คนที่สอบเข้าห้องปฏิบัติการในแต่ละปีมีจำนวนมาก แต่คนที่สามารถเข้าสถาบันวิจัยมีอยู่น้อยนิด อาจารย์ที่ปรึกษาและศาสตราจารย์ล้วนเห็นกันจนเคยชิน แน่นอนว่าย่อมไม่อยากให้โลกภายนอกหมุนรอบตัวพวกเขา
พวกโอรสสวรรค์ที่เข้าห้องปฏิบัติการในช่วงแรกๆ จึงมักจะถูกอาจารย์ที่ปรึกษาเพิกเฉย คนเหล่านี้ย่อมรับไม่ได้เป็นธรรมดา การที่พวกเขาไม่มาก็เป็นเรื่องปกติมาก
ถูกละเลยไปไม่กี่ครั้งก็ควรมาที่นี่อย่างว่าง่าย
เมื่อนักวิจัยเลี่ยวที่กำลังเปิดหนังสือได้ยินที่จั่วชิวหรงพูด เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยที่ไม่ทันได้สังเกต
จากนั้นก็ก้มหน้าทำการทดลองต่อ
“ฉันเขียนบทความเสร็จแล้ว” จั่วชิวหรงแก้บทความต่อ เธอวางแผนจะส่งบทความนี้ไปลงSCI จึงเขียนด้วยความตั้งใจ
เธอเป็นสมาชิกห้องปฏิบัติการของนักวิจัยเลี่ยว สมาชิกห้องปฏิบัติการห้องนี้ไม่มีใครที่ไม่อยากเป็นลูกศิษย์ของนักวิจัยเลี่ยว แน่นอนว่าจั่วชิวหรงก็เช่นกัน
รุ่นพี่เยี่ยตีพิมพ์บทความไปแล้วสามฉบับ
จั่วชิวหรงเพิ่งส่งไปฉบับเดียว ช่วงนี้เธอจึงศึกษาโปรจ็คทางด้านนี้อยู่ตลอดเวลา
**
ร้านอาหารส่วนตัวใกล้มหาวิทยาลัยเมืองหลวง
ฉินหร่านนั่งตรงข้ามอาจารย์ใหญ่สวี
“เธอวิจัยหัวข้อนี้” อาจารย์ใหญ่สวียื่นเอกสารให้ฉินหร่านหนึ่งชุด
ฉินหร่านวางตะเกียบรับมาเปิดดู
เป็นข้อมูลวิจัยหลักสูตรฟิสิกส์ แต่ดูเหมือนจะซับซ้อนกว่าหน่อย
“ทุกปีห้องปฏิบัติการจะแนะนำผู้สมัครเข้าสถาบันวิจัย” อาจารย์ใหญ่สวีคีบเนื้อมาหนึ่งชิ้น หลังจากกินเสร็จก็ค่อยๆ พูดออกมาว่า “พี่ใหญ่ซ่งของเธอได้นำทีมส่วนตัวของเขาไปเข้าร่วมโครงการวิจัยที่ต่างประเทศเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โครงการวิจัยถูกสถาบันวิจัยรวบรวมเก็บไว้แล้ว ตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปัจจุบัน มีการเผยแพร่บทความงานวิจัยเล็กใหญ่ลงบนSCIไปแล้วกว่าสิบฉบับและยังเซ็นสัญญาเข้าสถาบันวิจัย ตอนนี้เป็นนักวิจัยขั้นสามไปแล้ว”
อาจารย์ใหญ่สวีพูดไปด้วย มองฉินหร่านไปด้วย
เขาเน้นที่ ‘บทความงานวิจัยSCIสิบฉบับ’ เป็นพิเศษพร้อมกับลากเสียง
ให้ความหมายเป็นการชี้นำ
ฉินหร่านปิดหัวข้อวิจัย
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาวางบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วใส่หลักสูตรวิจัยเข้าไป
ตอบช้าๆ
“พี่ใหญ่ซ่งของเธอขยันขันแข็งในการเขียนบทความมาก” อาจารย์ใหญ่สวีคีบผักและพูดต่อ
ฉินหร่านโยนกระเป๋าเป้ไว้ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ใหญ่สวีอย่างเฉยชา “เขาขยันเรียนกฎหมายมากเหมือนกัน ได้ยินว่ากำลังมองหาปริญญาเอกนิติศาสตร์อยู่ด้วย”
ซ่งลี่ว์ถิงเก่งทุกอย่างก็ตรงจุดนี้
แต่ละสัปดาห์เขาแบ่งเวลามาหนึ่งวันเพื่อศึกษาเนื้อหากฎหมาย ถึงขนาดไม่เข้าห้องปฏิบัติการเลย
เนื่องด้วยเหตุนี้ อาจารย์ของเขาจึงมักจะดึงหูมาอบรมสั่งสอน แต่ก็ยังรั้งลูกศิษย์อย่างเขาไม่ได้
ตีไม่ได้ ด่าก็ไม่ได้ จนสุดท้ายยังต้องช่วยเขาหาปริญญาเอกนิติศาสตร์
อาจารย์ใหญ่สวีนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็พูดอย่างใจดี “แน่นอนว่าโครงการทดลองสำคัญกว่า บทความSCIอะไรพวกนั้นค่อยๆ ทำก็ได้ ไม่รีบ”
ฉินหร่านละสายตา นั่งไขว่ห้างกินข้าวต่อ
**
หลังจากทั้งสองกินข้าวเสร็จ
ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว
ฉินหร่านไม่ได้ลงไปพร้อมกับอาจารย์ใหญ่สวี พอลงไปก็เห็นรถเฉิงเจวี้ยนจอดอยู่ริมถนน
คนที่ขับรถไม่ใช่เฉิงเจวี้ยนแต่เป็นเฉิงจิน ฉินหร่านเปิดประตูเบาะหลัง
ตอนที่เธอขึ้นรถ เฉิงเจวี้ยนยังอ่านเอกสารชุดหนึ่งอยู่ พอเธอขึ้นมาเขาก็ปิดเอกสารส่งๆ แล้ววางไว้ด้านข้าง
เขาเอียงตัวมาข้างๆ ด้วยหน้าตาเยือกเย็น น้ำเสียงเป็นไปอย่างเฉยเมย “กินข้าวแล้ว?”
“อือ” ฉินหร่านนั่งเสร็จก็วางกระเป๋าเป้ไว้บนตัก
ที่นั่งคนขับ
เฉิงจินมองผ่านกระจกมองหลัง จากนั้นก็ถามด้วยความเคารพ “คุณหนูฉินจะกลับถิงหลานหรือไปห้องปฏิบัติ…”
พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เฉิงจินก็ชะงักไม่ได้พูดต่อ
เมื่อไม่กี่วันก่อนเฉิงเจวี้ยนให้เขาสืบข้อมูลเลี่ยวเกาอั๋งมาแล้ว รู้ว่าเป็นนักวิจัยขั้นพิเศษของสถาบันวิจัยคนหนึ่ง เฉิงจินดูข้อมูลของเขามาบ้างแล้ว ข้อมูลของเลี่ยวเกาอั๋งเป็นความลับระดับหนึ่ง ไม่มีอยู่ใน129 ที่เฉิงจินสืบหามาได้จึงมีไม่มากนัก สืบมาได้แค่อุปนิสัยทั่วไป
ส่วนใหญ่เฉิงเจวี้ยนจะให้เขาสืบเกี่ยวกับฉินหร่าน
ไม่กี่วันมานี้ เฉิงเจวี้ยนไม่ให้คนพูดถึงเรื่องห้องปฏิบัติการ
เฉิงจินพูดได้ครึ่งทางก็ไม่ได้พูดต่อ
ฉินหร่านเอามือเท้าคางพลางมองเฉิงจิน จากนั้นก็หัวเราะสบายๆ เย็นวันจันทร์ฉินหร่านอารมณ์ไม่ค่อยดี ตอนแรกๆ จึงหงุดหงิดเล็กน้อย แต่พอกลับไปถึงถิงหลานก็สงบลงแล้ว
แต่เฉิงเจวี้ยนยังจำได้
โดยเฉพาะตอนที่นายท่านเฉิงพูด เขาโต้ตอบด้วยอารมณ์
ฉินหร่านพิงประตูรถและหัวเราะเบาๆ
เธอไม่ได้สนใจเรื่องห้องปฏิบัติการอะไรพวกนั้นจริงๆ นายท่านเฉิง เฉิงเวินหรู รวมถึงคณบดีเจียงและคนอื่นๆ ต่างก็หวังว่าเธอจะหาอาจารย์ในห้องปฏิบัติการได้สักคน ถ้าคารวะนักวิจัยเลี่ยวได้นับว่าเป็นการดีที่สุด
เนื่องจากนักวิจัยเลี่ยวเป็นหนึ่งในห้านักวิจัยขั้นพิเศษแห่งสถาบันวิจัย
แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าฉินหร่านไม่ได้เข้าห้องปฏิบัติการเพื่อหาอาจารย์——
เพราะเธอถูกอาจารย์ใหญ่สวีจองตัวไว้นานแล้ว
ที่เธอไปห้องปฏิบัติการก็เพียงเพื่อทำการวิจัยและโครงการตามความคิดของอาจารย์ใหญ่สวี เขาอยากให้เธอเข้าร่วมโครงการวิจัยระดับสากลเหมือนซ่งลี่ว์ถิง ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเธอสามารถเขียนบทความSCIได้หลายๆ ฉบับและเพิ่มเนื้อหาทางวิชาการให้กับห้องปฏิบัติการได้ นั่นก็ยิ่งดี
สิบนาทีต่อมา รถก็ขับมาถึงลานจอดรถ
ฉินหร่านลงรถพร้อมเฉิงเจวี้ยน
เฉิงจินจอดรถเสร็จก็ถือกุญแจตามทั้งสองขึ้นไปข้างบน
ด้านบน เฉิงมู่กำลังวิดีโอคอลกับคุณพ่อหลินอยู่ ถามเขาว่าดอกไม้และใบไม้จะร่วงโรยทุกฤดูหนาวหรือเปล่า และพูดคุยกับเขาด้วยว่าจะมีปัญหากับวิธีการเพาะเลี้ยงหรือไม่
เมื่อเห็นฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนเข้ามา เขาก็พูดกับคุณพ่อหลินไปหนึ่งประโยคแล้ววางสายไป
โทรศัพท์ปลายสาย คุณพ่อหลินมองไปทางหลินซือหรานที่กำลังถือหนังสือเศรษฐศาสตร์ จากนั้นก็ถอนหายใจกับคุณแม่หลิน “เฉิงมู่เป็นคนทำสวนที่ดีจริงๆ”
**
ด้านนี้
เฉิงมู่วางโทรศัพท์ลง หยิบกล่องพัสดุที่อยู่ข้างๆ ให้ฉินหร่าน “คุณหนูฉิน พัสดุของคุณ”
ฉินหร่านถอดเสื้อโค้ตและผ้าพันคอออก วางไว้ด้านข้าง
พอนับเวลาแล้วเธอก็เดาว่าพัสดุชิ้นนี้คือหนังสือเล่มดำที่ลู่จือสิงส่งมาให้เธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้แกะ เตรียมหาเวลาว่างเอาไปให้ฉินหลิง
เธอรับชามาจากเฉิงมู่แล้วดื่มไปหนึ่งอึก ปลายนิ้วเรียวบีบกล่องพัสดุอย่างลวกๆ
ฉินหร่านเอนหลังพิงโซฟา หันไปมองเฉิงมู่พลางเลิกคิ้ว กดเสียงถาม “มองฉันทำไม?”
เฉิงมู่ชี้ไปที่กล่องพัสดุในมือฉินหร่านด้วยความแปลกใจ “คุณหนูฉิน นี่คืออะไร?”
ฉินหร่านโยนไปให้เขา ขณะที่วางถ้วยชาลงบนโต๊ะกาแฟก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “ดูเอาเอง”
เฉิงมู่หยิบคัตเตอร์มาแกะกล่องพัสดุ เฉิงจินที่กำลังคุยกับเฉิงเจวี้ยนก็หันมามองเฉิงมู่
เฉิงมู่แกะห่อข้างนอกอย่างระมัดระวัง เขาเห็นเป็นหนังสือเล่มสีดำเล่มหนึ่ง
หน้าปกน่าเกลียดมาก เปิดดูก็มีแต่กองตัวเลขที่ไม่เข้าใจ…
เฉิงมู่ “…”
เขานึกขึ้นมาได้ว่าฉินหร่านเป็นนักแฮกเกอร์
อ่านไม่รู้เรื่อง…
เฉิงมู่ดูหนังสือเล่มนี้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ปิดหนังสือแล้วยื่นให้ฉินหร่านด้วยสีหน้าที่ทั้งว่างเปล่าและเคารพ “คุณหนูฉิน”
**
วันรุ่งขึ้น ในที่สุดก็มาถึงวันเสาร์ที่ชาวเน็ตทุกคนตั้งตารอคอย
เวลาสองทุ่ม
ถิงหลาน
ห้องโถงด้านล่างที่เป็นพื้นที่ของเฉิงมู่ ฉินหร่านนั่งบนพรม มือกอดหมอน เอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางเกียจคร้าน
เฉิงเจวี้ยน เฉิงเวินหรู และพวกเฉิงมู่กำลังนั่งบนโซฟาอย่างพร้อมเพรียง
ตั้งแต่รู้ว่าพื้นที่ห้องของเฉิงมู่มีจอยักษ์เมื่อคราวที่แล้ว เฉิงเวินหรูก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องมาดูที่นี่ให้ได้
เฉิงมู่นั่งริมสุด
เวลา 7.59 น.
เฉิงจินเดินออกมาจากห้องเงียบๆ ถือแก้วน้ำเดินมานั่งริมโซฟาข้างๆ เฉิงมู่อย่างเงียบๆ
เฉิงมู่กัดแผ่นมันฝรั่งทอดกรอบ เงยหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่”
“หือ” เฉิงจินดื่มน้ำไปหนึ่งอึก เขาตอบเฉิงมู่โดยไม่ได้สนใจ
เฉิงมู่กัดแผ่นมันฝรั่งทอดอีกคำโดยไม่พูดอะไร เหลือบมองเฉิงจิน
มีคำพูดปรากฏในแววตา——
เรื่องของพวกผู้หญิง
เฉิงจิน “…”
เขาก้มหน้าดื่มน้ำไปหมดแก้วอย่างเงียบๆ
เวลาสองทุ่ม ช่องหลักทั้งหมดจะออกอากาศพร้อมกันบนแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันออนไลน์
ในตอนต้นของรายการจะมีภาพไตเติ้ล ช่วงภาพไตเติ้ลฉายจะมาพร้อมกับเพลงท่อนหนึ่ง จากนั้นก็จะเป็นชื่อรายการที่เป็นตัวเขียน——ไอดอล24ชั่วโมง
ในเวลาเดียวกัน ซับกระสุนของชาวเน็ตก็แนะนำตัวกันอย่างซุกซน——
(สวัสดีทุกท่าน ขอเชิญรับชมรายการไอดอล8ชั่วโมง)
(ได้เวลาดูไอดอล8ชั่วโมงกันแล้ว)
หลังจากเริ่มฉายเนื้อหาย้อนหลังของสัปดาห์ที่แล้ว รายการก็ตัดไปที่เนื้อหาหลัก
ปล่อยฉากช่วงที่เถียนเซียวเซียวเจอซุปตาร์ฉิน
(ฉันรู้จักพี่สาวตัวน้อยคนนี้ เธอคือคนที่ขึ้นฮอตเสิร์ชเมื่อเดือนที่แล้ว ทุกคนยังจำกันได้ไหม?)
(เถียนเซียวเซียว ฉันรู้จักเธอ พี่สาวคนนี้หน้าตาโดดเด่นมาก ไม่รู้ว่าทำไมไม่ดังสักที!)
(คิดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่เด็กเรียนม.เมืองหลวง แต่เป็นคนในวงการบันเทิง ฉันเดาผิดแล้ว5555555555)
(ทางรายการอาจจะห้ามเด็ดขาดไม่ให้ใครบางคนเชิญเด็กเรียนกลับมาก่อวีรกรรมก็เป็นได้)
(ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ทีมงานสุนัขน่าจะกลัวว่าจะกลายเป็นไอดอล2ชั่วโมง)
บนหน้าจอ สายตาฉินหร่านมองไปที่ท้ายถนน ตอบควีนจิ่งไปส่งๆ ว่า “นักร้อง”
(นักร้อง? เป็นคนในวงการเหมือนกันเหรอ? ทำไมยังไม่ออกมาสักที? มาสายหรือไง?)
(ฉันก็อยากจะดูซิว่าเป็นใคร ไม่คิดว่าจะกล้ามาสายต่อหน้าเทพอัจฉริยะ ซุปตาร์ฉิน ควีนจิ่งและคนอื่นๆ แบบนี้)
ขณะเดียวกัน ทีมรายการก็หันกล้องไปที่ท้ายถนนจากระยะไกล