บทที่ 963 เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรคิดลึก

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เวลานี้ ณ จุดหนึ่งในท่อน้ำทิ้งที่เชื่อมต่อกันระโยงระยาง

พวกซย่าน่าเองก็กำลังเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดนะวังในทางเชื่อมอันมืดมิด เทียบกับจุดที่เคยผ่านมาก่อนหน้านี้ ที่นี่เงียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด โคลนตมใต้เท้าได้เปลี่ยนเป็นวัตถุคล้ายวุ้นที่มีความเหนียวหนึบเพิ่มขึ้น และมีกลิ่นแปลกประหลาดโชยออกมาอ่อนๆ ด้วย ทว่าดีที่ทั้งสามไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น

โดยเฉพาะ หลังจากที่หุ่นซอมบี้ของหลิงม่อพูดประโยคนั้นออกมา…

“ยังมีอีกหนึ่งเงาร่าง…” ซย่าน่าทวนคำพลางขมวดคิ้ว

เธอบีบคางทำหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ร่างแม่งั้นหรอ? น่าจะไม่ใช่ล่ะมั้ง…ถึงแม้เจ้าตัวนั้นจะไม่เหมือนกับมนุษย์ประหลาดตัวอื่นจริงๆ…แต่ถ้าคิดกลับกันอีกด้าน พวกเราก็ไม่ได้รู้จักมนุษย์ประหลาดมากเท่าที่ควรนี่นา การคาดเดามั่วๆ ในขณะที่ยังไม่รู้สถานการณ์ดี กลับจะทำให้ได้ข้อสรุปที่ห่างไกลความจริง และจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเราไปด้วย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นพวกเราก็มาลงมือจากเรื่องที่พวกเรารู้กันดีกว่า”

“ทำยังไงล่ะ?” หลี่ย่าหลินถามอย่างสงสัย

“มันเป็นแค่การสันนิษฐานในอีกมุมมองหนึ่งน่ะ ข้อแรกท่อใต้ดินพวกนี้เชื่อมต่อกันไว้ทั้งหมด เรื่องนี้เป็นที่รู้กันอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้เมื่อก่อนจะไม่ได้เชื่อมต่อกัน แต่มนุษย์ประหลาดพวกนั้นต้องเจาะรูเชื่อมต่อเข้าด้วยกันหมดแล้วแน่นอน ทว่าในอีกด้าน พวกมันกลับไม่ได้รวมตัวกันอยู่ด้วยกัน แต่แยกตัวอยู่ในจุดที่ต่างกันแทน การที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ปกติมักบ่งบอกถึงความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือพวกมันเกิดจากร่างแม่คนละตัว และไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดกลุ่มเดียวกัน อย่างที่สอง ก็คือพวกมันถูกควบคุมและสั่งการพฤติกรรมการเคลื่อนไหวโดยสัตว์ประหลาดที่ระดับชั้นสูงกว่า”

ซย่าน่าไม่หันกลับมา แต่อยู่ๆ เงาร่างของน่าน่าก็โผล่ออกมาจากศีรษะด้านหลังของเธอ

ร่างดวงจิตน่าน่ายกมือกอดอก และวิเคราะห์อย่างจริงจังสุดๆ “และที่นี่ ก็เห็นชัดว่าเข้าข่ายอย่างที่สองมากกว่า ในเมื่อท่อน้ำทิ้งถูกเชื่อมต่อกันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ประหลาดที่ต่างกันมาเจอกัน ย่อมต้องมีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ตลอดทางมานี้ พวกเราเจอศพของสัตว์ประหลาดพวกนี้บ้างหรือเปล่า? ก็ไม่เจอ แม้แต่เศษกระดูกเล็กๆ ซักชิ้นก็ไม่เจอ และเรื่องนี้ไม่เพียงพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของฉัน แต่มันยังเตือนพวกเราถึงเรื่องสำคัญมากอีกสองเรื่องด้วย”

“เรื่องสำคัญ…” หุ่นซอมบี้เงยหน้ามองน่าน่า

“ใช่แล้ว ข้อหนึ่ง ในเมื่อพวกมันถูกปกคลองโดยอำนาจคล้ายกองทัพ ถ้าอย่างนั้นในสถานที่แห่งนี้ จะต้องมีร่างแม่อยู่ตัวหนึ่ง และมีเพียงตัวเดียวเท่านั้น ข้อสอง จำนวนของมนุษย์ประหลาดประเภทนี้ บางทีอาจมากจนน่าตกใจแล้วก็ได้…” สีหน้าของน่าน่าตึงเครียดขึ้นมาทันที มองจากด้านข้าง ราวกับมี “เธอ” อีกคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่สีหน้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแยกตัวออกมาอย่างไรอย่างนั้น

“เยอะมากเลยหรอ?” หลี่ย่าหลินเลียปากแผล็บๆ แค่ฟังจากเสียงเธอก็รู้แล้ว ว่าเธอกำลังเข้าใจผิดประเด็น…

ทว่าน่าน่ากลับยังคงตอบกลับอย่างจริงจัง “อืม! ฉันไม่รู้ว่าร่างแม่ขยายฝูงด้วยวิธีไหน แต่เห็นได้ชัดว่า มนุษย์ประหลาดพวกนี้ไม่ได้ใช้วิธีการแข่งขันกันเองและกำจัดผู้อ่อนแอในฝูงเพื่อที่จะได้วิวัฒนาการอย่างแน่นอน…พวกมันเป็นเพียงผู้เลี้ยงสัตว์ เพียงแค่เลือกกินแต่อาหารคุณภาพ ก็สามารถส่งเสริมการขยายเผ่าพันธุ์และวิวัฒนาการของพวกมันได้แล้ว

“อีกอย่าง” หุ่นซอมบี้ที่เงียบมาโดยตลอดพลันพูดขึ้นว่า “ดูจากทิศทางวิวัฒนาการของสัตว์ประหลาดพวกนี้แล้ว ร่างแม่ของพวกมัน น่าจะแข็งแกร่งพอสมควร…”

“ทำไมล่ะ?” รุ่นพี่ไม่เข้าใจ

น่าน่ากลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้ว ความจริงเรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายมาก…รุ่นพี่ พี่คิดว่าทำไมสัตว์ประหลาดพวกนี้ถึงได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นอย่างนี้? ความสามารถในการไล่ล่าเหยื่ออันยอดเยี่ยม โรมรันพันตีเป้าหมายไม่ปล่อยให้หลุดมือง่ายๆ อำพรางจุดอ่อนแต่ร่างกายของพวกมันกลับไม่ถือว่าแข็งแกร่ง…ที่สำคัญก็คือ ทำไมพวกมันถึงไม่มีหัว? มีหัวที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ก็ไม่ได้ต่างกับไม่มีเลย…”

“เมื่อใดที่สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งเชื่อฟังสิ่งมีชีวิตอีกตัวอย่างไร้ข้อแม้ใดๆ ก็แสดงว่ามันไม่ต้องการสมองอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่มันต้องทำ ก็คือการทำตามคำสั่งโดยอาศัยสัญชาตญาณ แต่ไม่ใช่การไตร่ตรอง ดังนั้นระหว่างที่วิวัฒนาการ สมองของมันจึงเสื่อมสภาพและอ่อนแอลงไป กระทั่งสุดท้ายก็กลายเป็นแค่ส่วนประกอบ แต่หลังจากที่มันเสียหัวไป ร่างกายของพวกมันก็ยังกลายเป็นเครื่องมือเก็บเสบียงอาหารที่พกพาได้…พวกพี่ก็เห็นแล้ว ในตัวพวกมันมีอวัยวะที่พวกเราไม่รู้จักอยู่มากมาย ถ้าหากเชื่อมโยงอวัยวะในตัวมันเข้ากับเครื่องมือดูดเลือดบนตัวมัน พวกพี่จะนึกถึงอะไร?”

“ใช่แล้ว กล่องข้าว ที่พวกมันวิวัฒนาการจนสามารถเข้าสู่ภาวะจำศีลยาวนานขนาดนั้นได้ ก็เพราะสมรรถภาพนี้ของพวกมัน ดังนั้นสำหรับพวกเรา พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ แต่สำหรับร่างแม่ของพวกมัน พวกมันเป็นแค่เครื่องมือที่พกกล่องข้าววิ่งไปที่โรงอาหาร จากนั้นก็ทำผลงานเพื่อแลกอาหารจากมันเท่านั้น” น่าน่าพูดมาถึงตรงนี้ในอึดใจเดียว แล้วยังดีดนิ้วดังเป๊าะ ทว่าในฐานะที่เป็นร่างดวงจิต เธอทำท่าทาง แต่เสียงกลับดังอยู่แค่ในสมองเท่านั้น

“รู้สึกเหมือนการเปรียบเปรยในตอนท้ายมันแปลกๆ นะ…” หุ่นซอมบี้ปากอ้าตาค้าง ทว่าคำอธิบายของเธอ กลับทำให้หลิงม่อนึกถึงฟางอิ๋งที่อยู่ในบริษัทลอว์สัน เธอ “สร้าง” ร่างปรสิตขึ้นมาผ่านการกลายร่าง เทียบกับมนุษย์ตะขาบพวกนี้ ดูเหมือนจะมีอะไรที่คล้ายกันอยู่หลายอย่าง…อีกอย่าง นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน ตัวหนึ่งอยู่บนดิน ตัวหนึ่งอยู่ใต้พื้น รูปแบบที่วิวัฒนาการล้วนเหมือนกัน จะมีความบังเอิญอย่างนี้อยู่ที่ไหนกัน?

พอมาคิดดูตอนนี้ การเล่าเรื่องของฟางอิ๋งยังขาดส่วนสำคัญไปอีกหลายส่วน แต่น่าเสียดายที่เธออันตรายเกินไป ถ้าไม่อย่างนั้นหากสามารถหลอกถามข้อมูลจากเธอได้มากกว่านี้ล่ะก็ ตอนนี้คงไม่ต้องถูกปั่นหัวอยู่อย่างนี้แล้ว…ทว่าพอคิดดูอีกที ในเมื่อฟางอิ๋งไม่เคยพูดถึงเรื่องใต้ดินเลย บวกกับ “การเลี้ยงแบบขังคอก” ที่พูดถึงก่อนหน้านี้…บางที แม้แต่ฟางอิ๋งก็อาจไม่รู้เรื่องนี้ หรือไม่ก็ เธออาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือของร่างแม่ที่อยู่ใต้ดินนี้ก็ได้

พอคิดถึงความเป็นไปได้หลัง หลิงม่อก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูก เขากระทั่งอดสงสัยไม่ได้ว่า “ฟางอิ๋ง” ที่คุยกับเขาในตอนนั้น เป็นฟางอิ๋งตัวจริง หรือเป็นร่างแม่ที่อยู่ใต้ดินนี้กันแน่? ถ้าหากเป็นอย่างหลัง งั้นที่ฟางอิ๋งประกาศกร้าวอย่างเคียดแค้นว่าจะกินพวกเขาให้หมด เธอก็เพิ่งจะเริ่มดำเนินการอย่างแท้จริง ตั้งแต่ที่พวกเขาลงมาใต้ดินอย่างนั้นหรอ…

ถ้าหากเป็นอย่างนั้น งั้นก็เข้าใจได้แล้วว่าทำไมพวกเขาถึงได้ยิน “เสียงร้องขอความช่วยเหลือ” นั่นมาโดยตลอด…ไม่ใช่เพราะพวกเขาบุกรุกถิ่นฐานของมนุษย์ประหลาด แต่เป็นเพราะสัตว์ประหลาดตัวที่ใหญ่ที่สุดซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืด กำลังรอพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว…

ไม่กล้าคิดลึกลงไปกว่านี้เลยจริงๆ!

ขณะเดียวกันหลี่ย่าหลินพยักหน้ารัวๆ เหมือนนึกขึ้นได้ “ฉันเข้าใจแล้ว…ถ้าอย่างนั้น เครื่องมืออย่างนี้ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี…อีกอย่างยิ่งมีเครื่องมือมาก ร่างแม่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น…ดังนั้นซย่าน่ากำลังจะบอกว่า ในนี้มีมนุษย์ประหลาดอยู่เยอะเลยใช่ไหม?”

“สมองของรุ่นพี่มีพัฒนาการแล้วนี่นา…ถูกต้องแล้ว หมายความอย่างนั้นแหละ มนุษย์ประหลาดให้ความสำคัญเรื่องจำนวนเป็นหลัก รองลงมาก็เป็น ‘เงาร่าง’ที่สามารถล่อลวงคนให้เข้ามาในนี้…เราเรียกมันว่าป้าตักข้าวก็ได้ ป้าตักข้าวจะหาอาหารมาให้เหล่ามนุษย์ประหลาด แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีพ่อครัว ระหว่างที่พวกมันหาอาหารจึงทำได้เพียงลักพาตัวเหยื่อเท่านั้น แต่จะว่าไปแล้ว พฤติกรรมของพวกมัน ความจริงก็มีจุดน่าสงสัยอยู่เหมือนกันนะ…แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดเบาะแส พวกเรายังไม่ต้องไปสนใจจุดน่าสงสัยนี้ก็แล้วกัน”

พูดไป น่าน่าก็กลับเข้าไปในร่างจริง และกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ขณะที่หลิงม่อคิดว่าเธอพูดจบแล้ว อยู่ๆ ซย่าน่ากลับถามขึ้นเสียงเบา “พี่หลิง ทำไมพี่ถามคำถามนี้ขึ้นมาล่ะ? เงาร่างอีกเงานั่นน่ะ…ร่างจริงของพี่เจอกับตัวแล้วสินะ?”

เธอจ้องหน้าหลิงม่อด้วยสายตาเปล่งประกาย โดยเฉพาะตาข้างที่เป็นสีแดง เหมือนน่าน่ากำลังจ้องมองเขาอย่างไรอย่างนั้น

“อ่า…”

หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้เหลือบมองหลี่ย่าหลินโดยไม่รู้ตัว…เหมือนกับที่ซย่าน่าบอก สติปัญญาของรุ่นพี่กำลังมีพัฒนาการ ถึงแม้จะช้าไปบ้าง แต่อย่างน้อยเธอก็เข้าใจคนใกล้ตัวได้มากกว่าเมื่อก่อนแล้ว…

พอเห็นเขามองมา หลี่ย่าหลินก็วิ่งด้วยท่าทางอ้อนแอ้น พลางเอียงคอมองเขา และส่งสายตาเชิงถาม…บนใบหน้าเธอ ไม่เห็นสีหน้าวุ่นวายใดๆ การตอบสนองของเธอเหมือนไร้เดียงสาอยู่เสมอ เวลาเธอสงสัยแค่มองหน้าเธอก็รู้เลย เวลาดีใจก็ไม่เคยปิดบัง…เพียงแต่บุคลิกที่มีเสน่ห์และความงามภายนอกของเธอ อาจทำให้คนอื่นมองข้ามลักษณะเด่นนี้ไปได้ง่ายๆ เท่านั้น

แต่ตอนนี้พอถูกเธอจ้องเขม็งอย่างนี้ หลิงม่อกลับอดลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้

“มีวิธีล่อเงาร่างเงาแรกออกมาไหม? เงาร่างที่เจอตอนที่เรากำลังสำรวจ” หลิงม่อครุ่นคิด สุดท้ายก็เปิดปากพูด

“ล่อออกมาหรอ…” ซย่าน่ากัดเม้มริมฝีปาก

เป็นอย่างนั้นจริงๆ ระหว่างที่พวกเขากำลังเข้าใกล้ฝูงมนุษย์ประหลาดฝูงนี้ ถือได้ว่าเป็นโอกาสล่อเงาร่างนั้นออกมาได้ง่ายที่สุดแล้ว แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ อันตรายที่พวกเขาต้องแบกรับก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย…

“ฉันเอง” หลิงม่อพูดเสริม

“พี่หลิงน่ะหรอ…” ซย่าน่าเหมือนเดาความคิดหลิงม่อได้รางๆ…ด้วยนิสัยของหลิงม่อ ไม่มีทางปล่อยให้พวกเธอตกอยู่ในอันตรายแน่นอน หรือหากพูดอีกอย่าง ถ้าหากหลิงม่อสามารถแบกรับอันตรายไว้เองได้ เธอและหลี่ย่าหลินก็จะสามารถสำรวจสถานที่แห่งนี้ได้ดีขึ้น…ไม่แน่ว่า…

“บางทีอาจตามเบาะแสไปจนเจอตำแหน่งของร่างแม่ก็ได้” ซย่าน่าเบิกตากว้าง แล้วหันไปบอกหลิงม่อ “พี่คิดจะ…ใช้กลยุทธ์จับโจรให้จับหัวหน้าโจรก่อน?”

หลิงม่อพยักหน้า “ใช่แล้ว…ในเมื่อความสำคัญของร่างแม่ไม่ต้องพูดก็รู้กันอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรหันไปสนใจมันไม่ใช่หรอ?”

ถ้าหากอวี่เหวินซวนตกอยู่อันตราย…ถ้าอย่างนั้นอันตรายที่ร้ายแรงที่สุด ก็น่าจะเป็นถูกจับตัวไปให้ร่างแม่…

แค่ไล่ตามไปยังไม่พอ เวลาอย่างนี้ ต้องเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน! ไม่ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางไหน แต่ขอเพียงพวกเขาสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างแม่ไว้ได้ ไม่ช้า พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้ได้เปรียบในการล่าครั้งนี้…

และความลับในการแปลงร่างของพวกถังฮ่าว จะต้องเกี่ยวข้องกับร่างแม่ผู้ลึกลับตัวนั้นแน่นอน…

——————————————————–