ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 81-1 ขิงแก่

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

คำปฏิเสธนี้ก็เป็นสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งคาดเอาไว้แล้ว ยังไม่ต้องเอ่ยว่าหากยอมรับเรื่องนี้แล้วจะเสียหน้าเพียงใด หากพี่ชายและน้องสาวบุญธรรมสองคนนี้คิดถึงประเด็นนี้ได้ก่อนหน้านี้ก็จะไม่ว่างมาที่ซีเหลียงแล้ว และจะต้องไปวางแผนเอาตัว ล่ฉินเหนียงกลับมาถามให้ชัดเจนที่กองโจรเขาเหมิงซาน เห็นชัดว่าไม่ว่าจะเป็นมู่ชุนเหมียนหรือไล่ต้าหย่งล้วนมั่นใจว่าไล่ฉินเหนียงถูกโม่ปินอวี่จับตัวไปหรือไม่ก็ถูกวางแผนร้าย

เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยไปเรียบๆ ทันใดนั้นว่า “โม่ปินอวี่ต้องไม่มีทางมากวาดล้างกองโจรตั้งแต่เขาเหมิงซานใต้ขึ้นมาพันลี้จนถึงเขาเหมิงซานเหนือโดยไม่มีเหตุผลใดๆ แน่นอน พวกท่านก็บอกแล้วนี่ว่าก่อนนี้พวกกองโจรที่ถูกเขาตียับก็ถูกเขากวาดต้อนไปแล้ว แล้วยังบอกอีกว่าคล้ายว่าเบื้องหลังเขาจะมีตระกูลสูงศักดิ์อยู่ ซึ่งเห็นชัดว่าเขากำลังค่อยๆ รวบรวมเขาเหมิงซานทั้งหมด ว่ากันว่าพวกท่านเป็นกองโจรใหญ่อันดับหนึ่งของเขาเหมิงซาน เดิมทีก็ควรจะเป็นกองโจรอันดับแรกที่เขาต้องกำจัดเพื่อสร้างบารมี แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อเขาเอาชนะพวกเจ้าหลายครั้ง แต่เขากลับปล่อยพวกเจ้าไปหนแล้วก็หนเล่า …แล้วจะไม่มีสาเหตุในเรื่องนี้ได้อย่างไร?”

ไล่ต้าหย่งอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เนิ่นนาน แล้วขืนทำหน้าหนาเอ่ยไปว่า “บางทีหกตระกูลสูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องหลังโม่ปินอวี่ …วางแผนจะได้ตัวข้าน้อยไปอย่างละม่อมก็เป็นได้?”

“ความเป็นไปได้นี้ก็มิใช่ว่าจะไม่มี” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “เพียงแต่หากเป็นดังนี้ ก็ควรจะส่งตัวน้องสาวท่านกลับมาที่กองโจรเขาเหมิงซานนานแล้ว เพื่อจะได้ทำให้พวกท่านสงบใจและไปอย่างละม่อมอย่างไรเล่า! นั่นเพราะอย่างไรน้องสาวของท่านก็เป็นถึงหัวหน้ารองของกองโจรเขาเหมิงซาน ทั้งยังมีความผูกพันพี่น้องกับท่านหัวหน้าไล่อย่างยิ่ง นอกเสียจากน้องสาวของท่านเกิดความเปลี่ยนแปลงใด หาไม่แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่ส่งมอบน้องสาวของท่านคืนให้ท่านเล่า? หรือพวกเขาจะไม่รู้ว่าหากไม่ส่งมอบน้องสาวท่านคืนให้ท่านหนึ่งวัน ท่านก็จะไม่มีวันใจเย็นมาเจรจาดีๆ กับโม่ปินอวี่ได้อีกวัน?”

คำกล่าวนี้ถามเสียจนไล่ต้าหย่งไร้คำจะโต้ตอบ

มู่ชุนเหมียนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก็กลับค่อนข้างจะเชื่อความคิดนี้แล้ว … ด้วยนางเป็นคนในครอบครัวย่อมรู้เรื่องในครอบครัวดี ไมว่าจะเป็นกองโจรเขาเหมิงซานหรือว่าป้อมตระกูลเฉาก็ตามที ฝ่ายแรกนั้นเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อเลี้ยงปากท้อง ส่วนฝ่ายหลังก็ทำงานหนักเพื่อให้ได้มีชีวิตรอดไปวันๆ แล้วจะไปคำนึงถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อันใดได้? พอไล่ฉินเหนียงเกิดเรื่องไม่ว่าจะเป็นไล่ต้าหย่งหรือตัวนางจึงพากันเดาไปในทางที่อันตรายไปก่อนแล้ว

แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับมิได้เป็นเช่นนั้น คุณหนูมีตระกูลที่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ไม่ต้องกังวลกับอาหารและอาภรณ์ เรื่องที่ต้องว้าวุ่นใจมากที่สุดในช่วงวัยเช่นไล่ฉินเหนียงนี้ก็คือเรื่องแต่งงานแล้ว ระยะเวลาตั้งแต่แรกรักกันไปจนถึงออกเรือนเป็นภรรยานี้ เป็นเวลาที่ผู้หญิงทั้งหลายอิ่มเอมใจที่สุดแล้ว ความคิดอ่านที่ผันแปรสับสนนับร้อยนับพันครั้งในช่วงวัยนี้ ตัวเว่ยฉางอิ๋งเองก็เคยผ่านมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางอิ๋งก็ยังพอจะรู้จักโม่ปินอวี่ด้วย ฉะนั้นเมื่อได้ฟังคนทั้งสองเล่าความเป็นมาแล้ว จึงคิดออกในทันใดว่าไล่ฉินเหนียงน่าจะมีความรักจึงทำให้นายทหารสกุลโม่ทำเรื่องแปลกๆ นานาต่อกองโจรเขาเหมิงซาน

เมื่อคิดถึงประเด็นนี้ออกแล้ว หว่างคิ้วของมู่ชุนเหมียนก็มีความกลัดกลุ้มปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ท่านว่าฉินเหนียงนาง ไม่เป็นอันใด…จริงๆ?”

….แม้จะบอกว่ามู่ชุนเหมียนเองก็รู้สึกว่าในเมื่อจนบัดนี้โม่ปินอวี่ก็ยังไม่ได้ลงมืออย่างหนักกับฝั่งของไล่ต้าหย่ง จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะทำร้ายไล่ฉินเหนียง แต่ก็ยังคงอดคิดถึงเรื่องที่คาดไม่ถึงไม่ได้ เพราะการที่ไล่ฉินเหนียงหุนหันบุกเข้าไปแก้แค้นให้กับพี่ชายในกองทหารสกุลเช่นนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะถูกนายทหารที่ผ่านศึกมานับร้อยและบุกจากเขาเหมิงซานเหนือขึ้นไปตลอดทางจนถึงเขาเหมิงซานเหนือผู้นี้บังเอิญสังหารเอาก็เป็นได้?

เมื่อเทียบกับเรื่องที่ไล่ฉินเหนียงอาจจะหลงรักโม่ปินอวี่ กระทั่งไม่กลับมาอยู่ข้างกายพี่ชายเพราะไปอยู่กับคนรักแล้ว กับเรื่องที่แม่นางผู้นี้ก็คงจะเสียเนื้อเสียตัวไปแล้ว เรื่องหลังนี้ยิ่งทำให้มู่ชุนเหมียนไม่อาจรับได้ …จะอย่างไรก็ตาม ถึงพวกเขาจะมิได้เป็นตระกูลเลื่องชื่อ และแม้แต้ชาวบ้านที่สะอาดบริสุทธิ์ก็ยังนับว่าเป็นไม่ได้เลย แต่ไรมาจึงเห็นลูกน้องที่เป็นดังแขนขาสำคัญยิ่งกว่าชื่อเสียง แต่เมื่อมู่ชุนเหมียนถามดังนี้ไล่ต้าหย่งเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด

เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะหึๆ อยู่ข้างหลังฉากกันลม บอกว่า “หากพวกท่านอยากรู้ว่าแม่นางไล่ยังครบถ้วนสมบูรณ์อยู่หรือไม่ ความจริงแล้วก็ง่ายนัก”

สักพัก เว่ยฉางอิ๋งไม่รอให้พวกเขาถามก็บอกว่า “ดีชั่วเวลานี้ท่านหัวหน้าไล่ก็อยู่ ในซีเหลียง มิสู้เอาเช่นนี้ ต้องลำบากท่านหัวหน้าสักหน่อย ให้บอกไปว่าตอนที่ท่านหัวหน้ามาเป็นแขกของหมิงเพ่ยถังของเราแล้วไม่ระวังไปทำให้ของสำคัญเสียหายเข้า จึงถูกหมิงเพ่ยถังของเราจับตัวไว้ แล้วหาคนนำข่าวนี้ส่งไปที่อำเภอเถาฮวา หากน้องสาวของท่านยังอยู่ แล้วจะไม่มาตามหาและช่วยท่านได้อย่างไร?”

…เมื่อออกไปจากหมิงเพ่ยถังแล้ว ไล่ต้าหย่งหันหน้ากลับมามองตึกรามบ้านช่องสูงๆ แห่งนี้คราวหนึ่ง แล้วเอ่ยกับมู่ชุนเหมียนอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “ฮูหยินน้อยผู้นี้ก็กล้าได้กล้าเสียดี คำเดียวก็ให้พวกเราอยู่ต่อแล้ว”

“นี่แน่นอนอยู่แล้ว” มู่ชุนเหมียนขมวดคิ้วเข้ามาน้อยๆ แล้วเอ่ยไปเรียบๆ “ในเมื่อนางชี้ชัดออกมาแล้วว่าเป็นไปได้อย่างมากว่าฉินเหนียงจะไปหลังรักโม่ปินอวี่นั่นจึงได้ไม่กลับมา หากปล่อยให้ท่านกลับไปที่อำเภอเถาฮวา แล้วท่านไปเข้ากับโม่ปินอวี่ตามฉินเหนียงขึ้นมา เช่นนั้นตระกูลเสิ่นก็มิใช่เป็นตะกร้าสานที่ตักน้ำไม่ได้หรอกหรือ?”

ไล่ต้าหย่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เมื่อมองไปรอบทิศแล้วไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ จึงเอ่ยเสียงหนักไปว่า “เจ้าเชื่อคำนาง?”

“มิใช่ข้าเชื่อคำนาง เป็นเพราะก่อนนี้พวกเราล้วนนึกไม่ถึง” มู่ชุนเหมียนยกมือขึ้นคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยเสียงต่ำว่า “เราพี่ชายพี่สาวสองคนนี้ ปกติแล้วเอาแต่วุ่นวายกับการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ก็ไปขัดแข้งขัดขากับคนในป้อมและคนในกองโจร และยังต้องคอยประจบพวกทางการจนหัวหมุน …กับฉินเหนียงนั้น แต่ไรมาก็ดูแลแค่เพียงการกินการอยู่ ยามนึกขึ้นได้ก็จะไปหาซื้อข้าวของที่หายากสักหน่อยมาให้นางเป็นพอแล้ว ฉะนั้นแม้ว่าฉินเหนียงจะเรียนรู้วรยุทธ์จนเก่งกาจ แต่ความจริงแล้วนางกลับไร้เดียงสาเสียยิ่งนัก! อาจจะ….จริงๆ ก็เป็นได้”

“แต่ฉินเหนียงเป็นน้องสาวของพวกเรา แล้วโม่ปินอวี่นั่นก็หวังจะหุบคนของ กองโจรเขาเหมิงซานของเรา! ข้าเป็นคนเลี้ยงดูนางมากับมือจนโต แล้วนางจะไปเข้าข้างคนนอกได้อย่างไร?” ไล่ต้าหย่งเอ่ยพลางขมวดคิ้ว “ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้า หรือว่าท่านพ่อบุญธรรมก็ล้วนดีกับนางยิ่งนัก แม้บ้านเราจะไม่อาจเทียบได้กับบ้านพวกคนสูงศักดิ์ร่ำรวย แต่ไม่ว่าจะเป็นในป้อมตระกูลเฉาหรือกองโจรเขาเหมิงซาน มีที่ใดบ้างที่จะมิได้ปฏิบัติกับนางประหนึ่งเป็นองค์หญิง?”

มู่ชุนเหมียนมองเขาคราวหนึ่ง บอกว่า “พี่ใหญ่ พวกผู้ชายเช่นท่านไม่เข้าใจจิตใจของผู้หญิง ฉินเหนียงมิได้ขัดเคืองที่พวกเราไม่ได้ให้นางอยู่อย่างร่ำรวยสูงศักดิ์ แต่ในวัยเช่นนาง ยิ่งชื่นชอบการเอาอกเอาใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ติดที่ข้าโตกว่านางหลายปี ทั้งยังต้องดูแลป้อมตระกูลเฉา และนางก็ไม่มีสหายผู้หญิงที่สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนความในใจด้วยได้ จึงยากจะไม่รู้สึกเหงาใจ…”

ไล่ต้าหย่งเอ่ยอย่างหมดคำพูดว่า “ต่อให้เหงาใจเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเอาพี่ชายแท้ๆ ไปขายนี่? ข้ากลับไม่เชื่อคำของฮูหยินน้อยผู้นี้! แต่กลับสงสัยว่าการที่นางหาเหตุผลกักตัวข้าไว้ในซีเหลียงเช่นนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องข้า แล้วอาศัยโอกาสนี้ส่งคนไปที่อำเภอเถาฮวาเพื่อกวาดล้างกองโจรเขาเหมิงซานให้ราบน่ะสิ!”

คำนี้มู่ชุนเหมียนเพียงแค่ส่ายหน้า ไม่เอ่ยสิ่งใด

ทว่าเมื่อกลับไปที่คฤหาสน์จี้หยวนแล้ว ไล่ต้าหย่งก็ไปบอกกล่าวกับจี้กู่อย่างขัดเคือง แล้วจี้กู่ก็ตบบ่องหูลูกพี่ใหญ่ผู้นี้ในทันใด …เวลานี้จี้กู่สามารถใช้ไม้ค้ำยันเดินไปไหนมาไหนได้เป็นปกติแล้ว ชายชราผู้นี้มีวิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศในหล้าของตระกูลจี้ซึ่งสืบทอดกันมานับร้อยปี แม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังคงสมองดีและกระฉับกระเฉงอยู่

โดยเฉพาะในหลายวันมานี้ จี้กู่มียาต่างๆ ให้ใช้ได้คล่องมือนัก ทั้งได้เสพสุขกับอาหารรสเลิศชั้นดี ทั้งตัวจึงสดใสชุ่มชื่นและแข็งแรงขึ้นมาอย่างมาก

ยามลงมือไปครานี้จึงไม่เบาทีเดียว ตบเสียจนผ่านไปครึ่งค่อนชั่วยามไล่ต้าหย่งจึงเพิ่งจะได้สติคืนมา แต่เจ้าหมอนี่กลับไม่ได้มีโทสะอันใด กุมหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “พ่อบุญธรรม ลูกผิดที่ใด?”

“ตั้งแต่ปีนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ามันโง่!” จี้กู่มิได้เกรงใจลูกบุญธรรมเลยแม้สักน้อย เมื่อตีเขาแล้วก็ยังคงไม่ยอมยกโทษให้ พลางชี้นิ้วด่าทอเขายกใหญ่ “ครั้งนั้นคิดว่าต่อให้เจ้ามันโง่อีกสักเท่าใด แล้วข้าค่อยๆ สอนให้ดีๆ ผ่านไปนานปีเข้าก็น่าจะก้าวหน้าขึ้นมาได้บ้างกระมัง? กลับไม่คิดว่าตั้งหลายปีมาแล้ว เจ้าก็ยังคงโง่เหมือนเดิม! ทำข้าโกรธจนจะตายแล้ว!”

ไล่ต้าหย่งเป็นหัวหน้าของกองโจรเขาเหมิงซาน ท่ามกลางเหล่าชาวบ้านและในหมู่กองโจรทั้งหลายเขาล้วนมีชื่อเสียงว่าโหดร้าย ทว่ากับจี้กู่ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมผู้นี้เขากลับเชื่อฟังยิ่งนัก แม้จะทั้งถูกตีถูกด่าว่าต่อหน้ามู่ชุนเหมียน เขาก็ยังคงยิ้มสู้ “พ่อบุญธรรมท่านอย่าได้มีโทสะ ลูกโง่นัก เรื่องที่ทำผิดพูดผิดขอให้ท่านทุบตีด่าว่ามาเถิด แต่อย่าโมโหโกรธาเลย หากส่งผลต่อร่างกายท่าน ลูกก็จะรับผิดชอบไม่ไหว!”