ตอนที่ 237-1 ดักปล้นซื่อจื่อ

ชายาเคียงหทัย

ม่อซิวเหยาแนบตัวลงกับหลังคาตำหนัก ด้วยความสามารถของเขา ไม่จำเป็นต้องเปิดกระเบื้องหลังคาของตำหนักออก ก็สามารถได้ยินบนสนทนาภายในได้อย่างชัดเจน ย่อมไม่ต้องกังวลว่าคนด้านล่างจะรู้ตัว

เยี่ยหลีรู้ตัวดีว่าฝีมือวิชาตัวเบาของตนนั้นอ่อนด้อย จึงมิได้ข้ามไปร่วมวงกับเขาด้วย เพียงนั่งอยู่ที่เดิมรอม่อซิวเหยาเท่านั้น

ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ม่อซิวเหยาก็กระโดดกลับมา ดึงเยี่ยหลีให้ออกจากตำหนัก พร้อมเด็ดดอกโยวหลัวหมิงจำนวนหนึ่งติดมือมาด้วย แล้วเขาก็พาเยี่ยหลีออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงอย่างไร้ซุ่มเสียงเช่นเดียวกับขาเข้ามา

ทั้งสองเมื่ออกจากหุบเขานั้นมาได้ ก็ใช้ทางเก่าเดินกลับไป ม้าสองตัวนั้นที่เดิมคิดว่าคงวิ่งหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว กลับยังยืนแทะเล็มหญ้าสบายๆ อยู่ที่เก่า

ทั้งสองหาพื้นที่เรียบๆ นั่งลง หยิบธัญพืชและน้ำดื่มที่พกติดตัวมาขึ้นกินดื่มกันเล็กน้อย

ม่อซิวเหยาหยิบดอกไม้สองชนิดที่เก็บมาจากในหุบเขาขึ้นดู คิ้วเข้มขมวดมุ่น

เยี่ยหลีปรายตามองเขา เอนกายพิงเขาอยู่ครึ่งตัว “ที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้เป็นความเข้าใจผิดของข้า หากดอกไม้สองชนิดนี้ หนึ่งในนั้นเป็นดอกโยวหลัวหมิง ก็จะต้องเป็นดอกนั้นอย่างแน่นอน ดอกม่านจูซาฮวาถึงแม้จะมีฤทธิ์ในการถอนพิษ แต่ตัวมันเองก็มีพิษที่สามารถปลิดชีวิตคนได้ ยิ่งมีชื่อว่าเป็นดอกไม้แห่งยมโลก ข้าถึงได้คิดว่ามันคือดอกโยวหลัวหมิง แต่หากว่าเรื่องสรรพคุณทางยาแล้ว ก็เป็นเจ้านี่…ที่เป็นดอกไม้ที่ดูจะโยนคนลงไปสู่ยมโลกได้มากกว่า”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า วางดอกไม้ในมือลง พยักหน้าเอ่ยว่า “อาหลีรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเหลยเถิงเฟิงถึงมาที่นี่”

เยี่ยหลีย่นคิ้วคิดเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เขาก็อยากได้ยาที่ทำจากดอกไม้นั่นเหมือนกันหรือ”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ถูกต้อง ไม่รู้ว่าเขาไปรู้ข่าวมาจากที่ใด เขาคิดอยากขอซื้อยานั่นจากคนหนานเจียงเช่นเดียวกัน อีกทั้ง…ยังอยากขอซื้อจำนวนมากอีกด้วย เพียงแต่ยาประเภทนี้แม้แต่คนหนานเจียงเองก็ยังเข้าใจไม่ถ่องแท้ กว่าจะทำออกมาได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ผู้อาวุโสนั่นเพียงรับปากว่าจะขายให้เขาจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

สีหน้าเยี่ยหลีดูย่ำแย่ขึ้นไปอีก หากเขาคิดจะใช้ของสิ่งนั้นในการควบคุมหรือทำร้ายคนคนหนึ่งเช่นเดียวกับม่อจิ่งหลี ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องซื้อจำนวนมาก “เหลยเถิงเฟิงอยากได้จำนวนเท่าไรหรือ”

ม่อซิวเหยาเองก็ดูเหมือนคิดอันใดได้ เอ่ยเสียงขรึมว่า “เขาบอกว่ามีเท่าไรก็เอาเท่านั้น มิใช่แค่เพียงตอนนี้ ต่อไปเขาต้องการซื้อไปเรื่อยๆ ทุกปี”

เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อย เอ่ยกับม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จะให้หุบเขานั้นมีอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หากปล่อยให้ยานั่นกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ผลที่ตามมาคงยากที่จะคาดคิด”

ที่เหลยเถิงเฟิงต้องการของจำนวนมากเช่นนั้น คิดจะนำไปใช้ที่ใด อันที่จริงไม่ต้องบอกก็พอจะรู้

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ดอกโยวหลัวหมิงพวกนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะโตเต็มที่ วันนี้พวกเราไม่ได้เตรียมตัวมา เวลาก็มีไม่พอ ไว้ให้คนของหน่วยกิเลนมาเผาหุบเขานี้ทิ้งเสียก็แล้วกัน”

เยี่ยหลีพยักหน้า “ให้คนจับตาดูภายในอาณาเขตหนานเจียงไว้ ไม่แน่ว่าของนั่นจะมีอยู่เฉพาะที่นี่ที่เดียว”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า พร้อมรับคำ

เมื่อพักผ่อนได้พอสมควรแล้ว ม่อซิวเหยาก็ดึงเยี่ยหลีให้ลุกขึ้น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเราก็ควรกลับกันแล้ว ระหว่างทางหาเรื่องสนุกๆ ทำกันสักหน่อยก็แล้วกัน”

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว มองเขาด้วยความข้องใจว่าเรื่องสนุกที่ว่า คือเรื่องใด

ม่อซิวเหยายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดักปล้น”

บนถนนหลวงที่มุ่งหน้าสู่เมืองหนานจ้าว ม้าลักษณะดีกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งห้อไปตามทาง เหลยเถิงเฟิงอยู่ด้านหน้าสุด บนใบหน้าที่หล่อเหลามีรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจแฝงอยู่หลายส่วน

ในขณะที่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศของลูกธนูดังขึ้น

เหลยเถิงเฟิงสะดุ้งตกใจ หวดม้าให้พุ่งทะยานหลบหลีกธนูดอกนั้น

องครักษ์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็ตกใจเช่นกัน “มีนักฆ่า! อารักขาซื่อจื่อ!”

แต่นักฆ่ากลับมิได้ปรากฏตัวให้เห็น ได้ยินเพียงเสียงดังสวบๆ อีกสองครั้ง แล้วก็มีลูกธนูสองดอกยิงออกมาพร้อมๆ กัน

องครักษ์สองนายล้มลงกับพื้นทันที ฝีมือยิงธนูของอีกฝ่ายดูจะไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อมองไม่เห็นศัตรู พวกเขาก็กลายเป็นประหนึ่งเป้าที่ถูกยิงตายเท่านั้น

องครักษ์กลุ่มนั้นพากันกัดฟัน มีสองคนเข้าไปคอยคุ้มกันเหลยเถิงเฟิง ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือต่างกระโดดพุ่งไปทางที่ธนูยิงออกมา แต่เมื่อพุ่งตัวเข้าไปในป่า กลับพบว่าภายในป่านั้นว่างเปล่า ไม่เห็นเงาผู้ใดแม้สักคน

ห่างไปไม่ไกล เยี่ยหลีที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ มองลงมายังองครักษ์ที่พากันเลิกลั่กมองหาไปทั่ว แล้วมุมปากก็อดยกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ คนพวกนี้คงไม่ได้คิดว่านางจะหยุดรอพวกเขาอยู่ที่เดิมกระมัง

องครักษ์กลุ่มนั้นค้นหาภายในป่าอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่พบอันใดเลย ในขณะที่กำลังคิดจะถอยกลับไปนั้น จู่ๆ ก็มีเงาคนสีขาวเงาหนึ่งทะยานออกมา องครักษ์นายหนึ่งร้องเรียกด้วยความตกใจว่า “เจ้า…”

แล้วทุกคนก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ ก่อนจะหงายหลังล้มลงกับพื้น

เหลยเถิงเฟิงรออยู่ด้านนอกป่าอยู่พักหนึ่ง ก็ยังไม่เห็นว่าในป่าจะมีความเคลื่อนไหวอันใด ก็ให้รู้ว่า องครักษ์ที่เข้าไปคงจะมีแต่ร้ายมากกว่าดี ที่เขาเดินทางออกมาครานี้ ด้วยเพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกต จึงพาองครักษ์ติดตัวมาด้วยจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมาเจอกับนักฆ่าที่เป็นหนามแหลมเช่นนี้

ถึงแม้ในใจจะเริ่มร้อนรน แต่สีหน้าเหลยเถิงเฟิงยังคงดูไม่ตื่นตระหนก ประสานมือเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าด้านในเป็นยอดฝีมืออาวุโสท่านใด หากข้าน้อยได้ทำอันใดที่เป็นการล่วงเกิน ต่อไปจะต้องชดใช้ความผิดให้เหมาะสมอย่างแน่นอน หวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยเปิดทางด้วย”

แต่สิ่งที่ตอบเขากลับมา กลับเป็นลูกธนูอีกสองดอก แล้วองครักษ์สองคนสุดท้ายที่อยู่ข้างกายเขา ก็ล้มลงกับพื้นทันที

เหลยเถิงเฟิงใจหล่นวูบ มิได้สนใจอย่างอื่นอีก หมุนตัวกระโดดทะยานออกไปด้านหน้าทันที แต่เขากลับไม่รู้ว่า สิ่งที่ม่อซิวเหยารออยู่ก็คือจังหวะนี้ เขาหมุนตัววิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีแรงกำลังมหาศาลจากด้านหลังพุ่งเข้าใส่

เหลยเถิงเฟิงรับรู้เพียงเจ็บปวดที่หน้าอก ก่อนจะไม่รับรู้อันใดอีก

ม่อซิวเหยายืนเอามือไพล่หลัง มองเหลยเถิงเฟิงที่สลบอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เยี่ยหลีเดินออกมาจากในป่า เก็บคันธนูในมือ ยิ้มมองเหลยเถิงเฟิง “จะว่าไปนี่เป็นครั้งที่สองที่เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อตกมาอยู่ในมือพวกเราแล้วกระมัง”

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ อย่างหาได้สนใจไม่ เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีกำลังจะก้าวเข้าไปค้นตัวเหลยเถิงเฟิง เขาก็ดึงนางไว้จากด้านหลัง แล้วก้าวเข้าไปก้มลงค้นตัวเหลยเถิงเฟิงรอบหนึ่งแทน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในมือม่อซิวเหยาก็มีขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวสองขวดเพิ่มเข้ามา ดูแล้วไม่ต่างกับขวดที่ม่อจิ่งหลีได้ไปมากนัก

เยี่ยหลีรับขวดกระเบื้องเคลือบจากม่อซิวเหยามาเปิดออก เทเม็ดยาออกมาสองสามเม็ดแล้วยกขึ้นดม ถึงแม้รูปลักษณ์ของยาเม็ดนี้จะค่อนข้างประหลาด แต่ส่วนประกอบในยาชนิดนี้กลับหลอกเยี่ยหลีไม่ได้ นี่เป็นยาที่ทำขึ้นจากดอกโยวหลัวหมิงที่ขึ้นอยู่เต็มหุบเขาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงจริงๆ หรือจะเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่าฝิ่นก็ได้ ในขวดเล็กๆ ขวดนี้มียาอยู่อย่างน้อยๆ ยี่สิบกว่าเม็ด แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยหลีตกใจก็คือ ยาเม็ดนี้ ความบริสุทธิ์ของมันช่างน่าสตใจยิ่งนัก หากได้ลองใช้ครั้งแรก เกรงว่าคงรับไม่ไหว

นางผินหน้าไปถามม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ผู้อาวุโสนั้นบอกว่า ตอนแรกเริ่ม ใช้น้ำทำให้ละลายเสียก่อนแล้วใช้เพียงหนึ่งในสี่ก็เพียงพอ”

เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ”

”จะทำอย่างไรกับเขา” ม่อซิวเหยาใช้คางชี้ไปยังเหลยเถิงเฟิงที่นอนสลบอยู่

เยี่ยหลีคิดไปคิดมา ก่อนระบายยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เราใช้เหลยเถิงเฟิงแลกประโยชน์มาได้แล้วคราหนึ่ง หากใช้ลูกไม้เดิมเจิ้นหนานอ๋องคงได้อับอายจนกลายเป็นโกรธเกรี้ยว ก็ปล่อยให้เขานอนอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ถนนหลวงเส้นนี้มีคนเดินไปเดินมาอยู่เป็นระยะ หากพวกเรานำเขาไปด้วยคงไม่สะดวกนัก”

สิ่งที่นางเสนอมาตรงกับสิ่งที่ม่อซิวเหยาคิดพอดี เขาเองก็ไม่อยากพาก้างขวางคอไปกับตนและเยี่ยหลีด้วย

ทั้งสองช่วยกันค้นหาข้าวของที่มีราคาในตัวเหลยเถิงเฟิงกันไปอย่างไม่เกรงใจ เหลือไว้เพียงเสื้อผ้า ก่อนเรียกม้าเข้ามาพลางกระโดดขึ้นหลังม้าไปทันที

ทั้งสองเดินทางอ้อมกันไปหลายรอบ ใช้เวลากันไปอีกหลายวัน จนอีกสองวันจะถึงวันอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี พวกเขาถึงได้กลับถึงเมืองหนานจ้าว ยามนั้น คณะทูตจากแต่ละแคว้นที่เดินทางมาร่วมงานก็มาถึงกันเกือบครบแล้ว

เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในจวนพักทูต ก็พบกับเหลยเถิงเฟิงที่เดินออกมาพอดี อาจด้วยเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน สีหน้าและอารมณ์ของเหลยเถิงเฟิงจึงดูไม่ใคร่ดีนัก เมื่อเห็นเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินจับมือกันเข้ามา ก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเข้ามาเอ่ยทักทาย “ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋อง นี่พวกท่าน…”

เยี่ยหลีก็ไม่ปิดบัง เอ่ยยิ้มๆ อย่างเปิดเผยว่า “ที่แท้ก็ซื่อจื่อนี่เอง พวกเรามาถึงก่อนซื่อจื่ออยู่หลายวัน ข้ากับท่านอ๋องจึงออกไปเที่ยวเล่นกันไปทั่ว ไปชื่นชมวิวทิวทัศน์อันงดงามของหนานจ้าวสักหน่อย จะได้ไม่ถือว่ามาเสียเที่ยว แล้วซื่อจื่อ…สีหน้าซื่อจื่อดูไม่ค่อยดีเลย เพราะเพิ่งเร่งรีบเดินทางมาถึงหนานจ้าว จึงต้องหัวสั่นหัวคลอนมาตลอดทางหรือ”

สิ่งที่เยี่ยหลีเอ่ยกับเขาเป็นไปด้วยความจริงใจ ต่อให้เป็นเหลยเถิงเฟิงก็ดูไม่ออกว่า ที่เยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้เป็นการทักทายปราศัยกันจริงๆ หรือกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของเขากันแน่ เพราะถึงอย่างไร ถึงแม้เรื่องที่เขาพบโจรดักปล้นระหว่างทาง จะเป็นที่รู้กันไปทั่วเมืองหนานจ้าว แต่ชายาติ้งอ๋องก็บอกเองว่า นางกับติ้งอ๋องเพิ่งกลับมาจากข้างนอก

แต่เมื่อหันไปเห็นม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลี เหลยเถิงเฟิงก็รู้สึกใจกระตุกขึ้นมาทันที จึงยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่เป็นห่วง ไม่รู้ว่าท่านอ๋องกับพระชายาไปเที่ยวที่ใดกับมาบ้างหรือ ไว้รอให้เสร็จงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี ข้าน้อยจะได้หนีไปพักผ่อนบ้าง”

เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอ๋องบอกว่าที่หนานจ้าวมีหุบเขาอสรพิษ ด้านในมีงูอยู่นับพันนับหมื่นตัว ทั้งยังมีดอกไม้สีแดงสดที่สวยงามยิ่งนัก ข้าเกิดนึกอยากเห็น จึงติดตามท่านอ๋องไปดูด้วย ซื่อจื่อเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”

เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หุบเขาอสรพิษกับทางที่เขาเจอนักฆ่า ที่หนึ่งอยู่ตะวันออก อีกที่หนึ่งอยู่ตะวันตก มิได้อยู่บนถนนเส้นเดียวกัน อันที่จริง เหลยเถิงเฟิงก็มิได้นึกสงสัยในตัวเยี่ยหลีและม่อซิวเหยานัก เพราะถึงอย่างไรการที่เขาเดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงก็ถือเป็นความลับอย่างยิ่ง ถึงขั้นกล่าวได้ว่า เป็นความคิดที่เกิดขึ้นชั่วขณะ เป็นไปไม่ได้ที่ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีจะรู้ล่วงหน้าและไปดักรอเขาระหว่างทาง เพียงแต่พลังหอบสุดท้ายที่พุ่งเข้าใส่ตน ดูจะมีพลังที่รุนแรงเกินไป ในโลกนี้มีอยู่ไม่กี่คนที่จะมีพลังรุนแรงเช่นนี้ พอดีกับที่ยามนี้มาพบม่อซิวเหยาเข้า จึงอดลองแหย่ถามดูเล็กน้อยไม่ได้

เหลยเถิงเฟิงยิ้ม “ถ้าเป็นอย่างเช่นท่านว่า ก็คงเป็นทิวทัศน์อันงดงามที่หาได้ยากนักในโลกนี้ ไว้ช้าจะต้องเดินทางไปชื่นชมให้ได้ ท่านอ๋องกับพระชายาเพิ่งกลับมา เชื่อว่าคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ข้าน้อยไม่รบกวนแล้ว ขอตัว”

เยี่ยหลียิ้มพลางพยักหน้า “ซื่อจื่อค่อยๆ เดิน”