บทที่ 130 ฟ้าดิน ผู้ปกครอง ญาติมิตร อาจารย์

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 130 ฟ้าดิน ผู้ปกครอง ญาติมิตร อาจารย์
พื้นที่ตระกูลจาง

แผ่นดินแยกลามมาถึงที่นี่ ประเดี๋ยวๆ ก็มีคนถูกรอกแยกกลืนกิน

คนตระกูลจางต่างหรีดร้องร่ำไห้ หนีกระจัดกระจายกันไป เหล่าผู้บำเพ็ญผู้พิทักษ์พวกนั้นยังเอาตัวเองไม่รอด

บ้านเรือนพังถล่ม ญาติมิตรพลักพรากแตกกระสานซ่านเซ็น

สิ่งที่มองเห็นล้วนเป็นความหดหู่น่าเวทนา สิ่งที่หูได้ยินล้วนเป็นเสียงคร่ำครวญโหยไห้

จางหลินชวนเดินไปอย่างเนิบช้าในความวุ่นวาย

ใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดจมูก หลบเลี่ยงฝุ่นควันพวกนั้น

ธรณีพิบัติน่ากลัวเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วเหมือนจะไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งนั้น

สถานการณ์ ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ประดุจนรกบนดิน

โลกใบนี้อันตราย ปั่นป่วน สกปรกโสมม

แต่เขาไม่แปดเปื้อนเลย

เขาแยกตัวเองออกจากทุกอย่างเบื้องหน้า

เขาเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย

“หลินชวน! ช่วยข้า ช่วยพ่อด้วย!”

เขาเดินผ่านประตูบ้านของตัวเอง เห็นบิดากวักมืออย่างแตกตื่นลนลานพอดี รองเท้าหลุดไปข้างหนึ่ง กำลังวิ่งกระย่องกระแย่งไปข้างนอก ใบหน้าไม่เห็นความนิ่งสุขุมอย่างปกติ ตื่นตระหนกหวาดกลัวจนน้ำตานองหน้า

เหล่าบ่าวรับใช้ในจวนก็ไม่มีใครสนใจความน่าเกรงขามของเจ้าตระกูล ต่างพากันหลบหนี

รอยแยกทางหนึ่งแยกคฤหาสน์ตระกูลจางออกเป็นสองฟากฝั่ง มารดากำลังตะโกนร้องไห้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของรอยแยก “หลินชวน เจ้ารีบหนีไปเสีย ไม่ต้องสนใจพวกเรา! รีบหนีไปเสีย!”

จางหลินชวนเพียงแค่กวาดตามองพวกเขาอย่างเรียบเฉย ก็เดินไปข้างหน้าต่อ เดินผ่านประตูไป

ไม่ว่าจะเป็นคำร้องขอความช่วยเหลือหรือความเป็นห่วงเป็นใย คล้ายว่าไม่เกี่ยวกับเขาทั้งนั้น

……

นอกกรมอาญาเมืองเฟิงหลิน หลังรูปปั้นปี้อั้น[1] มีหัวโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง

เป็นหวงอาจ้าน

ก่อนที่รอยแยกแผ่นดินจะแผ่ลามไปทั่วทั้งเมือง

เขาดักซุ่มอยู่ที่นี่ตลอด หรือจะบอกว่า เขาสังเกตสภาพแวดล้อมมาหลายวันแล้วก็ได้

วันนี้เป็นวันที่ฟางเฮ่อหลิงกำหนดว่าจะต้องมารับการสอบปากคำที่กรมอาญา เซียวหน้าเหล็กก็ต้องร่วมเดินทางมาด้วยตามกำหนด

ตอนนี้ก็ใกล้จะสอบปากคำเสร็จ ใกล้จะเดินออกมาแล้ว

ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่หวงอาจ้านทำสถิติรวบรวมมาหลายครั้ง ไม่ผิดพลาดแน่นอน

ส่วนเรื่องที่เขาจะทำนั้นก็ง่ายมาก คือการทำการโจมตีที่เด็ดขาดที่สุดในมุมที่เหมาะที่สุด สุดท้ายก็จะเข้าฟาดหัวของเซียวหน้าเหล็กให้เต็มเหนี่ยว เพื่อที่จะแก้แค้นในอดีต (มีแค่เขาเท่านั้นที่คิดว่าเรื่องนี้ง่าย)

อันที่จริง ‘การประลอง’ หลายต่อหลายครั้งกับเซียงหน้าเหล็กแบบนี้ ไม่ได้เป็นความแค้นแสนสาหัสอะไร

นี่เป็นการละเล่นระหว่างอาจารย์กับนักเรียน หากเขาโชคดีทำสำเร็จ เซียวหน้าเหล็กก็ไม่ได้จะทำอะไรเขา แต่ค่าตอบแทนของความล้มเหลวคือล่อนจ้อนตากลม

หวงอาจ้านคิดเอาเองว่าเป็นชายชาตรีที่เผชิญหน้ากับขั้วอำนานชั่วร้ายก็กล้าหาญไม่ยอมจำนน ส่วนเซียวหน้าเหล็กก็เป็นขั้วอำนาจชั่วร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ

อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาจะต้องแก้แค้นเอาคืนให้ได้

เขาพยายามมาหลายครั้ง ล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่เขาหวงอาจ้านยึดมั่นไม่ย่อท้อ

จากการวิเคราะห์ตำราพิชัยยุทธ์ เซียวหน้าเหล็กคิดให้ตายก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนลอบโจมตีเขาที่หน้าประตูกรมอาญา นี่เรียกว่าโจมตีอย่างไม่ทันคาดคิด โจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว

และเขาก็เตรียมตัวมานานขนาดนี้ เตรียมแผนการต่างๆ นานา นี่เรียกว่า รอซ้ำยามเปลี้ย วางแผนอย่างดีเพื่อโจมตีคนที่ไม่ได้ตั้งตัว

ในด้านพิชัยยุทธ์เขาชนะแน่แล้ว!

สรุปแล้วทุกเรื่องเตรียมเอาไว้เรียบร้อย

จากนั้น…

ธรณีพิบัติก็เกิดขึ้น

เหนือกว่าการคาดคิดทุกอย่างของเขา ไม่มีแผนรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้เลย

เขาไม่รู้ว่าควรจะมุ่งมั่นดักซุ่มต่อไปหรือรีบหนีไปในทันที

แผ่นดินแยกออก สิ่งก่อสร้างของทั้งกรมอาญาพังทลายข้างหลังเขา

จากนั้นเขาก็เห็นผู้บำเพ็ญกรมอาญาพุ่งออกมาราวฝูงผึ้ง ทั้งยังกระจายไปทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็ว

“ผู้บำเพ็ญที่เชี่ยวชาญวิชาเต๋าธาตุดินพยายามผสานรอยแยกแผ่นดิน! กลุ่มที่มีความเร็วที่สุดตามข้าไปทางเหนือ ที่นั่นคนเยอะที่สุด!”

ซ่านฉาหัวหน้ากรมอาญากระโดดขึ้นไปกลางฟ้าสูง บัญชาการการเข้าช่วยเหลือเสียงดัง

พูดแล้วก็นำหน้า พุ่งไปทางเหนืออย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ก็มีผู้บำเพ็ญกรมอาญาวิ่งพุ่งเข้ามา หอบแฮ่กๆ รายงานขึ้นว่า “หัวหน้า ตระกูลเจ้าทางนั้น…”

“ตระกูลเจ้ามารดาเจ้าสิ!” ซ่านฉาตบหน้าเขากระเด็น “ไปช่วยคนก่อน!”

……

ในขณะเดียวกับที่ผู้บำเพ็ญกรมอาญากระจายกันออกไปช่วยเหลือ เซียวหน้าเหล็กก็หิ้วฟางเฮ่อหลิงพุ่งออกมา

เพียงแวบเดียวก็เห็นหวงอาจ้านที่อึ้งตะลึงงัน

จึงบริภาษออกไปว่า “มัวแต่อึ้งอยู่ทำไม รีบไปช่วยคน!”

ตอนนี้เขายังไม่รู้ระดับและขอบเขตของธรณีพิบัติครั้งนี้ แต่ยึดมั่นด้วยความคิดที่คิดว่าผู้บำเพ็ญควรจะต้านภัยพิบัติเพื่อคนธรรมดา นี่เป็นปณิธานที่เขากรอกให้กับนักเรียนในฐานะอาจารย์มาโดยตลอด และเป็นสิ่งที่เขายึดมั่นด้วยเช่นกัน

เขาพูดพลางปล่อยฟางเฮ่อหลิง สั่งไปว่า “ตอนนี้ข้าจะกลับสำนักเต๋าจัดนักเรียนไปช่วยเหลือ หวงอาจ้านไปทางเหนือ ฟางเฮ่อหลิงไปทางใต้ ให้ความร่วมมือกับกรมอาญา กองทัพประจำเมืองช่วยผู้คน เร็วเข้า!”

“อ๋า? อ้อ!” หวงอาจ้านอึ้งงงงัน ในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าไม่คิดจะลอบโจมตีแก้แค้นอะไรแล้ว หมุนตัวออกไปช่วยคนทันที

ฟางเฮ่อหลิงกลับพูดขึ้นมาว่า “ไม่จำเป็นแล้ว”

เซียวหน้าเหล็กขมวดคิ้วหันกลับมา กลับรู้สึกว่าหัวใจเจ็บขึ้นมา

ดาบเพลิงที่ลุกโชนไปด้วยไฟเล่มหนึ่งแทงเข้ามาที่หัวใจเขา นี่เป็นวิชาเต๋าสำแดงเสี้ยวพริบตาที่ฟางเฮ่อหลิงสลักเอาไว้หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ขั้นวัฏจักรดารา ตอนนั้นก็เป็นเพราะสำแดงวิชานี้ช้าไปก้าวหนึ่งถึงได้ถูกเจียงวั่งล้มต่อหน้าผู้คน

ฟางเฮ่อหลิงปล่อยดาบเพลิง หัวเราะพลางรู้สึกเหมือนยกเขาออกจากอก “วันที่ข้ารอวันนี้ในที่สุดก็มาถึงเสียที”

“เจ้า…มีปัญหาจริงๆ ด้วย!” เซียวหน้าเหล็กโกรธเดือดดาลซัดฝ่ามือ ฟางเฮ่อหลิงกลับลอยถอยออกไปไกลตั้งนานแล้ว

ฝ่ามือของเขาซัดไปกลางอากาศ วิชาเต๋าหลอมรวมได้เพียงครึ่งเดียวก็สลายไป คนทั้งคนล้มไปบนพื้น

ความน่าสงสัยในตัวฟางเฮ่อหลิงไม่ได้ถูกล้างมลทิน แต่กลับสงบนิ่งเยือกเย็นมาโดยตลอด

ต่งเออไม่แตะเขาหลีกเลี่ยงไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น กรมอาญาแตะเขาไม่ได้เพราะหลักฐานไม่พอ สำนักเต๋าปกป้อง ส่วนพรรคกระดูกขาวใช้เขาเพื่อเป็นตัวล่อ

เซียวหน้าเหล็กไม่รู้เรื่องการสมคบคิดในนี้ ปกป้องเขาด้วยความคิดที่ว่าเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่มีต่อนักเรียน กระทั่งว่าทันทีที่เกิดภัยพิบัติขึ้นก็ช่วยเขาออกมา

สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

ทว่าเพราะความไม่สอดคล้องของข้อมูล ทำให้เขาไม่ระวังฟางเฮ่อหลิงเลย

กลับคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาตายเพราะเรื่องนี้

อายุในปีนั้นคือสี่สิบเอ็ดปี

……

หวงอาจ้านเห็นภาพฉากนี้หนังตาก็กระตุกไม่หยุด

เขาเกลียดเซียวหน้าเหล็กก็จริง

อาจารย์ที่เข้มงวดที่สุดของทั้งสำนักเต๋า ไม่มีนักเรียนคนไหนไม่เกลียดเขา

เพียงแต่ไม่กล้าต่อกรซึ่งหน้าก็เท่านั้น

ใช่ เขาอยากอัดเซียวหน้าเหล็กให้เละ อัดให้หน้าบวมเขียวช้ำ ซัดให้ลงจากเตียงไม่ได้ ฟาดให้ยิ่งหนักยิ่งดี

แต่ฆ่าเขา?

หวงอาจ้านไม่เคยคิดมาก่อน

เซียวหน้าเหล็กน่ารังเกียจ แต่เขาก็เป็นอาจารย์ที่จริงจังที่สุด มีความรับผิดชอบที่สุด

ไม่ว่าใคร ไม่ว่าเวลาไหน ไม่ว่ามีข้อสงสัยอะไรไปหาเขา เขาไม่มีทางตอบคำถามอย่างส่งๆ เด็ดขาด

แม้อาจจะด่าว่าเขาโง่ อาจจะใช้ไม้เรียวฟาด อาจเขกหัว กระทั่งว่าอาจจะจับแขวนให้ทุกคนดู

แต่เซียวหน้าเหล็กไม่เคยคิดร้าย

เขาหวังดีกับนักเรียนจริงๆ

ต่อให้ไม่ชอบวิธีการสอนของเขาอย่างไร ก็ไม่อาจปฏิเสธความทุ่มเทตั้งใจของเขาได้

ทว่าตอนนี้เขาตายไปอย่างกะทันหัน ในตอนที่เขาเตรียมกลับสำนักเต๋าเพื่อเรียกรวมนักเรียนไปช่วยเหลือภัยพิบัติ ถูกนักเรียนอีกคนหนึ่งที่ช่วยออกมากับมือตัวเองฆ่าตาย

นี่มันคือเหตุผลอะไรกัน

“เจ้าเสือพูดไม่ผิดเลย มารดามันสิ แกมันเป็นคนที่น่ารังเกียจจริงๆ!”

หวงอาจ้านมองฟางเฮ่อหลิง สะบัดมือยิงลูกไฟออกไปสองกลุ่ม ตามติดไปข้างหลัง พุ่งโจมตีออกไป

“แกเป็นตัวอะไร” ฟางเฮ่อหลิงตอบกลับไปอย่างเย็นชายื่นมือออกไปหลอมดาบเพลิงออกมา ก้าวเท้าฟันออกไป

ลูกไฟสองลูกเข้าปะทะในพริบตา ระเบิดตัวทันทีก่อนฟางเฮ่อหลิงจะเข้ามาใกล้!

เบื้องหน้าพร่าเลือน ท่ามกลางสะเก็ดไฟท่วมฟ้า หวงอาจ้านเงื้อดาบเพลิงสูง พุ่งลงมาจากฟ้า

ฟางเฮ่อหลิงวาดดาบรับมือ

เพราะการเสริมพลังจากรากพลังเต๋า ดาบเพลิงสองเล่มเข้าปะทะ ส่งเสียงก้องกังวานออกมา

ท่ามกลางความรีบร้อน ฟางเฮ่อหลิงถูกฟันถอยไปครึ่งก้าว หวงอาจ้านยกขาถีบออกไป เตะเขากระเด็นไปหลายจั้ง

จุดที่ร่วงลงไปคิดรอยแยกแผ่นดินที่แตกออกพอดี อิฐแหลกละเอียด เส้นทางยุบลงไป

ฟางเฮ่อหลิงคว้าพื้นเอาไว้ อาศัยแรงเหวี่ยงถึงได้ทะยานตัวขึ้นมา เผชิญหน้ากับหวงอาจ้านอีกครั้ง

เขาตื่นตะลึง!

ในกลุ่มของเจียงวั่งกลุ่มนั้น คนที่เขาสนใจที่สุดคือเจียงวั่ง คนที่ระแวดระวังหวาดกลัวที่สุดคือตู้เหยี่ยหู่ที่อารมณ์ฉุนเฉียว

แต่สำหรับหวงอาจ้านคนนี้ แม้จะเป็นศิษย์พี่รุ่นที่แล้ว เขากลับดูถูกมาโดยตลอด ทั้งวันทำตัวตลก เป็นคนที่ถ้าไม่ประจบประแจงยกยอปอปั้นก็เป็นคนไร้สมองรนหาที่ มีอะไรควรค่าแก่การให้ความสำคัญ

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ภายใต้การโจมตีของเขาแทบจะไร้กำลังตอบโต้!

หวงอาจ้านถือดาบเพลิง เข้าปะทะกับฟางเฮ่อหลิงโดยมีรอกแยกแผ่นดินขวางกั้น

ในตอนนี้เอง พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงดังแว่วลอยมา เสียงนั่นเหมือนร้องเพลงเหมือนท่องกลอน ท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหวจากแผ่นดินแยกและร้องไห้คร่ำครวญโหยหวนสะเทือนฟ้าดิน ก็ยังคงดังไปทั่วเมืองอย่างชัดเจน

“ฟ้าดินไร้จิตใจ ผู้ปกครองไร้กรุณา ญาติไร้บุญคุณ บุญคุณอาจารย์กลายเป็นความแค้น!”

………………………………………………………

[1] ปี้อั้น ลูกตัวที่ 7 ของมังกร มีลักษณะคล้ายเสือ รักความยุติธรรม มีอำนาจน่าเกรงขาม มักจะวาดรูปของปี้อัน หรือมีของประดับตบแต่งไว้ตามประตูคุก กรมราชทัณฑ์