ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 82 มีชีวิตครึ่งปี

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

จะว่าไปแล้วชะตาของไล่ต้าหย่งก็ไม่รู้ว่าดีหรือว่าร้ายกันแน่ จะว่าดี ครั้งเขายังหนุ่มก็เป็นผู้คุ้มภัยในบ้านเศรษฐีในกว้านโจว แต่เป็นเพราะบังเอิญไปพบเห็นเรื่องบัดสีน่าอับอายของเจ้านาย จึงถูกยัดเยียดข้อหาย่ำยีอนุคนงามของเจ้านาย ทั้งยังพลอยทำให้บิดามารดาต้องถูกป้ายสีจนถึงแก่ความตายไปด้วย

แต่หากจะบอกว่าร้าย บ้านเศรษฐีนี้ห่างจากเขาเหมิงซานไปหลายอำเภอทีเดียว เขาถูกหมายจับไปทั่วเมือง ไร้คนช่วยเหลือ จนทำให้เขาต้องอุ้มไล่ฉินเหนียงน้องสาวที่ยังอยู่ในผ้าอ้อมหนีเข้าไปหลบในเขาเหมิงซาน

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเข้าไปในเขาแล้วเป็นเพราะหนทางรกร้างทำให้บังเอิญเข้าไปในดงงู จนทำให้ถูกงูพิษฉกเอา เดิมทีนึกว่าอยู่ในป่าเขารกร้างก็ทำได้เพียงแต่รอความได้แล้ว แต่กลับได้มาพบกับจี้กู่ที่มาเก็บยาในเขาเหมิงซาน สำหรับจี้กู่แล้วลำพังแค่พิษงูนั้นล้วนมิใช่เรื่องที่เกินรับมือ ครั้งนั้นไล่ต้าหย่งสิ้นไร้ไม้ตอก และอับจนหนทางใดๆ หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากเขาแล้ว ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง แล้วให้จี้กู่เลือกว่าจะส่งตัวเขาให้ทางการเพื่อรับเงินรางวัลหรือไม่ …หากเป็นดังนั้นเขาก็จะนับว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้แล้ว …เพียงขอให้จี้กู่ช่วยหาบ้านเรือนที่ดีรับเลี้ยงดูไล่ฉินเหนียงให้เท่านั้น

แต่ตัวจี้กู่เองดันเป็นผู้ที่ไม่อาจเปิดเผยฐานตนเองได้ เมื่อรู้ความเป็นมาของเขา นอกจากจะไม่ส่งตัวเขาให้ทางการ กลับว่าไปตามน้ำ ตามที่เขาบอกว่ารู้สึกซาบซึ้งใจนี้แล้วแนะนำให้เขาไหว้ตนเป็นพ่อบุญธรรมเสีย

เมื่อไหว้พ่อบุญธรรมผู้นี้แล้ว จี้กู่ก็ส่งเขาไปพักอยู่กับพวกพ้องที่ค้าเกลือเถื่อนเป็นการชั่วคราว เมื่อทดสอบเขามาหลายปีคิดว่าพอจะเชื่อใจได้ เขาลงมือไปเพียงหนก็สามารถเอากองโจรเขาเหมิงซานมาโยนให้เขาได้แล้ว …ไม่ผิด ไล่ต้าหย่งไม่รู้จักตัวหนังสือสักตัว สิบกว่าปีมานี้ได้รับการสอนสั่งอย่างเข้มงวดจากจี้กู่จึงพอจะรู้หนังสือขึ้นมาบ้าง แล้วจะสร้างและดูแลกองโจรอันใดได้? หากเขาฉลาดหลักแหลมดังนั้นจริง ปีนั้นก็จะไม่มีทางถูกเจ้านายป้ายสีจนทำให้พ่อแม่ทั้งสองคนต้องรับเคราะห์หรอก

กลับเป็นจี้กู่ที่วางแผนลึกล้ำและมองการณ์ไกล เพื่อมิให้ป้อมตระกูลเฉาต้องถูก ตระกูลเสิ่นควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ เขาจึงผูกมิตรกับพวกพ้องที่เป็นพ่อค้าเกลือเถื่อนเอาไว้เป็นผู้ช่วยที่อยู่เบื้องหลัง

และด้วยแผนการของจี้กู่ การค้าของพวกพ้องผู้นี้จึงยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ …เพียงแต่จี้กู่กลับไม่ยอมละทิ้งป้อมตระกูลเฉา กระทั่งยกบุตรสาวเพียงคนเดียวให้แต่งงานกับผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าป้อมตระกูลเฉา เมื่อเป็นดังนี้ย่อมปลีกตัวไปได้ยาก จี้กู่จึงเกิดความคิดว่าจะให้ในกองโจรเขาเหมิงซานมีคนที่มารับหน้าที่หัวหน้ากองโจรแทนสักคน

ทว่าคนเช่นนี้จะต้องเลือกยากเป็นแน่ เพราะเขาจะต้องไม่ฉลาดเกินไปและไม่อาจโง่เกินไป สิ่งสำคัญคือต้องภักดี

จี้กู่เลือกไปเลือกมาก็ยังเลือกไม่ได้ แล้วไล่ต้าหย่งก็โผล่มาตรงหน้าเขา…

เรื่องที่โชคดีที่สุดของเจ้าหมอนี่ความจริงแล้วมิใช่เรื่องที่เขาได้พบกับจี้กู่

เพราะแรกเริ่มเดิมทีนั้น จี้กู่เพียงคิดจะควบคุมป้อมตระกูลเฉาเท่านั้น เพื่อมิให้วันดีคืนร้ายหัวหน้าป้อมจะหักหลังแล้วเอาเขาไปขายเสีย จึงแอบเข้ามานสร้างขบวนการเกลือเถื่อนในอำเภอเถาฮวา เดิมทีนั้นทำไปเพื่อสร้างฐานอำนาจให้แก่ป้อมตระกูลเฉา ให้ตนเองสามารถมีที่ให้พูดจาในป้อมตระกูลเฉาได้ แต่ไม่คิดว่าการปกครองในกว้านโจวจะย่ำแย่นัก ฮ่องเต้ก็ทรงรังเกียจจะฟังข่าวเรื่องกองโจร จึงทำให้กองโจรที่ทางหนึ่งก็ค้าเกลือเถื่อนอีกทางหนึ่งก็ปล้นสะดมเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ไม่ทันรู้ตัวก็กลายเป็นกองโจรขนาดใหญ่ไปแล้ว

ตามความสามารถของไล่ต้าหย่งแล้ว เมื่อมีจี้กู่คอยสอนสั่นและมีป้อมตระกูลเฉาเป็นกำลังหนุน การจะควบคุมขบวนการค้าเกลือเถื่อนสักหลายสิบคนก็ยังพอจะถูไถไปได้ แต่เมื่อรอจนกองโจรเขาเหมิงซานขยายตัวจนกลายเป็นกองโจรที่มีคนกว่าร้อยคนแล้ว ไล่ต้าหย่งก็รู้สึกว่าดูแลได้อยากเย็นนัก

แต่เรื่องนี้ก็ไม่ครนามือเขา เพราะเขามีไล่ฉินเหนียง น้องสาวที่ฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่ง

ครั้งที่ไล่ต้าหย่งกลายเป็นนักโทษหนีคดีนั้น ไล่ฉินเหนียงยังอายุไม่ทันครบปี เพราะเรื่องเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ไล่ต้าหย่งพาพ่อแม่ไปด้วยไม่ทัน ทำได้เพียงอุ้มนางหนีออกมา เมื่อมาอยู่ในเขาเหมิงซานและถูกจี้กู่ช่วยชีวิตไว้นั้น ไล่ฉินเหนียงเพิ่งจะอายุครบหนึ่งขวบ

ด้วยเหตุที่แรกเริ่มนั้นจี้กู่ยังไม่ใคร่วางใจไล่ต้าหย่งเท่าใด จึงอ้างว่ากลัวไล่ต้าหย่งจะเสียสมาธิ แล้วนำไล่ฉินเหนียงมาเลี้ยงดูอยู่กับมู่ชุนเหมียนซึ่งเป็นบุตรสาวของตนที่ป้อมตระกูลเฉา ฉะนั้นแล้ว แม่นางไล่ผู้นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นจี้กู่เลี้ยงดูสั่งสอนมากับมือ นางเป็นคนฉลาดมาแต่กำเนิด อีกทั้งมีข้อได้เปรียบว่าอายุยังน้อย เหมือนเป็นกระดาษขาวพร้อมเรียนรู้ทุกสิ่ง นางและมู่ชุนเหมียนได้รับการอบรมสอนสั่งชนิดจับมือทำจากจี้กู่มาจนโต แม้นางจะอายุน้อยกว่ามู่ชุนเหมียนหลายปี ทว่าหากว่ากันเรื่องเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงแล้วกลับแทบไม่ด้อยกว่ามู่ชุนเหมียนเลย

ด้วยเหตุที่มีหัวหน้ารองซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ กองโจรเขาเหมิงซานจึงได้อยู่มาได้อย่างมั่นคง ส่วนไล่ต้าหย่งก็เป็นเพียงเป็นหัวหน้าใหญ่โดยตำแหน่งเท่านั้น

หาไม่แล้วต่อให้เขาเป็นลูกบุญธรรมของจี้กู่ จี้กู่ก็จะเปลี่ยนเขาออกเสียตั้งนานแล้ว

ทว่าก่อนนี้ ด้วยจี้กู่ไม่อาจเปิดเผยฐานะของตนเองได้ ส่วนไล่ฉินเหนียงก็เป็นเพียงสตรี เมื่อกองโจรเขาเหมิงซานมีชื่อเสียงขึ้นมาในกว้านโจว ชื่อเสียงทั้งหมดจึงกลับตกไปอยู่ที่ตัวของไล่ต้าหย่ง

แม้แต่เสิ่นหยิวเจี่ยที่หมายตาไล่ต้าหย่งมาหลายปีก็ยังนึกว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยาก จึงไปรายงานต่อเสิ่นจั้งเฟิงและทำให้เสิ่นจั้งเฟิงพลอยเข้าใจผิดไปด้วย

ทว่า แม้ไล่ต้าหย่งจะสมองทึบแต่ก็เป็นคนใจคอกว้างขวาง นอกจากจะไม่ถือสาที่ถูกจี้กู่เหยียดหยาม แต่กลับเป็นห่วงน้องสาวขึ้นมา “หาก…คำของฮูหยินเว่ยนั่นเป็นจริงก็ยังแล้วไป ขอเพียงฉินเหนียงไม่เป็นไรเป็นดี แต่ถ้าเกิดว่า …พ่อบุญธรรมท่านว่าฉินเหนียงนางจะเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ?”

จี้กู่ยิ้มหยันพลางว่า “ข้าถามเจ้าสักนิด ฉินเหนียงเป็นคนโง่รึ!”

ไล่ต้าหย่งสะดุ้ง กล่าวว่า “แต่ไรมาฉินเหนียงก็ฉลาดกว่าลูกมากนัก…”

“นั่นก็มิใช่ว่าเป็นดังนั้นแล้วรึ?” จี้กู่มีแววความทุกข์ฉายผ่านเข้ามา แล้วเอ่ยไปเรียบๆ ว่า “โม่ปินอวี่มาอย่างอุกอาจ เจ้านำคนไปรับมือก็ล้วนบาดเจ็บกลับมา แล้วประสาอันใดที่นางถือกระบี่ไปลำพังผู้เดียว? นางนึกว่านางเป็นผู้ใด? เป็นยอดเซียนกระบี่ในตำนานรึ! จึงได้มีปัญญาบุกเข้าไปตัดหัวนายทัพในค่ายทหารได้?!”

ไล่ต้าหย่งยังคิดไม่ทัน มู่ชุนเหมียนกลับคิดถึงบางสิ่งได้ และมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด อยากจะเอ่ยบางอย่าง แต่เมื่อมองไปที่ไล่ต้าหย่งคราวหนึ่งก็กลับนิ่งเงียบไปเสีย

จี้กู่กวาดตาไปไปยังบุตรสาวคราวหนึ่ง มิได้ต่อว่านางอันใด แล้วเอ่ยเรียบๆ กับไล่ต้าหย่งต่อไปว่า “ถึงปีนี้นังหนูจะอายุเพิ่งหกขวบ แต่นางก็จะไม่ไปทำเรื่องโง่ๆ เยี่ยงนี้! แต่ฉินเหนียงกลับทำ แต่พวกเจ้าสองคนกลับไม่ได้สงสัยสักน้อยและไม่ใคร่ครวญให้มาก แล้วยังไปเป็นห่วงนางจริงๆ จังๆ เสียอีก เป็นห่วงจนถึงขั้นให้ข้ามาเป็นตัวประสานเพื่อขอเข้ามาสวามิภักดิ์กับเสิ่นจั้งเฟิง และได้อาศัยแรงเขาไปรับมือกับโม่ปินอวี่นั่น?!”

เมื่อพูดจนถึงขั้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรไล่ต้าหย่งก็ต้องเข้าใจแล้ว แล้วพลันเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา โพล่งออกมาว่า “พ่อบุญธรรมขอรับ ฉินเหนียงก็เป็นท่านเลี้ยงดูมาจนโต แล้วจะหักหลังท่านได้อย่างไร?”

“ก็พูดไม่ได้ว่าหักหลังหรือไม่หักหลังอันใด” จี้กู่เอ่ยอย่างหมดคำพูด “นางดูแลจัดการกองโจรเขาเหมิงซานอย่างตั้งอกตั้งใจนักมาตลอดหลายปีนี้ ก็ไม่ทำให้ข้าเลี้ยดูปลูกฝังนางมาเสียเปล่า ในเมื่อยามนี้นางไปเข้ากับโม่ปินอวี่หรือจะเป็นคนที่หนุนหลังโม่ปินอวี่อยู่ก็ตาม จะอย่างไรก็มิได้ทรยศต่อกองโจรเขาเหมิงซาน มิใช่เจ้าบอกเองว่า เจ้าพ่ายแพ้มาหลายหน แต่โม่ปินอวี่ก็ยังออมมือให้เจ้า? บุตรีเติบใหญ่อย่าเก็บไว้ เก็บไปเก็บมาจะกลายเป็นความแค้น! หากฉินเหนียงอยู่ท่ามกลางสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงในครั้งที่ข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม ก็นับว่าเป็นผู้ที่เพียบพร้อมทั้งความสามารถและรูปโฉม และนางก็เป็นผู้ที่มีความคิดอ่านเป็นของตน หากยกให้แต่งกับคนในกองโจรหรือคนในป้อม ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตามก็ล้วนน่าเสียดายเกินไป ยามนี้ตัวนางเองไปไขว่คว้าหาสิ่งที่สูงส่งกว่า ข้าก็มิได้ถือโทษนางนักหนา เพียงแต่นางอย่าได้ก่อเรื่องเดือดร้อนให้ข้าเกินไปเป็นดี!”

ไล่ต้าหย่งได้ฟังแล้วก็เหงื่อตกขนานใหญ่ ทั้งอับอายกับการ ‘หักหลัง’ ของน้องสาว ทั้งตื่นตกใจที่รู้ว่าพ่อบุญธรรมควบคุมทุกอย่างไว้ในมือแล้ว …เพราะจี้กู่พูดเสียชัดเจนปานนี้ เกรงว่าเขาคงจะระแคะระคายมาตั้งแต่ครั้งที่ได้ยินไล่ฉินเหนียงบอกว่าจะบุกเข้าไปในกองทหารสกุลโม่เพื่อแก้แค้นให้ตนแล้ว

เพียงแต่เขากลับไม่พูด แล้วปล่อยให้ตนเองร้อนใจหนักหนาแล้วเลือกที่จะไปเข้ากับเสิ่นจั้งเฟิง กระทั่งตอนที่เร่งเดินทางเข้ามาพบที่ซีเหลียง จี้กู่ก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้

จวบจนตนเอาคำของเว่ยฉางอิ๋งมาขอคำชี้แนะในยามนี้เขาจึงแสดงอาการออกมา …แม้ไล่ต้าหย่งจะระลึกถึงพระคุณที่จี้กู่ช่วยชีวิตและอบรมสั่งสอนเขาเสมอมา และไม่เคยมีใจเป็นอื่นมาก่อน แต่เมื่อคิดว่าพ่อบุญธรรมผู้นี้มีความคิดอ่านที่ลึกล้ำนัก เขาก็ยังรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทั้งหลัง

เขาเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “พ่อบุญธรรมขอรับ ยามนี้ยังไม่แน่ชัดว่าฉินเหนียงจะเป็นหรือตาย ลูกเองก็ไม่ควรจะเอ่ยสิ่งใด เพียงแต่หากมิได้พ่อบุญธรรม ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือฉินเหนียงก็ล้วนต้องตายไปอย่างเดียวดายในภูเขาไปนานแล้ว จะมีวันนี้ได้อย่างไร? หากเรื่องราวเป็นดังที่ฮูหยินเว่ยและพ่อบุญธรรมคาด ลูกก็จะต้องไม่มีทางปล่อย…ไม่มีทางผ่อนปรนให้ฉินเหนียงแน่!”

แม้จี้กู่จะย้ำแล้วย้ำอีกว่ามิได้ถือโทษไล่ฉินเหนียง แต่ไล่ต้าหย่งกลับเข้าใจแจ่มชัดถึงความใจดำอำมหิตของพ่อบุญธรรมผู้นี้เป็นที่สุด อย่าคิดว่าไล่ฉินเหนียงได้จี้กู่เลี้ยงดูจนโตมา แล้วครานี้นางมาจากไปโดยไม่ร่ำลากับจี้กู่ ไม่ไยดีต่ออนาคตของกองโจรเขาเหมิงซาน ยามจี้กู่จัดการให้เด็กที่เป็นทั้งบุตรสาวและลูกศิษย์ในเวลาเดียวกันตายไปเสีย ก็เกรงว่าดวงตาของเขาคงไม่แม้จะสั่นไหวเลยสักน้อย!

ไล่ต้าหย่งรู้ดีว่าต่อให้จี้กู่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกองโจรเขาเหมิงซานและป้อมตระกูลเฉาอีกสักเท่าใด แต่สองแห่งนี้ล้วนเป็นแรงกายแรงใจที่เขาทุ่มเทมาชั่วชีวิต ตัวเขาเองอาจไม่ให้ความสำคัญได้ แต่กลับไม่ใช่ว่าผู้อื่นจะทำการส่งเดชใดได้!a

ด้วยเหตุที่ไล่ต้าหย่งไม่เคยไปที่ป้อมตระกูลเฉา จึงไม่รู้สภาพการณ์ที่นั้นอย่างแน่ชัด ทว่าในกองโจรเขาเหมิงซาน ตลอดสิบกว่าปีมานี้มีผู้คนตั้งมากมายเท่าใดที่จู่ๆ ก็ล้มหายตายจากไปทั้งครอบครัวหรือไปจนถึงญาติมิตรต่างๆ เพราะคิดการที่ไม่ควรคิด?

แม้จี้กู่จะรับพวกเขาพี่น้องไว้เป็นลูกบุญธรรม แต่อย่างไรก็ไม่อาจเทียบได้กับเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ! ยิ่งไปกว่านั้น ลำพังแค่ฟังเฉายาเรียกขานเขาหนแล้วหนเล่าว่า ‘ตาแก่ไม่ยอมตาย’ ขนาดความสัมพันธ์ของจี้กู่และเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขาก็ยังเป็นเช่นนี้แล้ว! ยิ่งไม่ได้เอ่ยถึงคนที่เก็บมาเลี้ยง!

แล้วไล่ต้าหย่งจะไม่เป็นกังวลแทนน้องสาวได้อย่างไร? เดิมทีเขาคิดเพียงจะเอ่ยไปลอยๆ ว่าจะไม่ยอมปล่อยไล่ฉินเหนียงเอาไว้ แต่เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แล้วไปคิดถึงวิธีการที่คนในกองโจรถูกจี้กู่สั่งว่าไม่ปล่อยเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็พลันสะท้านไปทั้งหัวใจ จึงรีบเปลี่ยนคำว่าจะไม่ยอมผ่อนปรน ด้วยหวังว่าจี้กู่จะเห็นแก่ความผูกพันในวันเก่าก่อนและผ่อนปรนให้นางบ้าง

เพียงแต่สีหน้าของจี้กู่กลับราบเรียบเสียยิ่งนัก บอกว่า “เดิมทีข้าเองก็คิดจะยอมรับการทาบทามเข้าไปเป็นพวกโดยละม่อมเช่นกัน ก็ผู้ใดจะทนมีชีวิตอยู่ในที่รกร้างห่างไกลไปชั่วชีวิตได้? เพียงแต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าชวี่ปิ้งหลานชายที่โชคดีมีชีวิตรอดของข้าผู้นั้นจะถึงขั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงใหญ่โตจนไม่มีผู้ใดในเขตทะเลที่ไม่รู้จักเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตบุตรชายคนโตจากบ้านใหญ่ของรุ่ยอวี่ถังเอาไว้ด้วย! ในเมื่อได้เส้นสายในระดับนี้ของเขาในที่แห่งนี้ และบุตรสาวแท้ๆ ของนายท่านใหญ่ของรุ่ยอวี่ถังผู้นั้นก็คือฮูหยินเว่ยที่พวกเจ้าเพิ่งไปพบมาวันนี้ หากมาอยู่ในอาณัติของเสิ่นจั้งเฟิงไปเสีย ทั้งอยู่ไม่ไกลและดูแลได้ง่าย อย่างไรเสียหลังจากที่ไปสอบถามตลอดหลายวันมานี้ ฮูหยินเว่ยผู้นี้มีอิทธิพลต่อเสิ่นจั้งเฟิงไม่น้อยเลย! แต่หากทางฉินเหนียงมีลู่ทางที่ดีกว่า คาดว่าอาศัยบุญคุณที่ช่วยชีวิตบิดานางเอาไว้ หากข้าด้านหน้าและออกหน้าไปพูดให้ ยอมถอยสักเล็กน้อย ฮูหยินเว่ยผู้นั้นก็จะไม่มาขัดขวางไม่ให้ข้าไปเข้ากับคนบ้านอื่นหรอก”

เขามองไล่ต้าหย่งแวบหนึ่ง “แม้ว่าฉินเหนียงจะจากข้าไปโดยไม่ลา แต่นางก็ยังมีความจริงใจต่อเจ้าซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ เพียงคนเดียวอยู่ ฮูหยินเว่ยผู้นั้นก็เป็นสตรีมีตระกูล ด้วยแผนการนี้ของนาง ต่อให้ฉินเหนียงมีแผนการใดที่ไม่อาจบอกกล่าวกับพวกเจ้าได้ แต่ก็เกรงว่านางคงจะไม่อาจไม่มาที่ซีเหลียงสักหนหรอก”

จี้กู่เอ่ยอย่างมีความคิดในใจ “เมื่อมาถึงซีเหลียง ที่นี่ก็เป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเสิ่น! ก็ต้องดูว่านางจะฉลาดพอและสามารถเอาตัวรอดจากคนตระกูลเสิ่นได้หรือไม่แล้ว!”

…รอจนไล่ต้าหย่งถูกไล่กลับไปที่เรือนทางด้านหน้าแล้ว ยาของจี้กู่ก็ต้มเสร็จพอดี

มู่ชุนเหมียนม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วรินยามาให้บิดาดื่มด้วยตนเอง

อาศัยจังหวะที่ในห้องไม่มีบุคคลที่สามอยู่ นางก็บ่นว่า “ดีชั่วพี่ใหญ่ก็เป็นหัวหน้ากองโจร แต่ท่านก็ยังทั้งตีทั้งด่าทอเขา อย่าว่าแต่เขาต้องเสียหน้าต่อหน้าผู้คนเลย ในใจเขาย่อมรู้สึกเคืองแค้น…”

“จะเคืองแค้นหรือไม่ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับว่าข้าดีกับเขาหรือไม่รึ?” จี้กู่ดื่มยาจนหมด แล้วหยิบเอาผลไม้แช่อิ่มในถาดเงินที่อยู่ข้างๆ มาอมไว้ในปากพักใหญ่ กินลงไปแล้วคายเม็ดออกมา จึงได้หัวเราะเสียงดังออกมา “หากมักใหญ่ใฝ่สูงแล้ว ต่อให้ทำดีด้วยอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์! แต่คนที่ระลึกถึงบุญคุณ ตีๆ ด่าๆ สองสามคำเป็นปกติแล้วจะเป็นไร? คนเช่นข้าตีๆ ด่าๆ ลูกชายก็มิใช่เรื่องสมเหตุสมผลรึ? ยิ่งไม่ต้องบอกว่าชีวิตนี้ของเขาล้วนเป็นของข้า!”

มู่ชุนเหมียนได้ฟังพลันสะดุ้ง กล่าวว่า “ฉินเหนียง…?”

“หากข้าไม่ปล่อยไป ยังนึกว่านางจะบินไปพ้นอุ้งมือข้ารึ?” จี้กู่เอ่ยอย่างผ่อนคลาย “บังอาจคิดการเอง อย่างมากนางก็มีชีวิตอยู่ได้แค่ครึ่งปีแล้ว!”