ณ หมิงเพ่ยถัง เมื่อส่งมู่ชุนเหมียนและไล่ต้าหย่งไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจิบน้ำชาไปอึกหนึ่ง ไตร่ตรองอยู่สักพัก จึงเรียกจูเสียนที่เมื่อครู่นี้คอยดูแลรับใช้อยู่ข้างๆ โดยตลอดมา “เจ้าไปที่ห้องหนังสือข้างหน้า แล้วบอกเรื่องที่ทั้งสองคนนั้นเล่าให้ท่านพี่ทราบโดยละเอียด”
จูเสียนน้อมตังลง บอกว่า “เจ้าค่ะ” กำลังจะถอยออกไป เว่ยฉางอิ๋งก็เรียกนางเอาไว้อีก “เรื่องของโม่ปินอวี่ เจ้าเองก็ไม่ได้รู้มาแต่ต้น เช่นนั้นเจ้าก็ฟังข้าเล่าให้ฟังคร่าวๆ ประเดี๋ยวท่านพี่เอ่ยถามขึ้นมาแล้วจะไม่รู้เรื่อง”
ในห้องหนังสือที่เรือนหน้า เสิ่นจั้งเฟิงกำลังสนทนาสัพเพเหระกับส้างกวานสืออีที่ปรึกษาคนใหม่อยู่ เมื่อได้ยินว่าจูเสียนมา ส้างกวานสืออีที่ค่อนข้างกลัวคนแปลกหน้าจึงรีบขอตัวลา
เสิ่นจั้งเฟิงย่อมต้องรั้งเขาไว้ “พี่ส้างกวานโปรดอย่างเห็นเป็นอื่นไกล สตรีผู้นี้เป็นบ่าวติดตามของภรรยาข้าเอง แม้ข้าจะมิได้เป็นคนที่ไม่เฉลียวฉลาดเท่าใด แต่กลับได้ท่านพ่อคอยช่วยเหลือจึงได้แต่งภรรยาที่ดีงาม เมื่อทราบว่าทั้งท่านและข้าอยู่ที่นี่ หากไม่มีเรื่องสำคัญใด คนในเรือนหลังก็จะต้องไม่เข้ามารบกวนโดยง่ายเป็นแน่ จึงต้องขอให้พี่ส้างกวานโปรดนั่งอยู่อีกสักพัก ให้ข้าเรียกนางเข้ามาสอบถามสักคำสองคำ”
ส้างกวานสืออีร่ำเรียนตำราเลื่องชื่อมามาก เชี่ยวชาญยุทธศาสตร์การวางแผน หากว่ากันตามตรงแล้วก็เป็นชายที่รูปร่างสูงโปร่ง ทว่าหน้าตากลับงดงามอ่อนโยนดังสตรีที่ยังบริสุทธิ์อยู่ยังไม่ว่า เขาก็ยังเป็นคนที่กลัวคนแปลกหน้าเสียยิ่งกว่าสตรีบริสุทธิ์จริงๆ มากมายนัก เมื่อถูกเสิ่นจั้งเฟิงกล่อมซ้ายกล่อมขวาอยู่เนิ่นนานจึงพอจะฝืนรับคำว่าจะอยู่ต่อ ก่อนจูเสียนจะเข้ามา เขาก็จงใจไปนั่งที่มุมห้อง…
เมื่อเห็นว่าที่ปรึกษาของตนตื่นคนเพียงนี้ เสิ่นจั้งเฟิงพลันรู้สึกจะร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง เพียงแต่คนเราไม่สมบูรณ์แบบ แม้ว่าส้างกวานสืออีจะไม่เปิดเผยใจเช่นบุรุษทั่วไป แม้แต่สาวใช้เขาก็ยังกลัวที่จะพบ แต่ความรู้ของคนผู้นี้เป็นของจริงแท้ แม้จะมีที่ประหลาดๆ อยู่บ้าง เสิ่นจั้งเฟิงย่อมสามารถทนรับได้
เขารอจนส้างกวานสืออีไปหลบดีแล้ว จึงเรียกเสิ่นเตี๋ยให้เรียกคนเข้ามา
จูเสียนเข้ามาข้างใน คำนับและกล่าวคำทักทายเสร็จแล้ว ไม่รอให้เสิ่นจั้งเฟิงสอบถาม ก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ที่มาในทันที นางเป็นบ่าวที่เกิดในตระกูลเว่ยมาหลายชั่วคน แต่เล็กมาก็ถูกพ่อแม่เตรียมเอาไว้ให้มาปรนนิบัติรับใช้มุกในมือของ ตระกูลเว่ย ได้รับการอบรมสั่งสอนมาแต่เล็ก เมื่อมาอยู่ข้างกายเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งผ่านการอบรมจากนางเฮ่อ ยามนางนำความมาเล่าก็พูดได้อย่างชัดเจนได้ใจความ รวมกับน้ำเสียงสดใสชัดถ้อยชัดคำจึงฟังแล้วสบายหูนัก
บอกความเสร็จแล้ว จูเสียนก็คำนับอีกครั้งแล้วว่า “เดิมทีฮูหยินน้อยได้ยินว่า คุณชายเชิญท่านส้างกวานมาสนทนาในห้องหนังสือ จึงไม่อยากจะมารบกวน เพียงแต่คิดว่าเรื่องที่ท่านหัวหน้าป้อมมู่และท่านหัวหน้าไล่พูดอาจมีประเด็นสำคัญอันใด จึงส่งข้าน้อยมาเรียนคุณชายเจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนางและเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังไม่ทันตอบคำ พลันมีเสียงหนึ่งดังมาจากมุมห้องว่า “เป็นเรื่องสำคัญจริงดังว่า”
ตอนจูเสียนเข้ามาแล้วไม่เห็นส้างกวานสืออี ก็รู้ประหลาดใจเล็กน้อย นึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงบอกให้ส้างกวานสืออีกลับไปแล้ว …กลับไม่คิดว่าเสียงที่ได้ยินยามนี้กลับดังขึ้นมาจากข้างหลังตน จึงอดจะตกใจขึ้นมาไม่ได้
แล้วเห็นว่านายผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าตนคล้ายว่าจะมีสีหน้าดึงเครียดขึ้นมาพร้อมกัน แล้วเอ่ยอย่างรวบรัดว่า “เรื่องควรเป็นดังนี้” จากนั้นก็บอกให้นางไปรอรับคำสั่งที่เรือนหลัง
รอจนจูเสียนไปแล้ว ส้างกวานสืออีที่เมื่อครู่นี้พลั้งปากพูด และพอพูดออกไปแล้วก็หน้าแดงขึ้นมาทั้งหน้าก็ค่อยๆ ออกมาจากมุมห้องอย่างในสภาพสลดหดหู่และกลับไปนั่งที่เดิม พลางเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “คุณชายสามขอรับ มะ…อะเฮอะ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”
“ไยพี่ส้างกวานจึงเอ่ยเช่นนี้? เมื่อครู่นี้แม้ว่าพี่ส้างกวานไม่พูด เวลานี้ข้าก็ต้องขอคำชี้แนะจากพี่ส้างกวานอยู่แล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงทอดถอนใจ
ส้างกวานสืออีมีความรู้เป็นพะเรอเกวียนแต่ตื่นคนแปลกหน้าเป็นที่สุด หากมิใช่ว่าก่อนนี้ถูหลี่ว์เข้ามาโจมตีด่านเตี๋ยชุ่ยอย่างฉับพลัน ทำให้บ้านเกิดเขามีภัย จนไม่อาจไม่ก้าวออกมาปกป้องบ้านเกิด ก็เกรงว่าจนยามนี้คงไม่มีคนรู้ถึงความสามารถของเขา หากจะบอกว่าเสิ่นจั้งเฟิงเสียเวลาไปตั้งมากมายมายเพียงนี้จึงสามารถเชิญเขาออกมาได้ กลับมิสู้บอกว่าใช้วันเวลาเหล่านี้ทำความสนิทสนมกับเขา เพื่อให้เขาไม่ถึงกลับต้องคิดจะหลบเมื่อได้พบกับตนจะดีกว่า
ทว่าแม้จะพาส้างกวานสืออีมาที่ตัวเมืองซีเหลียงได้สำเร็จ ทว่าเจียงหนานเปลี่ยนง่ายนิสัยคนเปลี่ยนยาก การจะพูดจากับคนผู้นี้ก็ยังคงต้องคอยระมัดระวัง ต้องทั้งกล่อมทั้งหลอกล่อไปในเวลาเดียวกัน…
เสิ่นจั้งเฟิงปลอบเขาอยู่สักพัก ส้างกวานสืออีจึงตั้งสติได้ แล้วมาเอ่ยเรื่องธุระกัน “ไม่กี่วันก่อน คุณชายเคยเอ่ยถึงไล่ต้าหย่งผู้นี้ บอกว่าเล็งเห็นความสามารถของคนผู้นี้ ทว่าเมื่อได้ยินสาวใช้ของฮูหยินของท่านมาเล่าความ กลับคล้ายว่าไม่ใคร่ปกตินัก?”
“พี่ส้างกวานกล่าวถูกต้องยิ่ง” ดวงตาของเสิ่นจั้งเฟิงมีแววเคร่งเครียดฉายขึ้นมาจางๆ กล่าวว่า “ความจริงแล้วกองโจรเขาเหมิงซานก็เป็นเพียงกลุ่มคนร้ายที่มารวมตัวกัน เดิมทีหยิวเจี่ยแนะนำว่าไล่ต้าหย่งซึ่งเป็นหัวหน้าสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยมือเปล่า จึงคิดว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ ทว่าด้วยเรื่องของพวกตี๋ และข้าเพิ่งมาอยู่ในซีเหลียงยังไม่นาน จึงยังไม่ได้ไถ่ถามให้ละเอียด…”
ส้างกวานสืออีกล่าวว่า “ไล่ต้าหย่งเป็นถึงหัวหน้ากองโจร แม้จะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ไม่น่าจะดูแลสตรีผู้หนึ่งเอาไว้ไม่ได้ แต่ยามนี้เขากลับวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากน้องชาย คิดไปแล้วเรื่องแปลกๆ ในนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่กลับเป็นน้องสาวของเขาที่ชื่อว่าฉินเหนียงที่ค่อนข้างมีเรื่องผิดปกติ”
ต่อให้ไล่ต้าหย่งคิดวางแผนใดอยู่ แต่ก็จะไม่มีทางปล่อยให้กองโจรเขาเหมิงซานเกิดช่องโหว่ที่ไม่สมเหตุสมผล ด้วยการปล่อยให้น้องสาวคนหนึ่งของเขาให้ไปล้างแค้นกองทหารสกุลโม่เพียงลำพัง
“แม้กองโจรเขาเหมิงซานจะเป็นแหล่งที่พวกคนร้ายมาอยู่รวมกันทว่าก็มีคนอยู่นับหลายพันคน ไล่ฉินเหนียงผู้นั้นสามารถเป็นถึงรองหัวหน้า จะเป็นรองก็แต่ไล่ต้าหย่งซึ่งเป็นพี่ชายของนางเท่านั้น ซึ่งนางไม่อาจเอาแต่พึ่งบารมีของพี่ชายได้ ต้องรู้ด้วยว่าพวกโจรมีนิสัยชั่วร้ายหยาบคายและไร้มารยาท หากตัวของไล่ฉินเหนียงไร้ความสามารถ คนในกองโจรก็จะไม่เชื่อฟังนาง!” ส้างกวานสืออีเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า จึงพูดต่อไปว่า “เป็นบุรุษแต่กลับอยู่ภายใต้สตรี คนทั่วไปย่อมไม่มีวันทนได้ แล้วประสาอันใดกับพวกที่เป็นโจรไพร? เห็นได้ว่าเมื่อไล่ฉินเหนียงสามารถดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าได้ก็จะต้องมีสิ่งที่ล้ำเลิศกว่าผู้อื่น ตามความเห็นของข้าน้อย เกรงว่าแม้แต่พี่ชายของตนเอง ไล่ฉินเหนียงก็ยังมีเรื่องปิดบัง จึงทำให้ไล่ต้าหย่งต้องวิ่งมาขอความช่วยเหลือที่ซีเหลียง!”
เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า กล่าวว่า “พี่ส้างกวานกล่าวถูกต้องนัก เพียงแต่ข้ากลับสงสัยว่าไล่ฉินเหนียงผู้นั้น…ที่แท้แล้วประสงค์สิ่งใดกันแน่?”
“หากเป็นผู้อื่น ต่อให้รู้ว่าไล่ฉินเหนียงคิดจะเอาเหตุผลว่าไปแก้แค้นให้พี่ชายมาอ้างหน้าเพื่อจะได้บุกไปที่ค่ายของนายทหารสกุลโม่เพียงลำพัง แต่หากเป็นเพราะมีประสงค์อื่น ก็นับว่าทำให้คาดเดาได้ยากจริงๆ นั่นเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่มีคนเคยได้ยินชื่อของโม่ปินอวี่ผู้นี้มาก่อน ต่อให้ไล่ต้าหย่งบอกว่าเบื้องหลังเขามีคนในตระกูลสูงศักดิ์คอยหนุนหลังอยู่ก็ตามที แต่ก็ยังยากจะแน่ใจได้ว่าเป็นตระกูลใดในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล” ส้างกวานสืออีรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงหาได้ไม่มีความคิดใดอยู่ในหัวเลยแม้สักน้อย ทว่าเขาเพียงอาศัยโอกาสนี้หยั่งเชิงที่ปรึกษาที่เพิ่งจะทาบทามเข้ามาใหม่ จึงค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า “ทว่าคุณชายสามกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ด้วยความบังเอิญ ฮูหยินของท่านกลับรู้ที่มาที่ไปของโม่ปินอวี่ผู้นี้ คนผู้นี้เป็นชาวเฟิ่งโจว เดิมทีก็เกือบจะได้รับการทาบทามจากคุณชายห้าตระกูลเว่ยแล้ว แต่เป็นเพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น จึงทำให้ยามนี้ถูกนายท่านหกเว่ย เว่ยซินหย่งล่อลวงไป…”
ส้างกวานสืออีมองไปยังเสิ่นจั้งเฟิงที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังคราวหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “ข้าน้อยคาดเดาไว้ประการหนึ่ง มิทราบว่าควรจะพูดหรือไม่?”
“พี่ส้างกวานโปรดเอ่ยมาตามตรง!” เสิ่นจั้งเฟิงหงายมือแล้วยกขึ้นเป็นทีเชื้อเชิญ
“ตามคำของสาวใช้ผู้นั้น คล้ายว่าเว่ยซินหย่งจะมีความแค้นใหญ่หลวงกับจิ่งเฉิงโหว” ส้างกวานสืออีขมวดคิ้วพลางว่า “จากเรื่องที่เขาไปมาหาสู่กับฉานซานกงมาตั้งแต่อายุยังน้อย และปีก่อนก็ยังได้รับมาเป็นบุตรบุญธรรมในรุ่ยอวี่ถัง ก็ทำให้เห็นว่าเขามีใจออกห่างจากจือเปิ่นถัง!”
เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า “เป็นดังนี้จริง ตามที่ข้าคาดเดา การตายของบิดาและพี่สาวแท้ๆ ของเขาช่างมีพิรุธนัก แม้จะไม่มีเรื่องใดลือออกมา ทว่าก็คล้ายจะมีความเกี่ยวพันกับจิ่งเฉิงโหว …ยามนี้พี่ชายของเขาเป็นขุนนางอยู่ในเฟิ่งโจว โดยมีฉางซานกงคอยหนุนหลังอยู่”