ด้านนอก เลี่ยวเกาอั๋งที่หันกลับมาหยิบของทำเสียงเข้ม เขาเดินเข้าไปหยิบเครื่องวัดโวลต์มิเตอร์ในมือเธอพลางขมวดคิ้ว “เธอจะทำอะไร?”
ฉินหร่านเอนศีรษะไปข้างหลัง
เธอบีบนิ้วแน่น เนื่องจากผิวเธอขาวจึงเห็นเส้นเอ็นพองขึ้นมา
ด้านนอกประตู จั่วชิวหรงสวมเสื้อผ้าปกติเสร็จแล้วและสวมเสื้อโค้ตสีดำทับ
เธอเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน “นักวิจัยเลี่ยว ฉันเป็นคนให้เธอมาจัดของห้องปฏิบัติการเองค่ะ”
“วันหลังไม่ต้องให้เธอมาจัดในนี้” เลี่ยวเกาอั๋งละสายตา พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เขาเป็นคนสันโดษและเอาแต่ใจ เนื้อหางานวิจัยล้วนเป็นความลับของสถาบันวิจัย ครั้งนี้สุ่มได้นักศึกษาใหม่มาหนึ่งคน อย่าว่าแต่เขาเลย เพราะแม้แต่จั่วชิวหรงกับรุ่นพี่เยี่ยก็คาดไม่ถึง
จั่วชิวหรงพยักหน้า
กฎระเบียบของเลี่ยวเกาอั๋งค่อนข้างเข้มงวด ตารางชีวิตของเขาก็เข้มงวดเหมือนหุ่นยนต์
เขายกมือดูนาฬิกาและออกไปทานข้าว
จั่วชิวหรงกับรุ่นพี่เยี่ยจึงรีบตามไป
รุ่นพี่เยี่ยชะงักเท้า จากนั้นหันมาปลอบใจฉินหร่าน “เธอเพิ่งเข้าห้องปฏิบัติการมาได้ไม่นาน ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ นักวิจัยเลี่ยวเขาก็เป็นแบบนี้แหละ ตอนที่ฉันเข้ามาแรกๆ ก็อย่างนี้ งานวิจัยของเขาสำคัญมาก ดังนั้นของของเขาจึงไม่ให้ใครมาแตะต้องแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอท่องคู่มือเสร็จก็ค่อยๆ ปรับตัวกับห้องปฏิบัติการไปสักพักก่อน อีกสักเดือนก็จะคล่องเอง”
**
ฉินหร่านหยิบผ้าพันคอออกจากห้อง
รถของเฉิงเจวี้ยนจอดอยู่ข้างนอกห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ไม่ไกลมากนัก เขาน่าจะลงจากรถนานแล้ว กำลังนั่งอยู่หน้ารถ รูปร่างสูงโปร่งถือโทรศัพท์ข้างหนึ่งและยันกระโปรงรถข้างหนึ่ง
ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์มีรั้วรอบขอบชิด จึงมีคนสัญจรไม่มาก
เมื่อเห็นคนคนหนึ่งเดินออกมาเพียงคนเดียว เฉิงเจวี้ยนก็เงยหน้าขึ้นมองออกไป เป็นฉินหร่าน แสงไฟถนนด้านนอกสลัวๆ มองเห็นหน้าเธอไม่ค่อยชัด
รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากตัวเธอ
เฉิงเจวี้ยนเลิกคิ้ว เขายืนตรงรอจนเธอเดินมาตรงหน้า กางแขนกอดเธอไว้เต็มอก “มีอะไร?”
เขาเองก็เพิ่งรู้ตอนบ่ายว่าเธอเข้าห้องปฏิบัติการวันนี้
เขาก็เคยเข้าห้องปฏิบัติการอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนนั้นสถานการณ์ต่างจากเธอ เพราะทั้งห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ล้วนเป็นของตระกูลเฉิง เขาเข้าห้องปฏิบัติการตามคำมอบหมายโดยตรง และปล่อยเขาทรมาน
ทว่า…
สถานการณ์ฉินหร่านแตกต่างออกไป เฉิงเจวี้ยนนึกถึงนักวิจัยเลี่ยวที่ฉินหร่านเคยคุยกับเขาก่อนหน้านี้อย่างเงียบๆ
เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาลง เตรียมให้คนไปสืบข้อมูลนักวิจัยเลี่ยว
“เปล่า” ฉินหร่านจับเสื้อเขาแล้วใช้หัวเคาะบนตัวเขา หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ประมาณห้านาทีก็เงยหน้าขึ้น “กลับกันเถอะ”
**
ถิงหลาน
เฉิงเวินหรูกับนายท่านเฉิงก็อยู่ที่นี่ด้วย
วันนี้พ่อครัวเตรียมอาหารตามที่ฉินหร่านสั่งหลังเลิกเรียนเสร็จ แต่ฉินหร่านก็ยังไม่กลับมาเสียที จึงยังไม่เสิร์ฟขึ้นโต๊ะ เฉิงมู่ให้นายท่านเฉิงกับเฉิงเวินหรูกินก่อน แต่ทั้งสองยังไม่อยากกินก่อน
รอจนถึงหนึ่งทุ่มครึ่ง ฉินหร่านกลับมาก็ถึงจะเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ
“หร่านหร่าน วันนี้ไปห้องปฏิบัติการมาแล้วเหรอ?” เฉิงเวินหรูหยิบตะเกียบมองฉินหร่าน
เฉิงเจวี้ยนเงยหน้าขึ้น เหลือบมองเฉิงเวินหรูและพูดอย่างไม่แยแส “ก็ห้องปฏิบัติการน่ะสิ ผมบอกพี่เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เฉิงเวินหรูกลอกตามองเฉิงเจวี้ยนด้วยความอดทน “เปล่า ฉันแค่อยากถามหร่านหร่านว่าได้ติดตามอาจารย์ท่านไหน?”
ขณะที่พูดเธอก็มองไปทางฉินหร่านอีกครั้ง ยิ้มร่า ใบหน้าที่สุภาพเรียบร้อยดูใจดี
คราวนี้เฉิงเจวี้ยนค่อยๆ ตอบเธอว่า “นักวิจัยเลี่ยวเกาอั๋ง เป็นนักวิจัยขั้นพิเศษของสถาบันวิจัย ยังมีอย่างอื่นจะถามอีกไหม?”
เฉิงเวินหรู “…” ฉันตั้งใจจะถามนายหรือไงกัน?
เธอท่องในใจสิบรอบว่าเงินกำลังขาดมือ
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นนักวิจัยขั้นพิเศษ” นายท่านเฉิงก็มีแววตาประหลาดใจเช่นกัน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งมีนักวิจัยขั้นพิเศษเพียงหกคน หนูยังไปเจอพวกเขาเข้าจนได้ โชคดีจริงๆ ”
พ่อบ้านเฉิงคอยเตือนอยู่ข้างๆ “นายท่านครับ โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งมีนักวิจัยขั้นพิเศษห้าคนครับ”
“ไม่ใช่หกเหรอ…” นายท่านเฉิงผงะ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้แล้วพยักหน้า มองฉินหร่านพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย “หร่านหร่าน แสดงความสามารถให้เต็มที่ นักวิจัยเลี่ยวท่านนั้นจะต้องรับหนูเป็นศิษย์แน่ๆ ”
นักวิจัยขั้นพิเศษโดยทั่วไปไม่ใช่ว่าจะรับศิษย์กันง่ายๆ
ในมือพวกเขายังกุมเนื้อหาความลับไว้ส่วนหนึ่ง
แต่ในเวลานี้ พ่อบ้านเฉิงไม่กล้าขัดนายท่านเฉิง เพราะถึงอย่างไรเสีย…เขาก็คิดว่าด้วยคุณสมบัติของฉินหร่าน แม้จะคารวะนักวิจัยขั้นพิเศษเป็นอาจารย์ก็ไม่ได้ทำให้คนแปลกใจอะไรมาก
ปลายนิ้วเฉิงเจวี้ยนบีบตะเกียบ ดวงตากระจ่างใสลืมตาขึ้นมองนายท่านเฉิงอย่างใจเย็น “พ่อ กับข้าวไม่อร่อยเหรอ?”
นายท่านเฉิงผงะ “อร่อย”
เฉิงเจวี้ยนละสายตากลับ ตอบไปอย่างเฉยชา “อ้อ”
คนที่นั่งตรงนั้น ไม่ว่าคนไหนก็ไม่มีสมองนอกจากเฉิงมู่
เขามีปฏิกิริยาภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที รู้ทันทีว่าเฉิงเจวี้ยนเบื่อที่นายท่านเฉิงพูดมาก
หลังจากหงุดหงิดตั้งแต่เฉิงเวินหรูมาจนถึงนายท่านเฉิง ก็ไม่มีใครกล้าพูดสักคน หลังจากกินข้าวเสร็จ พ่อครัวก็เข้ามาเก็บกวาดโดยไม่กล้ามองหน้าเฉิงเจวี้ยนแม้แต่แวบเดียว
“หร่านหร่าน” นายท่านเฉิงยังไม่ไปหลังจากที่กินข้าวเสร็จ เขาประคองถ้วยชา นั่งโซฟาอยู่ตรงข้ามฉินหร่าน
ฉินหร่านกำลังกอดหมอนและหนุนศีรษะไว้บนหมอนพลางหยิบโทรศัพท์มาเปิดวีแชท เมื่อได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น แววตาสุกใสมองไปทางนายท่านเฉิง
นายท่านเฉิงก้มหน้าจิบชา กระแอมเบาๆ “หนูสอบเสร็จแล้ว ยังยุ่งอยู่ไหม?”
“พอได้อยู่ค่ะ” ฉินหร่านเปลี่ยนท่า
นายท่านเฉิงพยักหน้า
และเงียบไปอีกครั้ง
พ่อบ้านเฉิงปากกระตุก จากนั้นมองไปทางเฉิงเวินหรู “คุณหนูใหญ่ เสื้อผ้าที่คุณจองไว้ส่งกลับมาที่บ้านประจำตระกูลแล้วนะครับ”
เฉิงเวินหรูลงไปชมจอยักษ์ของเฉิงมู่ที่ข้างล่างเสร็จแล้ว
ขณะที่กำลังขึ้นมาและได้ยินดังนั้นก็มองพ่อบ้านเฉิงพลางหรี่ตาลง “เสื้อผ้าอะไร?”
“ก็เสื้อผ้าที่คุณหนูจะสวมกลับมาในวันเกิดของนายท่านสัปดาห์หน้าไงล่ะครับ” พ่อบ้านเฉิงตอบด้วยความเคารพ
เฉิงเวินหรูละสายตากลับอย่างเฉยเมย “ฉันเข้าใจแล้ว พ่อคะ หนูเตรียมของขวัญให้พ่อแล้วนะ แต่ถ้าพ่อมีอะไรที่อยากได้ก็บอกหนูได้เลย”
นายท่านเฉิงเหลือบมองเธอ วางมือลงราวกับไม่ค่อยสนใจ “เตรียมของขวัญอะไร ก็แค่วันเกิดเล็กๆ ไม่ใช่ครบรอบห้าสิบปีเสียหน่อย ไม่ต้องหรอก”
ฉินหร่านจิ้มไปที่รูปโปรไฟล์ของลู่จือสิง พอได้ยินที่พวกคุยกันก็เงยหน้าขึ้น
“หร่านหร่าน วันนั้นมีแค่คนในครอบครัวไม่กี่คนและมีหัวหน้าหน่วยที่สนิทๆ ” เฉิงเวินหรูเดินไปหาฉินหร่าน พูดไปด้วยยิ้มไปด้วย “เป็นคนในครอบครัวทั้งนั้น อยากไปเที่ยวบ้านเราไหม บ้านเรายังรักษาสิ่งปลูกสร้างสมัยก่อนด้วยนะ”
ฉินหร่านหรี่ตาลงคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่ได้ตอบตกลงไปชั่วขณะหนึ่ง
นายท่านเฉิงดื่มชาแสร้งทำเป็นสงบ
ใช้เวลาประมาณสองนาทีกว่าจะคิดเสร็จ เธอเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางตื่นตัว “ฃขอดูสถานการณ์ก่อนนะคะ”
ไม่ได้ตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เหมือนยังต่อรองกันได้
เป็นสถานการณ์ที่ดี
ดีกว่าที่นายท่านเฉิงคาดไว้เยอะ
เขาเคยเชิญเธอมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อช่วงเทศกาลก่อนหน้านี้ แต่ฉินหร่านตอบปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด
นายท่านเฉิงยกถ้วยชานั่งต่ออีกสักพักก่อนจะเอามือไพล่หลังแล้วกลับไป
ฉินหร่านยังนั่งที่โซฟาและส่งข้อความให้ลู่จือสิง——
(หนังสือเล่มดำบนหิ้งของคุณยังอยู่ไหม?)
เพื่อนบ้าน——
(? ?)
ฉินหร่านหรี่ตา กลับมาคิดได้สักพักก็กดส่งข้อความไป——
(อวิ๋นเฉิง ร้านคอมพิวเตอร์ แถวที่สองชั้นที่สี่เล่มหกบนชั้นวางหนังสือ
ผ่านไปไม่กี่นาที อีกฝ่ายก็ตอบมา——
(…)
(บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่ามันไม่ใช่หนังสือเล่มดำ)
(นั่นคือหนังสือเขียนโปรแกรมของสมาคมแฮกเกอร์)
ฉินหร่านหรี่ตามองไปที่บรรทัดสุดท้ายของคำและเงียบไปครู่หนึ่ง นั่นคือหนังสือเล่มดำจริงๆ ด้วย ปกสีดำ มีเส้นแนวนอนและแนวตั้งสีขาวทื่อๆ อยู่ไม่กี่เส้นเป็นการตกแต่ง แล้วก็มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวที่วางกระจัดกระจายอยู่ไม่กี่ตัว
black
ตามที่ลู่จือสิงบอก มันคือหนังสือที่กลุ่มนักแฮกเกอร์ศึกษาออกมาโดยเฉพาะ พวกเขาคิดกันเองว่าหน้าปกดูส่งๆ
น่าจะใช้ได้
หนังสือเขียนโปรแกรมของสมาคมแฮกเกอร์ก็หนังสือเขียนโปรแกรมของสมาคมแฮกเกอร์
เธอตอบกลับ——
(ยังมีไหม?)
ลู่จือสิงที่อยู่อีกด้านดันกรอบแว่นตา เคาะแป้นพิมพ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย——
(หนังสือเล่มนั้นยังอยู่ที่หนิงไห่ ฉันเอาหนังสือเล่มใหม่ให้เธอก็ได้นะ ต้องการภายในเวลากี่วัน)
**
ผ่านไปไม่กี่วัน
วันศุกร์
ฉินหร่านเรียนเต็มคาบ พอเรียนช่วงบ่ายเสร็จก็ได้รับข้อความจากอาจารย์ใหญ่สวี
ฉินหร่านคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าอาจารย์ใหญ่สวีน่าจะมอบหมายภารกิจทดลองให้เธอทำ
จึงถือกระเป๋าเป้ไปพบอาจารย์ใหญ่สวี
ในเวลาเดียวกัน
ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์B317 รุ่นพี่เยี่ยก็กำลังรีบร้อนถือกองเอกสารเดินเข้ามาเรียบเรียง “เมื่อวานรุ่นน้องคนนั้นจัดข้อมูลเร็วมากเลยครับ”
รุ่นพี่เยี่ยยื่นข้อมูลให้นักวิจัยเลี่ยว ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขามองจั่วชิวหรง “วันนี้ไม่เห็นรุ่นน้องมาเลย?”
จั่วชิวหรงวางหม้อแปลงไฟฟ้าและกลับไปอ่านบทความของตัวเอง พอได้ยินก็เงยหน้าขึ้นพลางมองออกไปข้างนอก ส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “น่าจะทำใจรับไม่ได้มั้ง”
นักศึกษาที่สอบเข้าภาควิชาฟิสิกส์มหาวิทยาลัยเมืองหลวงล้วนไม่ธรรมดา โดยเฉพาะผู้ที่สอบผ่านเข้าห้องปฏิบัติการได้ก็เหมือนโอรสสวรรค์
แต่ในห้องปฏิบัติการเอง จะไปมีบุคคลนิรนามได้อย่างไร?
ที่แห่งนี้ นอกจากนักวิจัยที่เป็นทางการแล้ว ใครก็มีคุณสมบัติพอที่จะทำตัวหยิ่งยโสอย่างนั้นหรือ?