ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 81-2 ขิงแก่

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

มู่ชุนเหมียนกลับไม่ค่อยสบอารมณ์ที่บิดาของตนทำเช่นนี้กับพี่ชายบุญธรรม คงเพราะนางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขานางจึงไม่ต้องคอยประจบเอาใจจี้กู่เหมือนที่ไล่ต้าหย่งทำ พลันเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงกลางๆ ว่า “ท่านพ่อ ท่านมีเรื่องใดก็พูดออกมาเป็นพอ พี่ใหญ่มิใช่คนที่ฟังคำท่านไม่รู้เรื่อง ไยต้องลงไม้ลงมือเช่นนี้? ครานี้ก็มิใช่ว่าพอพี่ใหญ่กลับมาก็มาสอบถามความเห็นจากท่านแล้วหรือ? แล้วจะให้ทำเช่นใดได้อีกเล่า?”

“ของไร้ราคาก็คือของไร้ราคา!” จี้กู่ได้ฟังก็ด่าไปถึงนางด้วยในทันใด “เห็นขี้ดีกว่าไส้!”

มู่ชุนเหมียนยังไม่ทันได้ตอบความ ข้างนอกประตูก็มีเสียงสดใสของเด็กร้องขึ้นมา “พวกเราแม่ลูกเป็นของไร้ราคา เจ้าเองก็เป็นตาแก่ไม่ยอมตาย! ขาเป๋ยังมีหน้ามาด่าคนเป็นชันนะตุ[1]!” แล้วร้องเอ็ดไปว่า “เห็นขี้ดีกว่าไส้แล้วจะอย่างไร? ตาแก่ไม่ยอมตายมีที่ให้พวกเราอาศัยอยู่รึ? ไม่เห็นขี้ดีกว่า แล้วจะเห็นเจ้าดีกว่ารึ?”

เป็นเฉายาแอบฟังอยู่ข้างนอก …จี้กู่โกรธนัก พลันฉวยของใกล้มือเขวี่ยงไปที่ประตู “ไอ้ของไร้มารยาท! คอยแอบฟังตั้งแต่เช้ายันเย็น!”

“พูดอย่างกับว่าตนเองมีคุณธรรมวิเศษนักหนาเช่นนั้น!” เฉายาถุยน้ำลายเสียงดังอยู่ข้างนอก “เจ้าเป็นคนสอนให้ท่านลุงไล่…”

แววตาของมู่ชุนเหมียนซึ่งอยู่ภายในห้องหนักอึ้งขึ้นทันใด ร้องตวาดไปว่า “นังหนู! ห้ามพูดจาส่งเดช! ไปเล่นที่สวนดอกไม้ เร็วเข้า!”

“…รู้แล้ว!” เฉายาไม่ยอมลดราวาศอกให้จี้กู่ที่เป็นตาเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับเชื่อฟังคำของมารดานัก เมื่อได้ยินคำ เสียงของเด็กน้อยแสนโอหังก็ลดลงไปแปดส่วน แล้วตอบรับไปอย่างซักกะตายคำหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปไกล คิดว่าคงจะฟังคำของมู่ชุนเหมียนและไปที่สวนดอกไม้โดยดีแล้ว

เพื่อมีเฉายามาขัดจังหวะภายให้ห้องจึงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ มู่ชุนเหมียนจึงเปิดประเด็นขึ้นมาว่า “สรุปก็คือฮูหยินเว่ยผู้นั้นต้องการให้พี่ใหญ่อยู่ในซีเหลียงต่อ แต่จะส่งคนไปส่งจดหมายที่อำเภอเถาฮวา …ลองดูว่าจะทำให้ฉินเหนียงออกมาได้หรือไม่ เพียงแต่ยามนี้พี่ใหญ่ระแวงนักว่าฮูหยินเว่ยผู้นี้จะกำลังล่อเสือออกจากถ้ำ จึงจงใจกักตัวพี่ใหญ่เอาไว้ในตัวเมืองซีเหลียง แต่กลับส่งคนไปที่อำเภอเถาฮวาเพื่อ…”

จี้กู่ขัดคำขึ้นมาว่า “ฉวยโอกาสนี้ไปกวาดล้างกองโจรเขาเหมิงซานที่นั่น? ต่อให้พวกเจ้าโง่เอง ก็อย่าได้คิดว่าคุณหนูสูงศักดิ์ที่เกิดในหกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเล ทั้งยังแต่งเป็นภรรยาเอกของว่าที่ประมุขที่ตระกูลเสิ่นหมายมั่นปั้นมือนักหนาว่าเป็นคนโง่ไปด้วย!”

เมื่อเห็นว่าไล่ต้าหย่งกำลังจะพูด จี้กู่กลับไม่ให้โอกาสเขาพูด พลันถลึงตาแล้วตวาดไปว่า “เจ้าว่ามาซิ! ว่าเจ้าไปเข้ากับเสิ่นจั้งเฟิง เสิ่นจั้งเฟิงไม่เพียงนิรโทษให้คนทั้ง กองโจรเขาเหมิงซาน ยังยอมช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้แก่ผู้อพยพในป้อมตระกูลเฉาอย่างเรียบร้อย …นี่ล้วนเพื่อสิ่งใด?”

ไล่ต้าหย่งกลัวถูกพ่อบุญธรรมทดสอบเป็นที่สุด เมื่อมาถูกถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนี้ หน้าเขาก็ดำมืดขึ้นมาทันดี รีบเอ่ยอย่างลนลานว่า “พะ…เพื่อพี่น้องจำนวนมากและกิจการใหญ่โตของกองโจรเขาเหมิงซานของข้า?”

“ถุย!” จี้กู่ถุยน้ำลายไปที่ข้างขาเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ้มหยันพลางว่า “พวกปลาซิวปลาสร้อย กบในกะลาอย่างไรก็เป็นกบในกะลา! เคยไปตัวเมืองกว้านโจวคราวหนึ่งก็กล้าคิดไปว่าเคยได้เปิดหูเปิดตาแล้ว! ข้าบอกพวกเจ้าไว้นานแล้วว่าหากเทียบกับเมืองหลวงแล้ว ตัวเมืองระดับล่างเช่นในเมืองกว้านโจวนี้ก็เป็นเพียงแค่บ้านนอกห่างไกลความเจริญที่เห็นได้ทั่วไปในต้าเว่ยเท่านั้น! พวกเจ้านึกว่าข้าคอยช่วยจับมือพวกเจ้าก่อร่างสร้างกองโจรเขาเหมิงซานมา ค่อยๆ วางแผนที่ละก้าวจนได้ป้อมตระกูลเฉามาอยู่ในมือ แล้วพวกเจ้าจะไปเข้าตาหกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเลได้แล้วรึ? อย่าว่าแต่หกตระกูลสูงศักดิ์เลย แม้แต่ครั้งพ่อของข้า ท่านตาของพวกเจ้ายังอยู่ ก็ยังไม่แน่ว่าจะเข้าตาเขาเสียด้วยซ้ำ!”

ไล่ต้าหย่งเอ่ยอย่างตื่นตกใจว่า “คะ…คงไม่ถึงเพียงนั้นกระมัง? พ่อบุญธรรม พวกเราขึ้นชื่อว่าเป็นกองโจรอันดับหนึ่งแห่งเขาเหมิงซาน ตลอดหลายปีมานี้ลูกก็ทำตามความคิดของพ่อบุญธรรม ด้วยการไปผูกมิตรกับทางการเมืองกว้านโจว ปล้นสะดมไปทั่ว และแอบให้ลูกผู้น้องคนสนิทไปเปิดร้านขายของโจรในแต่ละที่ในกว้านโจวเอาไว้ อย่างน้อยในกองโจรเรายามนี้ก็มีเงินมีทองแล้ว…”

“ถึงได้บอกว่าพวกเจ้ามันเป็นกบในกะลาอย่างไรเล่า!” จี้กู่เอ่ยอย่างหมดคำพูด “หกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเลนั้น เจ้านึกว่าเป็นตระกูลระดับใด? ทรัพย์สมบัติเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเราหามาได้อย่างยากลำบากมาสิบกว่าปีนี้ อย่าว่าแต่เสิ่นจั้งเฟิงเลย เพียงแค่ฮูหยินเว่ยที่พวกเจ้าเพิ่งไปพบมาเมื่อครู่นี้ล้วนไม่มีทางมองเห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ! พวกเจ้านึกว่าข้ากำลังพูดจาเกินจริงอยู่รึ? ฮูหยินเว่ยผู้นี้ถือกำเนิดในรุ่ยอวี่ถัง เป็นดังมุกในมือของฮูหยินผู้เฒ่าแห่งรุ่ยอวี่ถัง ในยามนี้สินติดตัวนางมีอุ่นหนาฝาคั่งนัก จนคนเช่นพวกเจ้าคิดก็ยังไม่มีวันคิดถึงเลย!”

“หากเสิ่นจั้งเฟิงผู้นี้เป็นเพียงบุตรหลานในสายห่างๆ หรือเป็นทายาทที่มิใคร่ได้รับความสำคัญในตระกูลสูงศักดิ์ บางทีอาจพอจะหมายตากองโจรเขาเหมิงซานบ้าง” ส่วนป้อมตระกูลเฉานั้น จี้กู่ก็คร้านจะเอ่ยถึงแล้ว “แต่เสิ่นจั้งเฟิงเป็นถึงว่าที่ประมุขคนต่อไปของตระกูลเสิ่น ทั้งตระกูลเสิ่นล้วนเป็นของเขา คนชนิดนี้จะมีสายตาเช่นใด? ต่อให้เจ้าขนเอาภูเขาเงินภูเขาทองมากองไว้ตรงหน้าเขา ยังไม่แน่ว่าเขาจะมองสักหนเลย ไม่แน่ว่ายังจะเกี่ยงว่าธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำ …พวกเจ้าไม่เชื่อรึ? นังหนู…ตอนนี้นังหนูวิ่งไปสวนดอกไม้แล้ว มิเช่นนั้นก็เรียกนางมาถามดูได้ ว่าวันที่ข้าเพิ่งจะมาอยู่ที่คฤหาสน์จี้หยวนนี้ ฮูหยินเว่ยผู้นี้มาเยี่ยมข้าพร้อมกับคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ เครื่องประดับทั้งตัวของทั้งสองผู้สูงศักดิ์นี้ ต่อให้เอาทั้งกองโจรเขาเหมิงซานไปขายก็ยังซื้อมาไม่ได้เลย! บุตรหลานของตระกูลเช่นนี้ นอกจากเสื้อผ้าที่จะตัดใหม่ตามความนิยมที่เปลี่ยนไปแล้ว นอกนั้นของรอบกายชิ้นใดบ้างที่มิใช่ของเก่าที่ถ่ายทอดกันมาแต่ราชวงศ์ก่อนๆ คนธรรมดาอย่าว่าแต่ไปซื้อหามาเลย แม้แต่เห็นก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เห็นสักหน!”

ไล่ต้าหย่งนิ่งเหม่อไปเนิ่นนาน จึงว่า “ตามความหมายของพ่อบุญธรรมแล้ว ในเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงสามีภรรยาทั้งสองคนล้วนไม่ได้หมายตาลูก ชะ…เช่นนั้นไยยังต้องการอีก?”

“พวกเขาไม่ได้หมายตาสมบัติเล็กน้อยของกองโจรเขาเหมิงซาน แต่มิใช่ว่าจะไม่ได้หมายตาตัวเจ้า!” จี้กู่ยิ้มหยันพลางว่า “ก็มิได้บอกว่าหมายตาเจ้า ความจริงแล้วพวกเขาควรจะหมายตาข้ากับฉินเหนียงจึงจะถูก!”

ไล่ต้าหย่งยังคงมองไม่ออก กลับเป็นมู่ชุนเหมียนที่คิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว จึงจงใจเอ่ยปากเตือนพี่ชายบุญธรรมว่า “ท่านพ่อบอกว่าคุณชายเสิ่นสามและฮูหยินเว่ยนึกว่ากองโจรเขาเหมิงซานเป็นพี่ใหญ่จัดการดูแล พวกเขาจึงหมายตาในความสามารถของพี่ใหญ่?”

“นี่ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!” จี้กู่แค่นเสียงพลางว่า “เพียงดูจากที่นางเว่ยรั้งตัวหย่งเอ๋อร์เอาไว้ครานี้ ก็รู้แล้วว่าพวกเขามิได้มองเห็นกองโจรเขาเหมิงซานอยู่ในสายตาแต่อย่างใด! ต่อให้โม่ปินอวี่นั่นตีกองโจรเขาเหมิงซานจนแตกก็ไม่เป็นไร ทว่านี่ก็ไม่แปลก ผู้ที่องอาจกล้าหาญในใต้หล้านี้ล้วนเกิดในซีเหลียงและตงหู ซีเหลียงเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของตระกูลเสิ่น ตลอดหลายปีมานี้ก็มีไฟสงครามกับชิวตี๋ไม่เคยหยุดหย่อน แต่กลับไม่เคยขาดแคลนกำลังทหารเลย นี่ยังไม่ได้บอกว่าพวกทหารปลายแถวมักจะใช้คนพื้นถิ่นที่ทำให้รู้สึกวางใจยิ่งกว่า คนชนิดที่เข้ารบทั้งยังบาดเจ็บอยู่และเป็นคนวางแผนสังหารข่านของชิวตี๋มาก่อนเช่นเสิ่นจั้งเฟิงหรือจะมองเห็นพวกโจรโฉดในกองโจรเขาเหมิงซานอยู่ในสายตา? เพียงแต่เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงไม่ขาดแคลนทหาร กลับไม่จำเป็นว่าเขาจะไม่ขาดแคลนลูกน้องที่เก่งกาจ ก่อนนี้ก็มิใช่ว่าเป็นเพราะคนแซ่ส้างกวานผู้หนึ่งที่ด่านเตี๋ยชุ่ย ทำให้เขาต้องเร่งไปคารวะที่บ้านด้วยตนเองตั้งหลายครั้งหลายคราเพื่อทาบทามเขามาทำงานให้หรอกหรือ? เขานึกว่าเจ้าเป็นนักโทษหนีคดีที่เคยเป็นผู้คุ้มกันในบ้านใหญ่โตผู้หนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาอยู่ที่เขาเหมิงซานแล้วก็ก้าวหน้ามาเป็นกองโจรเขาเหมิงซานในทันใด ยิ่งไปกว่านั้นตลอดสิบกว่าปีมานี้ก็ยังแผ่ขยายอิทธิพลไปอย่างกว้างขวางจนกลายมาเป็นกองโจรใหญ่อันดับหนึ่งของเขาเหมิงซาน….”

จี้กู่มองลูกชายบุญธรรมคราวหนึ่ง เห็นไล่ต้าหย่งเบิกตากว่างเหมือนลูกกระพรวน ยังคงอยู่ในอาการไม่กล้าเชื่อหูตนเองเช่นนั้น แล้วขมวดคิ้วพลางว่า “ต้องรู้ด้วยว่าเวลานี้บารมีของตระกูลเสิ่นเกรียงไกรนัก ย่อมต้องมีหูตากว้างไกลยิ่งด้วย กว้านโจวก็มิใช่เขตอิทธิพลของตระกูลเสิ่น ต่อให้เป็นเจ้าเป็นฝ่ายเข้ามาขอสวามิภักดิ์กับเสิ่นจั้งเฟิงเอง เมื่อเขาจะรับเจ้าเอาไว้ ก็จำเป็นต้องแบกรับเรื่องต่างๆ ที่ตามมาด้วย ทรัพย์สมบัติน้อยนิดของกองโจรเขาเหมิงซานไม่อาจเทียบได้กับที่เขาช่วยนิรโทษให้แก่พวกเจ้าทั้งกองโจร ฉะนั้นเป้าหมายของเขาจะต้องมิใช่ทรัพย์สมบัติของกองโจรเขาเหมิงซาน หากแต่ต้องอยู่ที่คน! ทว่าคนของกองโจรเขาเหมิงซาน นอกจากไอ้เจ้าโง่เช่นเจ้าที่คอยอาศัยข้ากับฉินเหนียงจนพอจะมีชื่อเสียงข้างนอกบ้างแล้ว จะยังมีผู้ใดที่ เสิ่นจั้งเฟิงจะหมายตาได้อีก?”

_______________________________

[1] ขาเป๋ยังมาว่าคนเป็นชันนะตุ คล้ายคำเปรียบเปรยว่า แม่ปูว่าลูกปูว่าเดินเอียง แต่ตัวเองก็เดินเอียงเช่นกัน