ว สตรีที่ติดตามอยู่ข้างกายผู้อาวุโสถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ยาที่หลีอ๋องขอจะเอาไปใช้กับผู้ใดหรือเจ้าคะ”
ผู้อาวุโสยิ้มเยาะ “ยังจะใช้กับผู้ใดได้อีก คนจงหยวนพวกนี้ล้วนใจคอโหดร้ายกันทั้งนั้น แม้แต่สายเลือดของตนเองก็ยังไม่เว้น ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้าฉู่กับหลีอ๋องมีความเจ้บแค้นอันใดต่อกันลึกซึ้งนัก เขาถึงได้คิดทรมานพี่ชายตนเองเช่นนี้ สาวๆ อย่างพวกเจ้าก็อย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับคนจงหยวนให้ลึกซึ้งนักล่ะ วันใดหากถูกพวกเขาทำร้ายเข้า จะร้องไห้กันไม่ออก”
สตรีเหล่านั้นต่างพากันหัวเราะคิกคัก “พวกเราไม่กลัวคนจงหยวนพวกนั้นหรอก พวกเราให้งูพิษกัดพวกเขาให้ตายไปก็สิ้นเรื่อง ไม่เช่นนั้นก็เอาอย่างหลีอ๋อง ให้พวกเขากินยาลืมทุกข์ ดูสิพวกเขาจะยังไม่เชื่อฟังอีกหรือไม่”
ผู้อาวุโสอมยิ้มสั่งสอนสตรีเหล่านั้นไป พลางเดินนำพวกนางกลับเข้าไปด้านในตำหนัก
ด้านนอกตำหนัก เสียงพูดคุยค่อยๆ ดังไกลออกไป ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีที่ยืนอยู่หลังกองหิน เลื่อนสายตาไปมองทะเลดอกไม้ที่แสนจะงดงาม “ยาลืมทุกข์? ม่อจิ่งหลีจะเอาไปใช้กับม่อจิ่งฉี?”
เยี่ยหลีเอ่ยถอนใจเสียงเบาว่า “ครานี้ม่อจิ่งหลีลงมือได้โหดเหี้ยมนัก หากม่อจิ่งฉีหลงกลเขาเข้าจริงๆ ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว ท่านลองดูคนพวกนั้นสิ ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน พวกเขาจะต้องยังเป็นคนที่แข็งแรงธรรมดาๆ คนหนึ่งอย่างแน่นอน”
“อาหลีมีแผนอย่างไรหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา
เยี่ยหลีหันมองตำหนักที่โอ่อ่าใหญ่โตตรงหน้า เอ่ยเสียงต่ำว่า “พวกเราเข้าไปดูด้านในกัน”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า อุ้มเยี่ยหลีขึ้นมา ก่อนแตะเท้าลงกับพื้น กระโดดขึ้นไปบนหลังคาตำหนักโดยไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย แม้แต่องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกตำหนักก็มิได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ
ทั้งสองกระโดดลงมาเงียบๆ เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยความข้องใจว่า “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงน่าจะเป็นสถานที่ที่ลึกลับยิ่งนัก เหตุใดตลอดทางที่พวกเราเข้ามา ถึงได้มีการอารักขากันหละหลวมเช่นนี้”
ม่อซิวเหยาคิดเล็กน้อย “สถานที่แห่งนี้ เกรงว่ายอดฝีมือน่าจะออกไปกันหมดแล้ว”
เยี่ยหลีถึงกับใจวูบ “ท่านหมายถือเมืองหนานจ้าวอ๋อง?”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “หากความลับที่ว่าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คือดอกโยวหลัวหมิงแล้ว อันที่จริงมีหรือไม่มีองครักษ์ยอดฝีมือก็มิได้มีความสำคัญอันใดนัก เกรงว่าต่อให้มีคนบุรุกเข้ามาในหุบเขาจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะหาพบว่าอันใดคือดอกโยวหลัวหมิง”
ดอกโยวหลัวหมิง ในตำนานเล่าขานกันว่าเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียง ย่อมไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า ของศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าจะปลูกอยู่เต็มไปหมดเช่นนี้ อีกอย่าง ต่อให้ถูกคนเด็ดกลับไปสักสามสี่ดอก ก็มิได้มีผลกระทับอันใดต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงมากนัก
“ดูท่าแผนการที่ซูม่านหลินและถานจี้จือวางไว้ที่เมืองหนานจ้าวอ๋องคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียแล้ว พวกเรารีบกลับกันไปหน่อยเถิด เดี๋ยวพวกพี่ใหญ่จะเป็นห่วง” หลังจากองค์รักษ์ที่เดินลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไปแล้ว เยี่ยหลีที่อิงอยู่กับอกม่อซิวเหยาถึงได้เอ่ยเสียงเบาขึ้น
เมื่อภรรยาสุดที่รักดูเป็นห่วงเป็นใยสวีชิงเฉินเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน แต่ม่อซิวเหยาก็ยังอดรู้สึกหึงหวงขึ้นมาไม่ได้ เบ้ปากเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินเจ้าแผนการเป็นที่หนึ่ง มีอันใดน่าเป็นห่วงกัน”
เยี่ยหลียื่นมือไปหยิกเขาให้ทีหนึ่ง เอ่ยอย่างจนใจว่า “พี่ใหญ่เคยไปทำอันใดให้ท่านโกรธกัน ท่านอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านตั้งใจทำให้พี่ชายข้าเข้าใจผิด คิดว่าพี่ชายข้าพึงพอใจในบุรุษ”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยพึมพำเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “ข้าก็แค่พูดความจริง เรื่องเช่นนี้อาหลีก็ยังมาโทษข้า อาหลีลำเอียงจริงๆ ด้วย…”
ยามที่บุรุษคนหนึ่งตั้งแง่เป็นเด็กๆ ขึ้นมานี่ช่างไร้ขอบเขตเสียจริง นี่เป็นประสบการณ์ที่ม่อซิวเหยามอบให้กับนาง
เยี่ยหลีกรอกตาบนใส่เขา คร้านที่จะสนใจ เดินต่อเข้าไปด้านในด้วยความระมัดระวังทันที
“คนฝีมือดีจากที่ใดกัน ในเมื่อมาแล้วเหตุใดถึงไม่ออกมาให้เห็น!” จู่ๆ ก็มีเสียงผู้เฒ่าดังมาจากด้านในตำหนัก
ในใจเยี่ยหลีร้องว่าซวยแล้ว แต่ร่างกายกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แม้แต่ลมหายใจก็ยังผ่อนให้ช้าลง
ม่อซิวเหยากระเถิบมาอยู่ข้างกายนางอย่างไร้ซุ่มเสียง หันไปส่ายหน้าให้นาง
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว หันมองโดยรอบก็เห็นว่าพวกนางซ่อนตัวมาได้ดีตลอดทาง โดยหลักการแล้ว คนที่อยู่ในตำหนัก ต่อให้เป็นคนที่อยู่หลังสุดก็ไม่มีทางมองเห็นพวกเขาถึงจะถูก
ภายในตำหนักเงียบกริบอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงชรานั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ดูจะมีความโกรธเคืองเจือไว้อยู่หลายส่วน “ท่านบังอาจบุกรุกเข้ามาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงของพวกเรา ยังไม่ออกมาอีก จะให้ข้าต้องไปเชิญด้วยตนเองหรือไร”
บนหลังคาฝั่งตรงข้าม มีร่างสีดำร่างหนึ่งกระโดดลงมา เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “ข้าน้อยเหลยเถิงเฟิงแห่งซีหลิง บังอาจมารบกวน ขอผู้อาวุโสได้โปรดอภัยด้วย”
คนในตำหนักส่งเสียงหึเย็นๆ “ที่แท้ก็เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อนี่เอง ข้ายังคิดว่าผู้ใดกันที่ใจกล้าขนาดบุกเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้า”
เหลยเถิงเฟิงยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อยบังอาจบุกรุกเข้ามาที่นี่ ก็ด้วยเพราะมีเหตุจำเป็นจริงๆ ขอท่านผู้อาวุโสได้โปรดอภัยด้วย ข้าน้อยมีเรื่องต้องขอร้องให้ช่วย ขอผู้อาวุโสได้โปรดมีเมตตา”
ไม่ได้พบกันหลายปี เหลยเถิงเฟิงดูจะสุขุมขึ้นกว่าเมื่อห้าปีก่อนมากนัก พูดเพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้คนที่อยู่ในตำหนักคลายความโกรธลงไปได้ไม่น้อย “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อมีเรื่องจะขอร้องข้าเชียวหรือ ช่างหาได้ยากนัก เข้ามาเถิด ลองพูดให้ข้าฟังดู…”
เหลยเถิงเฟิงยิ้ม “ย่อมเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ข้าน้อยไม่มีทางทำให้ผู้อาวุโสเสียประโยชน์อย่างแน่นอน”
เยี่ยหลีที่อยู่ในอ้อมแขนม่อซิวเหยา ชี้นิ้วไปทางตำหนักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหลยเถิงเฟิงที่อยู่ในลาน
ม่อซิวเหยาพยักหน้า เมื่อเห็นว่าเหลยเถิงเฟิงเดินหายเข้าไปแล้วถึงได้ปล่อยเยี่ยหลีออก แตะเท้าลง หมุนตัวเป็นท่าห่านหงส์ขึ้นไปยังหลังคาตำหนักหลักทันที