ตอนที่ 280 การกลับมาของจิ่วเยี่ย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

— ตูม! —

กระบี่มังกรเพลิงกวัดแกว่งกวาดอสรพิษสามหัวไป

มู่เฉียนซีนางยังไม่ทันได้ควบคุมพิษ  อสรพิษสามหัวก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง เสี่ยวหงได้รับบาดเจ็บจากอสรพิษสามหัวนั้นอย่างสาหัสและเกือบจะโดนมันกลืนเข้าไป

เสี่ยวหงเอาสองขาหน้าปิดหน้าตัวมันเองไว้พร้อมทั้งตะโกนดังลั่น “อย่ากินข้า!  อย่ากินข้าเลย!  เนื้อหมูมันไม่อร่อยนะข้าจะบอกให้”

— ปัง! —

เสียงระเบิดดังขึ้น ทันใดนั้นร่างของอสรพิษสามหัวก็แตกกระจัดกระจายเป็นเสี่ยง ๆ

อสรพิษเหล่านั้นที่กำลังโจมตีมู่เฉียนซีอย่างบ้าคลั่งต่างก็หายไปเช่นกัน  หลังจากที่ร่างของอสรพิษสามหัวระเบิด เสี่ยวหงกล่าวอย่างตระหนกตกตื่น “เจ้าท่อนไม้… เจ้าโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว”

มู่เฉียนซีก็ตกใจเช่นกันเมื่อมองร่างของชิงอิ่งที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการกัดกร่อนนับไม่ถ้วนนั้น

“ชิงอิ่ง…” นางเรียกเสียงเบา

ชิงอิ่งปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉียนซี มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าร่างของชิงอิ่งนั้นอ่อนแออย่างมาก นางเอาเม็ดยาทั้งหมดออกมาจากมิติยื่นให้ชิงอิ่ง

“ชิงอิ่ง เจ้ารีบฟื้นฟูร่างกายก่อนเร็ว”

ชิงอิ่งกล่าวเสียงแผ่ว “เฉียน…  ข้าเสียพลังไปมาก ตอนนี้ยาวิญญาณก็ช่วยไม่ได้ ข้า… ข้าจำต้องหลับใหลไประยะหนึ่ง เจ้าระวังตัวด้วย”

— ตุบ! —

กล่าวจบร่างของชิงอิ่งก็ล้มลงไปทันที

สำหรับมนุษย์ที่มีชีวิตและสัตว์วิญญาณนั้น นางสามารถรักษาได้ แต่สำหรับร่างที่แปลกประหลาดอย่างชิงอิ่ง มู่เฉียนซีนางไร้หนทางจริง ๆ

“บัดซบยิ่งนัก!” หลังจากที่ร่างของชิงอิ่งล้มลงไป มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าพิษภายในร่างกายของนางเริ่มแพร่กระจายลามไปทั่วแล้ว

นางรีบหยิบเข็มยาออกมา แต่ยังไม่ทันได้ฉีดยา นางก็อ่อนแรง หน้ามืดล้มลงไปเสียก่อน  ร่างของนางนั้นร้อนเป็นไฟราวกับตกลงไปในหม้อต้มเดือด ๆ  เลือดนางเสมือนกำลังเดือดและกระดูกก็ราวกับถูกแผดเผาก็มิปาน

เขี้ยวฟันของอสรพิษสามหัวนั่นเป็นพิษร้ายแรงอย่างมาก…

มู่เฉียนซีต้องการที่จะควบคุม ทว่าร่างกายของนางนั้นอ่อนปวกเปียกมิได้ดั่งใจ นางพยายามฝืนไม่ให้ตนเองหลับทว่ามันยากเย็นเต็มที  นางจึงเลือกที่จะกัดลิ้นตัวเองเพื่อกระตุ้นไม่ให้หลับ

จะหมดสติไปไม่ได้… ไม่ได้เด็ดขาด…

ในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินอยู่ด้านหน้าของนาง แต่มู่เฉียนซีนั้นฝืนทนจนถึงขีดจำกัดของนางแล้ว  นางเป็นลมหมดสติไปก่อนที่เห็นว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นเป็นใคร

“อาจารย์ เมื่อครู่มีเสียงต่อสู้กันทางด้านนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ที่ที่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามอยู่ ต้องมีของล้ำค่าเป็นแน่แท้”

“แน่นอนอยู่แล้ว การต่อสู้จบลงแล้ว คนที่บุกเข้าไปต่อสู้กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น หากไม่ตายก็น่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสยากที่จะหาย”

“เรารีบเข้าไปดูเร็วเถอะ”

— ขวับ!  ขวับ!  ขวับ! —

ร่างหลายร่างบุกเข้าไปในบริเวณสระที่เย็นยะเยือกนั้น และผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียนก็เห็นดอกบัวหิมะที่บานสะพรั่งในสระ

ถึงแม้ว่าบริเวณรอบ ๆ จะเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น ทว่าดอกบัวหิมะนี้ก็ไม่ได้เสียหายแม้แต่น้อย

ผู้อาวุโสกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ เป็นผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ  อา… ช่างโชคดี  ดูเหมือนว่าการมาครานี้ไม่เสียเปล่าเลย”

นอกจากผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว เขาก็เห็นซากของอสรพิษสามหัวอีกด้วย เขากล่าวขึ้นว่า “น่าทึ่งนักที่มีคนฆ่าอสรพิษสามหัว สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามนี้ได้ ศิษย์ทั้งสามสำนักนั้น ไม่มีทางที่จะมีพลังแข็งแกร่งจนสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้”

ในขณะที่ผู้อาวุโสกำลังครุ่นคิดสงสัยอยู่นั้น ฉื่อเอี้ยนก็อุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า “แม่นางผู้นี้! นางแน่ ๆ ที่เป็นผู้จัดการกับเจ้าอสรพิษสามหัวตัวนี้”

ฉื่อเอี้ยนเห็นร่างสีม่วงที่คุ้นตานั้นและผู้อาวุโสก็ประหลาดใจขึ้นมาในทันที “เป็นไปไม่ได้!  สตรีอายุน้อยผู้นี้ไม่มีทางจัดการกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามได้”

“ไม่น่าจะเป็นนาง แต่เป็น…” ฉื่อเอี้ยนหันไปมองร่างของชิงอิ่งที่นอนหมดสติอยู่ข้าง ๆ มู่เฉียนซี

เมื่อมองดูแล้วจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าร่างของชิงอิ่งนั้นไม่มีกลิ่นอายของพลังชีวิตอยู่เลย “ชายผู้นี้ตายแล้ว ดี! ตายไปเสียได้ก็ดี!”

ชายชุดเขียวผู้นี้เคยปราบเขาได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังขัดขวางไม่ให้เขายุ่งกับแม่นางมู่  นี่คือหายนะของเขาที่ไม่อาจเทียบได้ ตอนนี้ชายชุดเขียวผู้นี้ตายไป ก็เท่ากับเขาหมดศัตรูที่น่าหวาดกลัวไปหนึ่งคน

ผู้อาวุโสกล่าว “ชายผู้นี้ยังหนุ่มนัก นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะฆ่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามให้ตายลงได้ เพียงแต่อัจฉริยะผู้นี้ต้องมาตาย ช่างน่าเสียดายยิ่ง”

ฉื่อเอี้ยนกล่าวถามว่า “ดูเหมือนว่าแม่นางมู่ยังไม่ตาย ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” เขากล่าวเช่นนี้ออกมาเพราะเห็นใบหน้าของมู่เฉียนซีแดงฉานราวกับถูกไฟแผดเผา

ผู้อาวุโส “สาวน้อยผู้นี้โดนอสรพิษสามหัวกัดเป็นแน่ พิษลามไปทั่วร่างกายนางแล้วแต่นางกลับไม่ตาย  เก่งกาจยิ่งนัก  แต่ถึงอย่างไร พิษของอสรพิษนี้ก็ร้ายแรงถึงชีวิต และ…”

ฉื่อเอี้ยนหายใจถี่ขึ้น เขากล่าวว่า… “อาจารย์  ท่านหมายถึง ?”

ผู้อาวุโสผู้เป็นอาจารย์ของฉื่อเอี้ยนรู้ว่าไม่มีอันตรายอยู่รอบตัวเขาแล้ว เขาจึงไปเก็บผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์มา จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “เอี้ยนเอ๋อร์ สาวน้อยผู้นี้งดงามยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะ  ข้ารู้ว่าเจ้ามีใจให้นาง ต่อให้เจ้าได้นางมาครอบครอง นางก็ไม่มีวันเชื่อฟังเจ้าเด็ดขาดข้ามั่นใจ  แต่ถึงกระนั้นข้าจะไม่ห้ามเจ้า  ประเดี๋ยวข้าจะไปหาของล้ำค่าที่อื่นก่อน พวกเจ้าแต่ละคนฝึกฝนประสบการณ์กันตามสบายเถอะ”

ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสจะได้ผลึกดอกบัวหัวใจศักดิ์สิทธิ์ไป แต่เขายังคงไม่พอใจ หวังจะเอาของล้ำค่าเพิ่มอีก

ทันทีที่ผู้อาวุโสซึ่งเป็นอาจารย์จากไป ศิษย์ร่วมสำนักของฉื่อเอี้ยนก็รู้สึกเกรงอกเกรงใจ พวกเขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีด้วยศิษย์พี่ฉื่อ ยินดีด้วย ขอให้ศิษย์พี่มีความสุขกับความงดงามของสาวงามเช่นแม่นางผู้นี้”

ฉื่อเอี้ยนยกยิ้มมุมปาก เขากล่าวขึ้น “พวกเจ้าไปเฝ้าบริเวณรอบ ๆ เอาไว้ อย่าให้ใครเข้ามารบกวนข้าได้”

“ขอรับ”

ฉื่อเอี้ยนก้าวเท้าเข้าไปหามู่เฉียนซี “ในตอนที่ข้ามอบความรักให้เจ้า  เจ้ากลับเมินข้า  ตอนนี้เจ้าก็อย่าหาว่าข้าไม่เป็นสุภาพบุรุษก็แล้วกัน”

ในขณะที่เขากำลังเอื้อมมือจะไปแตะมู่เฉียนซี ทันใดนั้นบริเวณรอบ ๆ ก็เกิดความผิดปกติขึ้นมา  บรรยากาศอึมครึมเยือกเย็นแผ่ปกคลุม  จากนั้นมีเงาร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏตัวพลันคว้าร่างของมู่เฉียนซีไปกอดไว้ในอ้อมแขน

ฉื่อเอี้ยนกล่าวขึ้นด้วยความโกรธทันที “ใครกัน ?”

ทันทีที่เขาหันไปมองร่างนั้น ก็เห็นสายตาที่เย็นยะเยือกคู่หนึ่งจ้องกลับมา

และเพียงชั่วพริบตาเดียว… เขารู้สึกเสมือนว่าเขาได้ไปเยือนแดนนรกก็มิปาน ร่างกายและจิตวิญญาณของเขาดูเหมือนว่าจะถูกทำลายลงในเวลาเพียงอึดใจเดียว

นี่เป็นพละกำลังของบุรุษที่แข็งแกร่งอย่างมิอาจหยั่งรู้ได้  แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าอาจารย์  แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเจ้าสำนักของเขาไม่รู้กี่ร้อยเท่า  เขาไม่อาจรู้ได้เลย

ฉื่อเอี้ยนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความหวาดกลัวแล่นเข้าครอบงำจนขยับร่างกายไม่ได้

เขารีบคุกเข่าลงพลางกล่าวอ้อนวอน “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด… หากท่านอยากได้แม่นางผู้นี้ ท่านเอาไปได้เลย ขะ… ข้าไม่…”

ทันใดนั้นสองขาของเขากลายเป็นกระดูกขาวทันที

“อ๊าก!” ความเจ็บปวดจากการแยกชิ้นเนื้อออกจากกระดูกนี้ทำให้ฉื่อเอี้ยนร้องตะโกนดังลั่น ศิษย์ร่วมสำนักของฉื่อเอี้ยนตกใจอย่างมาก พวกเขารีบพรวดเข้ามาดู “ศิษย์พี่ฉื่อเป็นอะไรไป ?!”

ทันทีที่พวกเขาวิ่งพรวดเข้ามา ก็ได้เห็นบุรุษผู้หนึ่งแผ่กลิ่นอายราวกับเป็นภูตผีปีศาจ การปรากฏตัวของเขานั้นราวกับทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนลึกลับนี้สั่นสะเทือน

ร่างสีเขียวอันงดงามน่าหลงใหลปรากฏขึ้นข้าง ๆ จิ่วเยี่ย “กำลังจะหาเจออยู่แล้วเชียว เยี่ย เจ้ารีบหนีมาที่นี่เพราะเหตุใดกัน ? หรือว่า…”

ดวงตาสีม่วงคู่นั้นเหลือบไปมองมู่เฉียนซี “อ้อ ที่แท้ก็เกิดเรื่องกับแม่สาวน้อยคนงาม มิน่าล่ะเจ้าถึงได้รีบมา”

ศิษย์น้องร่วมสำนักของฉื่อเอี้ยนหันไปมองร่างของฉื่อเอี้ยนที่เวลานี้ค่อย ๆ กลายเป็นกระดูกและสลายหายไป พวกเขาขาอ่อนลงด้วยความตกตะลึง

จื่อโยวโบกมือพลางกล่าว “เกิดอะไรขึ้น ?”

พวกเขารีบกล่าวรายงานว่า “พวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อพวกข้ามาถึงแม่นางมู่ก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว นางน่าจะถูกอสรพิษสามหัว สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามทำร้าย”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง อืม เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไร้ประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ”

ทันใดนั้นควันดำปกคลุมร่างของพวกเขา จากนั้นร่างของพวกเขาทั้งหมดก็ได้สลายหายไปในทันที  ไม่เหลือร่องรอยไว้แต่อย่างใด จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีที่ร่างร้อนรุ่มราวเปลวไฟเอาไว้แน่น ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกนั้นเหลือบมองจื่อโยว

“พิษงู เจ้าถนัด”

.