บทที่ 131 ปลิดชีพ

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 131 ปลิดชีพ
“ความไม่แน่นอนแห่งห้าสัมพันธ์[1] อารมณ์ทั้งเจ็ด[2]ดับสูญ! ย่ำประตูแห่งความเป็นตายของข้า คลุมผ้าขาวดำของข้า”

จากเสียงที่ขยายกว้างขึ้น เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า

ผู้อาวุโสรองของสำนักกระดูกขาว ลู่เหยี่ยน!

เสื้อผ้า รูปร่างของเขา…ทั้งหมดถูกมองข้าม มีเพียงดวงตาที่เหลือเพียงสีขาวทั้งคู่ของเขาเท่านั้นที่ยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ

“ปณิธานเก่าก่อนที่จะสังหารข้า บุคคลที่จะก้าวข้ามข้าไป!”

ผู้ฝึกตนเมื่อฝึกบำเพ็ญถึงระดับหนึ่งจะสามารถสัมผัสได้ว่า ทั้งเขตเมืองเฟิงหลิน ดวงวิญญาณที่ตายไปทั้งหมด รวมไปถึงอารมณ์ด้านลบเหล่านั้น ความพรั่นพรึงจากความตาย ความโกรธแค้นที่เผชิญหน้ากับความตาย…ล้วนเข้ามารวมยังสถานที่เดียวกันรางๆ

คนทั้งหมดที่เห็นฉากนี้ล้วนเข้าใจ

แผ่นดินไหว…เป็นแค่จุดเริ่มต้น!

เสียงหวีดหวิว เสียงหวีดหวิวลึกอะไรบางอย่าง

ผู้คนมองเห็น เว่ยชวี่จี๋ลอยขึ้นจากพื้น เข้าประจันหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับสี่หอนอก

พายุหมุนคำรามพันรัดตัวเขา เสียงหวีดหวิวลึกก็ปรากฏออกมาในตอนนี้เช่นกัน

มันคือสายลมเต๋าประดุจใบมีดที่ร่วงหล่นลงมาด้วยความเร็วจากท้องฟ้าสูงลิบ!

สายลมอบอุ่นสาดพร่างโลกมนุษย์ สายลมเต๋ากลับอยู่บนท้องฟ้าอันสูงส่ง

การปะทะกันครั้งที่แล้วก่อนหน้านี้ ลู่เหยี่ยนซัดหนึ่งหมัดจนเว่ยชวี่จี๋บาดเจ็บ แต่เว่ยชวี่จี๋เองก็ไม่ใช่จะไม่ทิ้งอะไรไว้

ลมเต๋าที่ถูกเรียกลงมาเวลานี้ คือวิธีสำคัญที่เขาคิดจะใช้เพื่อตัดสินแพ้ชนะ

ในเขตเมืองเฟิงหลิน

ใช้ระดับอวัยวะภายในต่อสู้กับระดับหอนอก เว่ยชวี่จี๋อย่างเขาทำไมถึงจะไม่ลองเสียหน่อย

การต่อสู้บนท้องฟ้าหวงอาจ้านทำอะไรไม่ได้ จึงไม่คิดไปสนใจ

พอหลังเท้าแตะพื้น ทั้งร่างก็กระโจนผ่านร่องพสุธา ฟาดฟันดาบเพลิงไปทางฟางเฮ่อหลิง

“ศิษย์พี่หวง เมืองเฟิงหลินจบสิ้นแล้ว! สู้ละทิ้งความมืดเข้าหาแสงสว่างจะดีกว่า!” ฟางเฮ่อหลิงฟาดดาบกลับเข้าต้านทาน

ตอนนี้เขาถึงคิดขึ้นมาได้ว่าหวงอาจ้านเป็นศิษย์พี่ เพิ่งคิดที่จะมาเชื่อมสัมพันธ์

ทั้งสองคนล้วนฝึกบำเพ็ญวิชาเต๋าสายเพลิง พลังปราณธาตุไฟกระสับกระส่าย จนทำให้หินหนืดในร่องดินขยับขึ้นอย่างไม่สงบ

หวงอาจ้านยิ่งโมโหมากขึ้น ต่อสู้พลางด่าทอ “แสงสว่างบ้าบออะไรของเจ้า! เจ้าโง่เศษขนไก่![3]”

นี่เป็นคำเรียกเหยียดๆ ต่อฟางเฮ่อหลิงในใจของเขา แต่ก็ไม่เคยพูดต่อหน้าเสียที

ฟางเฮ่อหลิงระเบิดขึ้นมา สลายดาบเพลิงออก สองมือถูกัน พันศรขนนกวิชาเต๋าที่สืบทอดในตระกูลพุ่งฝ่าอากาศออกไป

โพละ!

กระสุนเพลิงลูกหนึ่งระเบิดออกจากในกลางศรขนนก คลื่นเพลิงที่กระจายออกผลักศรขนนกเหล่านี้ออกจนเอียงกะเทเร่

การควบคุมที่แม่นยำเหล่านี้ ได้รับมาจากการชี้แนะของหลีเจี้ยนชิว

หวงอาจ้านลอดผ่านศูนย์กลางศรขนนก ดาบเพลิงในมือทะยานออก ประกบปางเต๋าเสร็จสิ้น สาดระเบิดเพลิงราวสายฝนขึ้นในพริบตา!

หลีเจี้ยนชิวเคยพูดไว้ เส้นทางที่หวงอาจ้านเดินใกล้เคียงกับเสิ่นหนานชี เสิ่นหนานชีมีชื่อเสียงขึ้นจากศรแสงทองมือเดียว ส่วนเขาค้นคว้าด้านระเบิดเพลิง พลานุภาพก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

ฟางเฮ่อหลิงคิดไม่ถึง พันศรขนนกที่ถูกมองว่าเป็นวิชาสังหารมาตั้งแต่เด็กจะถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ และในสายตาของเขา ระเบิดเพลิงมืดฟ้ามัวดินก็ออกมาแน่นขนัดไปหมด

ตูม!

เปรี๊ยะๆๆๆๆ!

กำแพงดินสามชั้นปรากฏขึ้นด้านหน้าฟางเฮ่อหลิง ระเบิดเพลิงวนล้อมระเบิดตูมขึ้นบนกำแพงดิน

พอถูกสกัดขวางเช่นนี้ ฟางเฮ่อหลิงจึงต้องหนีอย่างซมซาน

และหวงอาจ้านที่คิดว่าตัดสินแพ้ชนะไปแล้ว กลับถูกกำปั้นที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันซัดจนร่วงไปบนพื้น

และบนพื้นก็ปรากฏหลุมหนึ่งขึ้นอย่างพอดิบพอดี หลังจากที่หวงอาจ้านร่วงลงไปก็กลบฝังตัวเขาจนเหลือเพียงศีรษะยื่นออกมา

“ท่านพ่อ? ผู้พิทักษ์หลี่?” ฟางเฮ่อหลิงมองคนสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างตกตะลึง

คนหนึ่งคือบิดาที่ถูกจำกัดบริเวณอยู่ในศาลบรรพบุรุษ อีกคนคือผู้พิทักษ์หลี่คนที่คอยฝึกฝนวิชาเต๋าอยู่กับเขาตอนยังอยู่ระดับเคลื่อนชีพจร ซึ่งพลังของเขาควรจะอยู่เพียงระดับเคลื่อนชีพจร

ทว่าเวลานี้ บิดาปรากฏตัวที่นี่ ผู้พิทักษ์หลี่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ซ้ำยังสะกดหวงอาจ้านเอาไว้ได้ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการลอบโจมตี แต่พลังเช่นนี้จะเป็นเพียงระดับเคลื่อนชีพจรได้อย่างไร

แล้วตนเองตอนนั้นแย่งอำนาจสำเร็จมาได้อย่างไรกัน

ฟางเฮ่อหลิงพบว่าเขาไม่ได้เข้าใจตัวตนของบิดาอย่างแท้จริงเลย

“ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว” ฟางเจ๋อโฮ่วหอบหายใจเอ่ยต่อว่า “ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ พวกเรารีบออกจากที่นี่ไปพร้อมลุงหลี่ก่อนเถอะ ของที่อยู่ในเมืองเฟิงหลินเอาไปไม่ได้แล้ว ธุรกิจทางรัฐอวิ๋นฝั่งนั้นยังไม่จบสิ้น พวกเราไปนำเงินที่รัฐอวิ๋นแล้วค่อยออกไปแล้วกัน!”

ตอนที่ฟางเฮ่อหลิงกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของหวงอาจ้านตะโกนขึ้นมา “ศิษย์พี่จาง! ศิษย์พี่จาง! ท่านมาพอดีเลย ไม่ต้องสนใจข้า รีบสังหารพวกของฟางเฮ่อหลิงเร็ว! พวกเขาเป็นพวกเดียวกับพวกวิถีชั่วร้าย เขาสังหารอาจารย์เซียวไปแล้ว!”

พ่อลูกฟางเจ๋อโฮ่วหันหน้าขวับ และได้เห็นจางหลินชวนที่กำลังเดินแช่มช้าเข้ามาจริงๆ

พื้นที่ตระกูลจางอยู่ใกล้กับกรมอาญามาก เดินออกจากพื้นที่ตระกูลเพียงไม่นานก็มาถึงที่นี่

ผู้พิทักษ์หลี่ไม่พูดไม่จา ออกมายืนอยู่ด้านหน้าพ่อลูกฟางเจ๋อโฮ่ว

ฟางเฮ่อหลิงตะโกน “ศิษย์พี่จาง! ท่านฟังข้าก่อน! เมืองเฟิงหลินจบสิ้นแล้ว เขตปกครองแม่น้ำชิงก็รักษาไว้ไม่ได้ การล่มสลายของรัฐจวงคงจะอีกไม่กี่วันแล้ว! อัจฉริยะอย่างท่าน จะมาผูกอยู่กับเรือที่กำลังจะจมทำไมกัน

พลังของสำนักกระดูกขาวท่านเองก็เห็นมาแล้ว ยอดฝีมือที่แท้จริงยังไม่ปรากฏตัวเลย เว่ยชวี่จี๋ก็ถูกสะกดเล่นงานไปแล้ว! ต่งเออเองก็ไม่กล้าออกมา! ข้ามีความสัมพันธ์กับระดับสูงของสำนักกระดูกขาวอยู่ ข้าช่วยแนะนำให้ท่านได้ ด้วยความอัจฉริยะของศิษย์พี่ หมดกังวลเรื่องตำแหน่งที่ไม่ดีได้เลย!”

หวงอาจ้านถูกผนึกพลังรากเต๋า ถูกพันธนาการตัว มีเพียงศีรษะที่ยังขยับได้ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ “ถุด! ศิษย์พี่จางหลินชวนเป็นตัวตนระดับไหน คิดว่าจะถูกเจ้ามอมเมาได้หรือ”

จางหลินชวนฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “เจ้าสำนักต่งอยู่ที่ไหน”

ทั้งสองฝั่งตกตะลึง

“ช่างเถอะ” จางหลินชวนหันหลังกลับอย่างรีบร้อน “ไม่ต้องสนใจข้า พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ”

“ไป!” ฟางเจ๋อโฮ่วดึงตัวฟางเฮ่อหลิง

เขายอมให้ฟางเฮ่อหลิงแย่งอำนาจไป ตนเองซ่อนอยู่ด้านหลัง คอยเตรียมการส่วนที่เหลือให้กับลูกชาย

แต่ไม่คิดว่าสำนักกระดูกขาวจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่ทำลายแค่ตระกูลฟาง แต่นี่จะทำลายทั้งเมืองเฟิงหลิน

ผู้พิทักษ์หลี่เป็นเหมือนคนในครอบครัวเขา ซื่อสัตย์ เดิมทีคิดจะพาเขาหนี แต่สิ่งแรกที่คิดออกก็ยังคงเป็นลูกชายของตนเอง ดังนั้นจึงฝ่าอันตรายเข้ามา เพื่อที่จะพาฟางเฮ่อหลิงหนีไปด้วยกัน

ตอนที่เห็นจางหลินชวนเขาก็สิ้นหวังไปแล้ว แต่ว่าจางหลินชวนกลับจากไปโดยไม่สนใจ ยิ่งทำให้ความหวังของเขาจุดขึ้นอีกครั้ง

ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ กิจการตระกูลยังแย่งชิงคืนมาได้ ความร่ำรวยยังฟื้นฟูกลับมาได้

ถ้าเวลานี้ยังไม่หนี แล้วต้องรอถึงเมื่อไรกัน

ทว่าฟางเฮ่อหลิงสะบัดตัวบิดาออก ควบรวมดาบเปลวเพลิง เดินตรงเข้าไปหาหวงอาจ้านที่ถูกฝังอยู่ในดิน

หลังจากผ่านเรื่องต่างๆ มามากมาย ฟางเฮ่อหลิงเวลานี้ ไม่ใช่เด็กน้อยที่คอยจ้องมองลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างขลาดกลัวคนนั้นอีกแล้ว

เขามีความคิดและการตัดสินใจของตนเอง

“เจ้าไม่ใช่คิดจะสังหารข้าหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าจะล้างแค้นให้กับเซียวหน้าเหล็กหรือ”

เขาสาวเท้าเดินมาตรงหน้าหวงอาจ้าน ดาบเปลวเพลิงเอียงขึ้นสูง

หวงอาจ้านไม่ได้มองเขา แต่มองไปยังแผ่นหลังของจางหลินชวนที่เดินเตร่จากไป

ไม่รู้เพราะอะไร ในช่วงเวลาสุดท้ายเช่นนี้ เขากลับคิดถึงประโยคเหน็บแนมประโยคหนึ่ง

“ข้ายังเคยเอาอกเอาใจท่านอยู่เลย…แต่ท่านดันไม่สนใจข้าเสียอย่างนั้น!”

ฉัวะ!

ดาบเปลวเพลิงฟันลงมา สลายหายไป

ศีรษะหลุดกลิ้งลงมา

ในอากาศ ราวกับยังได้กลิ่นเกรียมจากเปลวไฟที่เผาไหม้เลือดเนื้อ

หวงอาจ้าน เสียชีวิต

ด้วยอายุ ยี่สิบปี

ตูม!

เงาร่างหนึ่งร่วงลงมาอย่างรุนแรงจากกลางอากาศ

กระแทกเข้ากับศูนย์กลางจวนเจ้าเมือง

ผู้ฝึกตนระดับอวัยวะภายในที่ยังไม่ทันสืบค้นเจอเมล็ดพันธุ์พลังวิเศษคนหนึ่ง เผชิญหน้าอยู่กับผู้แข็งแกร่งระดับหอนอกขั้นสูงสุด

จะต้านทานได้สักแค่ไหน

เว่ยชวี่จี๋ให้คำตอบออกมา

หนึ่งเค่อ

เป็นหนึ่งเค่อที่แทบจะเผาผลาญพลังชีวิต

แต่เป็นเพียงการยืดเวลาหนึ่งเค่อให้กับดวงวิญญาณทั่วทั้งเขตเมืองเฟิงหลินเท่านั้น

เขาในตอนนี้ยังไม่เข้าใจ ว่าทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินถูกค่ายกลขนาดใหญ่ปิดผนึกไว้แล้ว คนยังสามารถเข้าออกได้ แต่ดวงวิญญาณทำได้เพียงล่องลอยอยู่ในเขตเมืองเท่านั้น

ผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง พอค่ายกลรวมกันเสร็จสิ้น ใครก็ไม่สามารถออกไปได้อีก

ยอดฝีมือของสำนักกระดูกขาวลงมือจนหมด ในจวนเจ้าเมืองของเขาก็ไม่เหลือคนที่ว่างเลย

แต่ก็ไม่มีใครที่จะสอดมือมายุ่งกับการต่อสู้ระดับนี้ได้อยู่แล้ว

ต่งเออ…หายไปไร้ร่องรอย

เว่ยชวี่จี๋กระอักเลือด ลุกขึ้นยืนบนพื้นดินช้าๆ

เขาไม่ใช่คนที่ชอบพล่ามอะไรไร้สาระ เขาแข็งกร้าว เห็นแก่ตัว ดันทุรัง

เรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่เย็นชา กระทั่งถึงขั้นดุร้าย

แต่นี่คืออาณาบริเวณปกครองของเขา เป็นเมืองของเขา

เขา เจ้าของแห่งเขตเมืองเฟิงหลิน

ต้องลุกขึ้นยืน แบกรับหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง

……………………………………….

[1] ห้าสัมพันธ์ คือห้าความสัมพันธ์ในสมัยจีนโบราณ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ราชาขุนนาง บิดาบุตร พี่น้อง สามีภรรยา และเพื่อน

[2] อารมณ์ทั้งเจ็ดคือ ชอบ โกรธ โศก หวาดกลัว รัก ชั่วร้าย และความอยาก

[3] ขนไก่ ในภาษาจีนเอาไว้ต่อว่าคนที่เล็กจ้อยจนแทบจะไม่มีค่าอะไร