หนึ่งเค่อต่อมา นายกองบรรดาศักดิ์แต่ละคนยืนปากอ้าตาค้างอยู่บนไหล่เขา มองสองตัวนั้นกระทำการเคลื่อนไหวเสมือนเปิดปิดลิ้นชักไม่จบไม่สิ้นบนกำแพงภูเขา
ท่วงท่านี้ประดุจการเคลื่อนไหวเกลือกกลิ้งที่เจ้าคว่ำข้า ข้าคว่ำเจ้า เจ้าลากข้า ข้าลากเจ้า บนกำแพงภูเขา เฉกเช่นยามเผยซูเพิ่งจะพบกับจิ่งเหิงปัว
เผยซูรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเสียสติแล้ว
ตั้งแต่ได้พบเจ้าตัวประหลาดผู้นี้ ทุกสิ่งก็พลันผิดปกติไปจนหมด
เขานึกมาตลอดว่าวิชาตัวเบาที่ฝึกฝนสำเร็จจากบึงโคลนกับหุบเขาเลวร้ายแห่งนี้เลิศล้ำหนึ่งเดียวทั่วหล้า ทว่าเหตุใดยังมีคนครอบครองท่าร่างแปลกประหลาดไม่อาจคาดเดาเช่นนี้อีก? นั่นคล้ายหลุดพ้นขอบเขตของวิชาตัวเบา ประหนึ่ง…ภูตพรายมากกว่า…
เขางงงันครู่หนึ่ง โชคดีที่นิสัยเขาทั้งทรหดอดทนทั้งเจ้าเล่ห์โหดเ**้ยม พอพบว่าตนเองไม่มีทางไล่ตามจิ่งเหิงปัวได้ เรือนร่างก็กะพริบวูบหายไปกลางหมอกหนาเสียเลย คงจะเรียกลูกน้องมาชุมนุม ตระเตรียมเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์
จิ่งเหิงปัวเห็นเขาล่าถอยชั่วคราวแล้วรู้สึกโล่งอก ดีเลย นางจะได้เอาชนะแต่ละครั้งได้สะดวก
“ผู้มีพระคุณ…” ข้างหลังมีคนเรียกนาง
นางหันหลัง พลันมองเห็นสายตาทั้งซาบซึ้งใจทั้งเคารพยำเกรงของเหล่านายกองบรรดาศักดิ์
เหล่าทหารเคารพผู้แข็งแกร่งที่สุด การไล่ตามและช่วยชีวิตเมื่อครู่ของนางกับเผยซู หยอกล้อเทพขุนพลอ่อนวัยแห่งยุคดุจเด็กเล่นขายของ พอจะทำให้ทหารระดับหัวกะทิที่สูญเสียความฮึกเหิมเหล่านี้เลื่อมใสแล้ว
“ผู้มีพระคุณ…” ชายร่างสูงใหญ่คนนั้นโค้งคำนับนาง เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจและขมฝาดว่า “ขอบคุณท่านมากที่พยายามช่วยพวกเราไว้ เพียงแต่พิษของพวกเราออกฤทธิ์ใกล้จะสิ้นชีพแล้ว บุญคุณยิ่งใหญ่ของท่าน ได้แต่ทดแทนในชาติหน้า…”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะ
“กินพืชเหล่านี้” นางโยนยอดหญ้าที่รวบรวมไว้ในอ้อมแขนให้เขา
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์กินเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากนั้นชั่วครู่ ไอสีดำบนใบหน้าก็ลดลงไม่น้อยจริงๆ ด้วย
ไหล่เขานี้เป็นตำแหน่งที่หมอกพิษเบาบางที่สุด อาการบาดเจ็บของหลายคนเริ่มทุเลาลงยามอยู่ที่นี่ จึงฉวยโอกาสนั่งลงปรับปราณ
จิ่งเหิงปัวพอใจกับการแสดงออกของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียนี่เป็นถึงนายกองบรรดาศักดิ์ แม้ตอนแรกจะตกอยู่ในสภาพถูกกระทำถูกทำร้ายเพราะไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ คาดการณ์สถานการณ์ผิดพลาด แต่อารมณ์และปฏิกิริยาหลังเกิดเรื่องยังนับว่าเยือกเย็น เป็นผู้ชายที่เคยเห็นเลือดอย่างแท้จริง ความตกตะลึงโกรธแค้นส่วนใหญ่เป็นเพราะรู้สึกว่าถูกทรยศเท่านั้น
โดยเฉพาะชายร่างสูงใหญ่คนนั้น ยิ่งเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าสำหรับพวกเขานั้น แค่ต้องใส่ไฟอีกกองหนึ่งก็พอ
“พวกเจ้าปล่อยดอกไม้ไฟว่าค้นพบเหมืองทองออกไป จากนั้นก็พักผ่อนบนไหล่เขานี้เถิด อย่าเพิ่งเอ่ยวาจา มีเรื่องสนุกสนานให้พวกเจ้าได้รอชม”
ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นกระทำตาม ดอกไม้ไฟสีแดงเข้มทะลุผ่านหมอกควัน พุ่งระเบิดกลางท้องฟ้า
ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงฝีเท้ามนุษย์แว่วเข้ามา มองลงไปจากไหล่เขาเห็นทหารคั่งหลงนำหน้าเลือนราง ผ้าผูกแขนสีเขียวแกมน้ำเงินเข้มเป็นเงาตะคุ่ม
จิ่งเหิงปัวมองเห็นพวกที่เข้ามายังมีแต่ทหารคั่งหลง ในใจก็ทั้งดีใจทั้งแปลกใจ ดีใจเพราะว่ามีแค่ทหารคั่งหลงเข้ามา แผนการนั้นของนางจะดำเนินการได้สะดวกมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่มีคนเกะกะขวางทาง ประหลาดใจเพราะว่าข่าวดีเรื่องค้นพบเหมืองทองแบบนี้ เซวียนหยวนฉี่หักใจไม่รีบส่งคนของตัวเองเข้ามาแย่งชิงได้อย่างไร?
ไม่ว่าจะอย่างไร สถานการณ์เป็นประโยชน์กับตนเองนับว่าเป็นเรื่องดี
พวกเขาเข้ามากันอย่างรวดเร็วยิ่งนักด้วยเพราะมีนายกองบรรดาศักดิ์สำรวจเส้นทาง ทำเครื่องหมายตรงตำแหน่งอันตรายทุกแห่ง คนเหล่านี้มัวแต่เก็บสมุนไพรหายากตลอดทาง ร้องอุทานดีใจอย่างต่อเนื่อง
เทียบกับความยินดีปรีดาข้างล่างแล้ว บรรยากาศบนไหล่เขานั้นหนาวเหน็บ เงียบสงบดุจวายชนม์
ข้ามผ่านไอควันล่องลอย จิ่งเหิงปัวมองเห็นเงาสีเทากะพริบต่อเนื่องอีกครั้ง
เผยซูปล่อยศัตรูหนังเหนียวเคี้ยวยากเช่นนางไป พาลูกน้องที่ถูกเนรเทศของตนเองกระทำการโจมตีทหารคั่งหลงกลุ่มที่สองอีกครั้ง
สำหรับเขาแล้ว คั่งหลงเป็นศัตรูคู่แค้น ยอมสังหารผิดคนดีกว่ายอมปล่อยไป
ทหารคั่งหลงกลุ่มที่สองเป็นทหารระดับหัวกะทิจากค่ายเจ็ดสีซึ่งเป็นทหารสายตรงของเฉิงกูมั่ว ฝีมือด้อยกว่านายกองบรรดาศักดิ์ไม่เพียงระดับเดียว แน่นอนว่ายิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเผยซู ชั่วครู่นั้นแสงโลหิตผลุบโผล่กลางหมอกหนา ด้ายแดงเหินวูบ ไอโลหิตพุ่งชนไอควันสีเทาแตกซ่าน กระเซ็นบนโขดหินสีเทาอย่างต่อเนื่อง
เผยซูโหดร้ายดุจแมวอีกครั้ง หยอกล้อทหารคั่งหลงที่เดินมาตกหลุมพรางเหล่านี้อย่างเต็มที่ ระบายความอาฆาตแค้นในใจ หลังจากสังหารสามคนและทำให้ทุกผู้คนได้รับบาดเจ็บ เขาเป่าปากอย่างพอใจเสียงหนึ่ง พาลูกน้องหายไปประหนึ่งภูตพรายอีกครั้งแล้ว
เหลือเพียงกองทัพสนับสนุนที่โหยหวนครวญครางอกสั่นขวัญแขวน
ครู่ต่อมา เสียงด่าทอด้วยความเดือดดาลดังก้องหุบเขา
“เกิดเรื่องใดขึ้น!”
“ผีพวกนี้มาจากที่ใดกัน!”
“เอ่ยว่าไม่มีคนอยู่รอดในหุบเขาด้วยซ้ำมิใช่หรือ?”
“เหล่านายกองบรรดาศักดิ์เล่า! พวกเขาไปที่ใดแล้ว เหตุใดไม่ได้เตือนพวกเรา!”
“พวกเขาคงไม่ได้…ถูกสังหารด้วยแล้วใช่หรือไม่?”
“เหลวไหล หากพวกเขาถูกสังหารแล้วผู้ใดจุดดอกไม้ไฟ? หากไม่ใช่คนของพวกเรา ไม่รู้ว่าจุดดอกไม้ไฟนั่นเยี่ยงไรด้วยซ้ำ!”
“เช่นนั้นย่อมเป็นพวกเขาหักหลังแล้ว! ภายในหุบเขานี้มีคน พวกเขาสมคบกับคนในหุบเขา ปล่อยดอกไม้ไฟออกมาหลอกล่อพวกเราเข้ามาสังหารจนสิ้นทีละกลุ่ม จากนั้นฮุบของดีทั้งหมดในหุบเขาไว้เพียงผู้เดียว!”
“ถุย! รู้อยู่แล้วว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกเนรคุณ! ผู้บัญชาการย้ายพวกเขาออกมาสำรวจเส้นทางให้พวกเรา เดิมทีคิดว่าต่อให้หุบเขาอันตรายมากกว่านี้ หากมียอดฝีมือกลุ่มนี้อยู่ด้วย คนข้างหลังเช่นพวกเราย่อมสบายแล้ว ซ้ำยังได้ถอนหนามยอกอกเหล่านี้จนสิ้นพอดี นึกไม่ถึงว่าพวกเขาเจ้าเล่ห์ขนาดนี้…”
เสียงวาจาขาดๆ หายๆ ลอยมาถึงบนภูเขา บนนั้นเงียบสงัดไร้เสียง ทุกผู้คนยืนแข็งทื่อ
จิ่งเหิงปัวไม่ต้องมองสีหน้าพวกเขา ก็รู้ได้ว่าครู่หนึ่งนี้สีหน้าของทุกคนคงเขียวคล้ำกันหมด
คาดเดาก็ส่วนคาดเดา เบื้องลึกภายในใจมักไม่อยากให้เป็นจริงเพราะยังมีความหวังส่วนหนึ่งคงอยู่ ฉะนั้นเมื่อความจริงอันโหดร้ายพุ่งมาปะทะอย่างแท้จริง ย่อมรู้สึกลึกซึ้งว่าดุจร่วงหล่นหุบเหว
ความรู้สึกนี้ นางเข้าใจอย่างถ่องแท้
นางหัวเราะออกมาแล้ว พอยกมือขึ้น เอกสารที่ซ่อนไว้ในอ้อมแขนโดยตลอดนั้นก็ลอยสู่เบื้องหน้าพวกเขาในที่สุด
เหล่านายกองบรรดาศักดิ์หันหน้ามาอย่างแข็งทื่อ จ้องมองสัญญานั้นอ่านอยู่ครู่ใหญ่ สีหน้าเขียวคล้ำค่อยๆ ขาวซีดทีละน้อย
พวกเขามองเห็นอักษรบรรยายเกี่ยวกับความอันตรายยิ่งนักของหุบเขาเทียนฮุยบนสัญญา
มองเห็นยอดฝีมือทุกประเภทที่จัดสรรแต่ดั้งเดิมบนสัญญา
มองเห็นการจัดให้นายกองบรรดาศักดิ์เป็นผู้สำรวจเส้นทางที่แสนอันตรายบนสัญญา
มองเห็นท้ายกระดาษ ลายมือลงนามของเฉิงกูมั่วที่คุ้นเคยยิ่งนัก
อักษรดำกระดาษขาว ปลอมแปลงไม่ได้
มุมปากของจิ่งเหิงปัวผุดเผยรอยยิ้มเฉิดฉาย
นางจัดการหนังสือสัญญา ทำให้รอยอักษรที่ซ่อนไว้ในตอนแรกปรากฏขึ้นมา ตอนนี้ไม่ว่าใครเห็นแล้วคงรู้สึกว่าหุบเขาเทียนฮุยที่อันตรายขนาดนี้ เฉิงกูมั่วยังลงนามรับรอง เห็นได้ชัดว่าต้องการส่งลูกน้องเข้ามาตาย
แท้จริงแล้วเฉิงกูมั่วน่าจะเป็นผู้ถูกหลอกครึ่งหนึ่งเช่นกัน เผ่าหวงจินกับตระกูลเซวียนหยวนตั้งใจปกปิดหลอกลวง ไม่ได้บอกความน่ากลัวของหุบเขาเทียนฮุยให้เขารู้อย่างชัดเจน สำหรับขุนพลที่ตั้งมั่นอยู่ตี้เกอตลอดทั้งปี ไม่อาจออกนอกเมืองได้โดยง่ายและไม่อาจติดต่อกับขุนนางภายนอก เขาไม่มีทางเข้าใจสถานที่ต้องห้ามลึกลับทุกแห่งของทุกแคว้นทุกชนเผ่าได้ชัดเจนเช่นกัน มิฉะนั้นเขาอาจไม่ลงนามข้อตกลงครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดเขาต้องเสียดายทหารกล้าค่ายเจ็ดสี
เขานึกว่าหุบเขาเทียนฮุยอันตรายธรรมดา ได้โอกาสให้นายกองบรรดาศักดิ์เป็นพลกล้าตาย ค่ายเจ็ดสีของตัวเองค่อยไปเก็บของดีไม่เปลืองแรง
หากคนไร้ความเห็นแก่ตัว จะถูกคนอื่นฉวยโอกาสได้อย่างไร?
เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ คงไม่จำเป็นต้องบอกนายกองบรรดาศักดิ์แล้ว
ทุกคนผลัดกันอ่านสัญญาตรงหน้ารอบหนึ่ง บรรยากาศบนไหล่เขาดุจเยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง
“อ๊าก!” เสียงตะโกนก้องพลันทำลายความเงียบสงัดประหนึ่งวายชนม์ ชายฉกรรจ์ที่รอยแผลนับไม่ถ้วนผู้หนึ่งชักมีดโดยพลัน!
“ต้าเหมิ่งอย่า…” เสียงร้องอุทานของชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นยังไม่ทันออกจากปาก บุรุษผู้นั้นก็ออกแรงแกว่งแขนแล้ว!
ฟิ้ว! มีดคลั่งเริ่มจู่โจม!
สะบั้นหมอก พัดพลิ้วหิมะ ทลายท้องนภา ประดุจสายฟ้าเหิน!
คนข้างล่างได้ยินเสียงตะโกนร้องนั้น กำลังเงยหน้าอย่างงงงัน
พลันมองเห็นดาวตกดวงหนึ่งทะลุผ่านหมอกหนา ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว…
ฉับ! มีดตัดฟืนสว่างจ้าฟันเข้าลำคอดุจตัดไม้ ทหารที่ถูกฟันคอนายนั้นเบิกตากว้าง โซซัดโซเซ ล้มลงดังพลั่ก
กระทั่งสิ้นชีพก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหนือฟ้าปรากฏมีดเหิน
ศีรษะครึ่งหนึ่งหักสะบั้นยามเขาร่วงพื้น เห็นได้ชัดว่ามีดเหินจากไหล่เขาคราวนี้สะสมพละกำลังโหดร้ายเหลือเกิน
หรือว่าสิ่งที่สะสมไม่ใช่พละกำลัง เป็นความเกลียดชัง เป็นความเดือดดาล เป็นความคั่งแค้นเต็มอกที่ต้องระบายด้วยการสังหาร
เดิมทีด้วยเพราะตำแหน่งน่าอึดอัด นายกองบรรดาศักดิ์เสี่ยงตายมาทำลายสถานการณ์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่เคยคิดว่าจะถูกทรยศจนหมดสิ้น เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังยึดมั่นความจงรักภักดีส่วนนั้นไว้เพื่อสิ่งใด?
เมื่อคนแรกลงมือ ทำให้ทุกคนกระทำตาม สังหารคนเดียวเท่ากับสังหาร สังหารทั้งกลุ่มย่อมเท่ากับสังหาร!
“ไปตายกันให้หมดเลย!”
ชั่วครู่หนึ่งบนไหล่เขาปรากฏมีดเหินศรเ**้ยม ลงมือแฝงความเดือดดาล ตั๊กแตนลี้ฝนคลั่ง มุ่งจู่โจมทหารค่ายเจ็ดสีข้างล่างที่ไม่ได้ตระเตรียมแม้เพียงน้อย
โลหิตแดงฉานดุจฝนคลั่งเช่นกัน ครู่นั้นย้อมบึงโคลนให้แดงฉาน
ทหารค่ายเจ็ดสีถึงขนาดไม่รู้ว่าศัตรูบนศีรษะคือผู้ใดตั้งแต่แรก ไม่เข้าใจว่าหุบเขาที่เลื่องนามว่ามรณะแห่งนี้ซุกซ่อนศัตรูสองกลุ่มไว้ได้อย่างไร แต่ละกลุ่มโหดเ**้ยมอำมหิตไม่ด้อยกว่ากัน
มองจากบนลงล่างคือการสังหารอยู่ฝ่ายเดียว คนนับไม่ถ้วนโลหิตสาดกระเซ็นทั่วร่างโหยหวนวิ่งพล่าน รอดพ้นจากมือสังหารข้างบนทว่าไม่รอดพ้นจากบึงโคลนทั่วทุกหนแห่งภายในหุบเขา ดิ้นรนกวัดแกว่งบนโคลนเลนสีดำเทาด้วยท่วงท่าสิ้นหวังนับมิถ้วน ภายในโคลนเลนมีฟองอากาศหรือร่องโคลนบางส่วนโผล่มาดังจ๋อมแจ๋มบ่อยครั้ง คนเหล่านั้นจะจมลงรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และไม่รู้ว่าข้างใต้บึงโคลนค่ำคืนนี้ สัตว์มากเพียงใดร้องยินดีว่าอาหารอร่อยมากมาย
จิ่งเหิงปัวมองดูอยู่เงียบเชียบ
ค่ายเจ็ดสี
ของขวัญชิ้นนี้ตอบแทนการสิ้นชีพทัดทานหน้าประตูวัง ค่ายคั่งหลงล่มสลายตอนนั้น
รู้สึกดีไหม?