กลางหุบเขาเงียบสงัดดุจวายชนม์
ทุกคนถูกการซักถามที่รวดเร็วรุนแรงติดต่อกันนี้ ถูกความลับใหญ่โตน่าตกใจที่แฝงไว้ในการซักถามครั้งนี้ ทำให้ตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ
ท้องฟ้าพลันมีหิมะละเอียดลอยลงมา
การลั่นถามที่ปราณแท้สาดซัดติดต่อกันพลันฉีกกระชากไอควันเบื้องบน ทำให้หิมะตกลงในหุบเขาแห่งนี้เป็นครั้งแรก
บางครั้งความองอาจไม่สูญสิ้น ความโศกเศร้าไม่สูญสิ้น คร่ำครวญถึงสวรรค์ รังสรรค์การโต้ตอบ
เกล็ดหิมะเย็นเยียบร่วงกระทบบนใบหน้า เพิ่งปลุกทุกคนให้ตื่นฟื้นจากความรู้สึกตกตะลึงในยามนี้
มีคนร้องลั่นออกมาอย่างบ้าคลั่ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“หยกขาวแกนทองคำ ขุนพลน้อยหลงเฉิง! เจ้าคือเผย…”
“ฆ่า!” เสียงแสบแก้วหูของเขาขัดจังหวะการตะโกนวาจานั้น
สมญานามยามก่อน แม้แต่ตนเองยังไม่อยากฟังอีกต่อไป ทุกครั้งยามได้ยินล้วนแต่เป็นแผลเก่าปริแตก เกิดเป็นแผลใหม่เกิดขึ้น เป็นการมองโลหิตแดงฉานท่วมท้นผ่านความรุ่งเรืองยามอดีตท่ามกลางสภาพสิ้นหวัง พอหันหน้ากลับมาอีกครั้งทั้งหุบเขาพลันว่างเปล่า
ไม่ ไม่อยากฟัง
อดีตไม่อาจหวนคืน ไร้หนทางที่จะไถ่ถอน ให้โลหิตแดงฉานในวันนี้ชำระล้างความทรงจำที่ไม่ควรมีอยู่
“ฆ่า!” เหล่าเงาคำรามลั่นโดยพร้อมเพรียง เงาร่างกะพริบวูบอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สิ้นหวังเหล่านายกองบรรดาศักดิ์กลับค้นพบว่าท่าร่างของพวกเขาเร็วขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้อยู่เท่าหนึ่ง ระหว่างเคลื่อนไหวแฝงด้วยกระบวนทัพ
ส่วนพวกเขานั้น พิษใกล้ออกฤทธิ์ อ่อนล้าถึงขีดสุด
“เตรียมพร้อม ถอยหลัง!” ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นออกคำสั่งบัญชาการเช่นเคย เพียงแต่เสียงมีความโศกเศร้ายามทุ่มสุดกำลังด้วย
คนเบื้องหน้าผู้นี้ไม่ใช่ผี ไม่ใช่เงาปีศาจ ทว่าน่ากลัวยิ่งกว่าผียิ่งกว่าเงาปีศาจ โด่งดังตั้งแต่เยาว์วัย สมญาสะเทือนโลกหล้า เรืองนามเคียงคู่สมุหราชองครักษ์อวี้จ้าว เทพสงครามรุ่นใหม่ที่ชนะศึกติดต่อกัน แม้แต่ราชครูยังเคยชมเชยว่า ‘เอ่ยถึงยุทธวิธี เผยซูได้รับพรสวรรค์จากเบื้องบน เอ่ยได้ว่าอันดับหนึ่ง’ ยามนั้นดวงดาวตกจากฟากฟ้า สาวน้อยเผ่าหวงจินมากเพียงใดร้องไห้หน้าประตู
นายกองบรรดาศักดิ์ไม่เคยยอมแพ้แต่รู้จุดจบอยู่ในใจ คนเช่นเผยซูนี้ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพแวดล้อมใดย่อมเกิดใหม่ได้ ทุกผู้คนไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาโดยแท้
ไอสังหารโหมกระหน่ำ
โลหิตใกล้ย้อมปฐพีให้แดงฉาน
ข้างบนพลันมีคนเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เด็ดตะไคร่น้ำสีฟ้าอ่อนข้างกาย ยัดปากเจ้าคนชอบหัวเราะมั่วซั่วผู้นั้น!”
เผยซูเงยหน้าโดยพลัน
ข้างบนหมอกหนาไร้เงาคน
ทว่าเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ดุจได้รับโองการสวรรค์ ทยอยหันกายคว้าตะไคร่น้ำสีฟ้าอ่อนนั้นกำหนึ่ง แน่นอนว่าไม่กล้ายัดปากเผยซู พากันทยอยสะสมกำลัง โปรยไปบนใบหน้าศัตรูตรงหน้า
คนเหล่านี้หลีกเลี่ยงเสียยิ่งกว่าหญ้าหน้าผีที่มองเห็นก่อนหน้านี้จริงด้วย คล้ายกลัวจะสูดดมแม้เพียงเสี้ยว ทยอยถอยหลัง บางคนตวาดว่า “พวกเจ้ารนหาที่ตาย!”
“ข้างบนคือผู้ใด!” เผยซูพลันหัวเราะเยาะ โบกมือให้เหล่าเงาถอยชั่วคราว เรือนร่างพลิกเพียงครั้ง เฉียดเข้ากำแพงภูเขากลางหมอกหนาแล้ว
เรือนร่างเขาดุจอสนีบาต เห็นเพียงหมอกหนาถูกนำพาตรงแน่วขึ้นไป เงาคนสีเทาดั่งหนามเสียดแทงสู่ท้องฟ้าสีคราม
แต่เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวลงมาจากท้องฟ้าสีครามแล้ว
เพียงชั่วขณะนี้ เหล่านายกองบรรดาศักดิ์ทยอยล้มลง มือที่คว้าตะไคร่น้ำสีฟ้าอ่อนกลายเป็นสีเขียวครามน่าตกตะลึงทั้งหมดแล้ว!
ตะไคร่น้ำสีฟ้าอ่อนนี้ต่างหากที่เป็นบรรพบุรุษแห่งหมื่นพิษของหุบเขาเทียนฮุยนี้!
“ท่าน…” ชายร่างสูงใหญ่ที่นำหน้าผู้นั้น เงยหน้ามองนางปราดเดียว เอ่ยอย่างอ่อนล้าว่า “ขอบคุณมากที่ท่านเตือน…ยามแรกควรฟังท่าน…ยามนี้…ไม่ทันแล้ว…”
“ผู้ใดเอ่ยว่าไม่ทันแล้ว!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ มือสะบัดเพียงครั้ง
ครู่ต่อมาชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นกลับพบว่าตนเองมาถึงครึ่งไหล่เขาแล้วอย่างตกตะลึง!
ไหล่เขาไอพิษเบาบาง เขาพลันรู้สึกว่าหายใจโล่งขึ้นมาก มองข้างล่างอย่างงงงัน เหล่าพี่น้องข้างล่างยังอยู่ จากนั้นเขาได้ยินเสียงตะโกนร้องครั้งหนึ่ง เผยซูคงไม่พบจิ่งเหิงปัวบนภูเขา พุ่งลงมาปานกระสุนปืนใหญ่อีกครั้ง
กำแพงภูเขาเก้าสิบองศา เขาพุ่งลงมาโดยไม่แม้แต่จะหยุดพักด้วยซ้ำ วิชาตัวเบานี้เห็นแล้วน่าตกใจ
ทว่าเขาเพิ่งร่วงสู่พื้น เงาร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ หิ้วคนหนึ่งขึ้นเขาอีกครั้ง
ขึ้นเขาพลางยิ้มแย้มปรีดาทักทายว่า “นี่ เผยซู เจ้าเคลื่อนไหวช้าเกินไปแล้วกระมัง? ข้าหิ้วคนด้วยยังเร็วกว่าเจ้าเลย จุ๊บๆ!”
เผยซูที่เพิ่งจะยืนนิ่งเงยหน้ามอง จิ่งเหิงปัวกำลังโบกมืออยู่บนไหล่เขา นายกองบรรดาศักดิ์สองคนมองข้างล่างด้วยสีหน้าทั้งประหลาดทั้งตื่นเต้น
เดิมทีเผยซูอารมณ์รุนแรงดุจเพลิง ดิ้นรนดำรงชีวิตกลางหุบเขาไร้มนุษย์นานหลายปี นอกจากทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ทว่าไม่ได้หล่อหลอมนิสัยเขาแม้แต่น้อย เพียงแลดูเจ้าอารมณ์ยิ่งขึ้นหลายส่วน
เขาฮึดฮัดด้วยความโมโห ก่อนจะพุ่งขึ้นไปอีกครั้งแล้ว
เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวลงมาอีกแล้ว คราวนี้มือสะบัดเพียงครั้ง ส่งขึ้นไปสองคน
เสียง ฟิ้ว ดังขึ้น เผยซูลงมาอีกแล้ว
เสียง ฟิ้ว ดังขึ้นอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวขึ้นไปอีกแล้ว สองคนแทบเฉียดผ่านกัน จิ่งเหิงปัวยังฉวยโอกาสถุยปล้องหญ้าในปากลงบนศีรษะเขา
“ข้าไม่เชื่อว่าวันนี้จะจับเจ้าหนูตัวนี้ไม่ได้!” เผยซูคว้าปล้องหญ้าบนศีรษะขึ้นมาเคี้ยวใส่ปากอย่างรุนแรง ร้องเอะอะแล้วพุ่งขึ้นไปอีกแล้ว
คราวนี้หมอกพิษทั่วหุบเขาคล้ายถูกเขาพาขึ้นมาด้วย พลิ้วไสวอยู่ข้างหลังเขาปานผ้าคลุม ระหว่างฟ้าดินถึงขนาดสะอาดสะอ้าน เกล็ดหิมะหนาวสะท้านลอยลงมา
เขารู้สึกว่าครั้งนี้ตนเองต้องจับไอ้สารเลวที่เป็นศัตรูกับเขาตลอดเวลาคนนั้นได้เป็นแน่
ไอ้สารเลวนี้อยู่ครึ่งไหล่เขาเอง เขาใกล้เฉียดถึงชายผ้าของไอ้สารเลวนี้แล้ว!
ความรู้สึกยามสัมผัสชายผ้ายังอยู่ในมือ ครู่ต่อมา เสียง ฟิ้ว พลันดังขึ้นอีกครั้ง คนหายไปแล้ว
เบื้องหน้าเขาคือนายกองบรรดาศักดิ์ที่อยู่ในสภาพระมัดระวังพร้อมต่อสู้ห้านาย
เผยซูหน้าเขียวเขี้ยวงอกจ้องมองเจ้าพวกนี้ครู่ใหญ่ พลิ้วกายเพียงครั้ง ก่อนพุ่งลงไปอีกครั้งแล้ว
“เหตุใดเขาจึงไม่สังหารพวกเรา? หรือจับพวกเรามาข่มขู่…” นายกองบรรดาศักดิ์นายหนึ่งถามอย่างงงงัน
ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นพ่นลมหายใจยืดยาวทุ้มต่ำออกมา
“นี่คือความหยิ่งผยองของขุนพลน้อยหลงเฉิง”
เผยซูพบจิ่งเหิงปัวข้างล่างเชิงเขา นางกำลังส่งคนกลุ่มที่สี่ขึ้นไหล่เขา เฉียดผ่านข้างกายเขาอีกครั้ง ขณะเฉียดผ่านข้างกายนางยังลูบศีรษะของเขา เอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ตามมา”
เผยซูยืนเซ่อซ่าอยู่ในหมอกหนา มองดูนายกองบรรดาศักดิ์ที่น้อยลงมากยิ่งขึ้น
จิ่งเหิงปัวเหมือนตุ่นยุ่งเหยิงวุ่นวาย ขวางอยู่ตรงหน้าเขา ย้ายคนไปไหล่เขารอบแล้วรอบเล่าเช่นนี้…
ท้าทายความหยิ่งในศักดิ์ศรีและความเข้าใจโลกของมนุษย์โดยแท้
เผยซูคิดไม่ออกเลยว่ามีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
เขามีนิสัยดื้อรั้นแต่กำเนิด ยามนี้คนธรรมดาคงล้มเลิกแล้ว ทว่าเขาไม่ยอมไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องที่ไม่ยอมต้องลองจนถึงที่สุด
เสียง ฟิ้ว ดังขึ้น เขาพุ่งขึ้นไปอีกแล้ว
เสียง ฟิ้ว ดังขึ้นอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวหายตัวลงมาอีกแล้ว
เขาพุ่งลงมา
นางหายตัวขึ้นไป
เขาพุ่งขึ้นไป
นางหายตัวลงมา
…