ตอนที่ 24 - 3 เคลื่อนไหวขึ้นบนลงล่าง

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ชั่วขณะสังหารหมดสิ้น

 

 

นี่คือการสังหารที่ไม่ยุติธรรม เดิมทีค่ายเจ็ดสีเทียบกับนายกองบรรดาศักดิ์ไม่ได้อยู่แล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวพอใจกับความสามารถต่อสู้กับความเดือดดาลของพวกเขาอย่างยิ่ง

 

 

คนเดียวที่ไม่ได้ลงมือคือชายร่างสูงใหญ่คนนั้น เขายืนหลับตาอยู่ตลอดเวลา น้ำตาร้อนผ่าวไหลรินบนใบหน้ารำไร

 

 

จิ่งเหิงปัวพอใจมากเหมือนกัน นางไม่โกรธที่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ถูกยุยงปลุกปั่น นางรู้สึกแค่ว่าคนนี้สุขุมหนักแน่น พลังควบคุมตนแข็งแกร่งมาก มีท่วงท่าแห่งมหาขุนพล

 

 

“มองคน อย่าได้มองเพียงว่าเขามีประโยชน์ต่อเจ้ากี่ส่วน ทว่าต้องมองจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเขา ผู้แข็งแกร่งดุจกระบี่ พวกประจบดุจต้นหญ้า กุมกระบี่พิทักษ์ได้ทั่วทิศ ชมต้นหญ้าขัดขวางการเดินหน้า ยอมต้องการวีรบุรุษที่เ**้ยมโหด ไม่ต้องการคนธรรมดาที่ประจบสอพลอ”

 

 

วาจาบางอย่าง ตอนได้ยินฟังไปเรื่อยเปื่อย ตอนเข้าสถานการณ์จึงลอยออกมา ลึกซึ้งดุจอยู่ในใจ

 

 

ข้างล่างค่อยๆ ฟื้นคืนความเงียบสงัด เสียงโหยหวนดุจนรกค่อยๆ หายไป บนบึงโคลนไม่เหลือร่องรอยเลยแม้แต่น้อย คล้ายทุกสิ่งถูกหมอกหนาขจัดไปจนสิ้น

 

 

ผู้คนที่แก้แค้นจากบนไหล่เขาล้มนอนบนพื้นอย่างเจ็บปวด เบิกตามองท้องฟ้าสีเทาอย่างงงงวย รู้สึกเพียงว่าเส้นทางข้างหน้าดูคล้ายมองไม่เห็นแสงรุ่งอรุณ ไร้แสงสว่างชั่วนิรันดร์ประหนึ่งท้องฟ้านี้

 

 

ทว่าชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นขยับเขยื้อนแล้ว

 

 

เขามาถึงเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว คุกเข่าลงข้างหนึ่ง

 

 

“นายกองบรรดาศักดิ์ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเฉวียนหนิงเหา ผู้มีพระคุณโปรดรับข้าไว้!”

 

 

ทุกคนทยอยเงยหน้าขึ้น บางคนงงงัน บางคนเข้าใจ บางคนลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มก้มหน้ามอง กล่าวว่า “ด้วยเพราะเหตุใด”

 

 

“พวกเรา…กลับไปไม่ได้แล้ว…” เฉวียนหนิงเหาเอ่ยอย่างเจ็บปวดทรมานว่า “สังหารสหายร่วมกองทัพถือเป็นโทษหนัก หากถูกพบเข้า พวกเราต้องสิ้นชีพกันหมด แม้แต่ครอบครัวญาติพี่น้องยังจะถูกสังหารทั้งตระกูล…ยามชักมีดแรกออกมา พวกเราก็ถูกกำหนดให้เป็นคนทรยศของคั่งหลงแล้ว…”

 

 

ทุกคนสั่นสะท้านทั่วร่าง ก้มหน้าลงเงียบกริบ ด้วยความเดือดดาลทำให้ยามสังหารไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน เมื่อหลังระบายอารมณ์แล้วกลับสู่ความเป็นจริง กลับพบว่าสิ้นไร้เส้นทางข้างหน้า

 

 

ไม่ว่าคั่งหลงหรือเฉิงกูมั่วจะทำผิดต่อพวกเขาอย่างไร แต่วินัยทหารดุจภูผา ความผิดที่สังหารสหายร่วมทัพก็ไม่อาจไถ่ถอนได้เลย

 

 

“พวกเจ้าเป็นคนอิสระได้ อย่างไรเสียวรยุทธ์ก็เก่งกล้าทั่วร่าง จะไปที่ใดย่อมไปได้” จิ่งเหิงปัวดูท่าทางคล้ายไม่หวั่นไหว

 

 

“ท่านลำบากตามมาตลอดทาง เกรงว่าคงไม่ใช่เพื่อปล่อยพวกเราเป็นอิสระกระมัง?” เฉวียนหนิงเหาเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ช่วยพวกเราไว้หลายครั้ง ลูกผู้ชายคั่งหลงแยกแยะบุญคุณและความแค้นอย่างชัดเจน มอบชั่วชีวิตนี้รับใช้ท่านย่อมเป็นเรื่องที่สมควร”

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดว่าเฉวียนหนิงเหาคนนี้ทั้งกล้าหาญทั้งสงบนิ่งสมชื่อตัวเองจริงแท้ ความคิดละเอียดรอบคอบ เขามองเจตนาของนางออกแล้วแต่ไม่ชี้ให้เห็น

 

 

คนที่เหลืออยู่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ในแววตาไม่ได้ต่อต้าน เพียงแต่โกรธแค้นและงงงวย

 

 

“เขาทำได้หรือ…” มีคนสงสัยอยู่บ้าง

 

 

เฉวียนหนิงเหาตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เขาทำได้”

 

 

ทุกคนไม่ได้เอ่ยวาจาอีกต่อไป

 

 

เฉวียนหนิงเหาหันกายคว้ามีด หยิบกระบอกใบหนึ่งจากในกระเป๋าสะพายหลังมาดัดเป็นทรงชาม ทุกผู้คนพลันก้าวขึ้นมา มีดกรีดข้อมือหยดโลหิตลงในชาม จากนั้นก็ส่งต่อให้แต่ละคนดื่มคนละหนึ่งอึก

 

 

“เฉวียนหนิงเหา!”

 

 

“รุ่ยต๋า!”

 

 

“ลั่วซาน!”

 

 

“ไช่จิ้งหย่ง!”

 

 

 

 

“…พวกเราเหล่าชายชาตรี วันนี้สวามิภักดิ์ผู้มีพระคุณ ร่างกายเหลืออยู่ในชาตินี้ มอบให้บัญชาชั่วนิรันดร์ ท้องฟ้ากว้างใหญ่ จงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย หากคิดทรยศ มนุษย์และเทพเจ้าร่วมทอดทิ้ง!”

 

 

เสียงทุ้มต่ำมีพลังดังสะท้อนก้องไหล่เขา โลหิตแดงสดเหนียวข้นสะท้อนใบหน้าเคร่งขรึมแต่ละดวง ไอควันกลางไหล่เขาคล้ายหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย เหนือท้องฟ้าคล้ายมีลมเมฆสาดซัด บดบังท้องฟ้าแห่งนี้จนมืดมน

 

 

ยามนี้หากมีพระราชวงศ์สูงศักดิ์ของต้าฮวงอยู่ด้วย ไม่ว่าผู้ใดคงต้องตื่นเต้นดีใจจนกรีดแขนตนเองสักแผลโดยพลัน…นายกองบรรดาศักดิ์ยี่สิบแปดนาย! นี่เป็นขุมทรัพย์ล้ำค่าเพียงใด! ทุกคนต่างสู้รบด้วยตนเองได้ ทุกคนต่างเป็นศัตรูของคนนับหมื่นบนสนามรบ ทุกคนอาจกลายเป็นขุนพลเรืองนามในอนาคต นี่เป็นทหารเลิศล้ำเกรียงไกรที่กองทัพคั่งหลงทุ่มเทแรงกายแรงใจฝึกฝนมานานหลายปีอย่างจริงแท้ เกรียงไกรจนแม้แต่เฉิงกูมั่วยังรู้สึกว่าหากตนเองใช้งานไม่ได้ย่อมควรกำจัด ภายภาคหน้าจะได้ไม่เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของตนเอง เอ่ยได้ว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากมีว่าที่ขุนพลเรืองนามกองทัพหนึ่งนี้อยู่ในมือย่อมเท่ากับครอบครองเสาหลักแสนสำคัญของกองทัพหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรทหารหาง่าย ทว่าทหารดีหายาก มีทหารดีถึงมีรากฐานแท้จริงของกองทัพแข็งแกร่ง ทหารดีนี้ไม่เพียงแต่มาแล้ว ซ้ำยังมาครั้งเดียวกลุ่มใหญ่ แทบจะรับรองได้ว่าอนาคตจะเป็นขุนพลขั้นกลางทั้งกองทัพ นี่เป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญมากเพียงใด…แล้วจะไม่ให้นางดีใจจนหมดสติได้อย่างไร?

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวกำลังเครียด…นี่ๆ คงไม่ให้พี่กรีดแขนด้วยหรอกใช่ไหม? ถ้าเกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมาจะทำอย่างไร

 

 

โชคดีที่เฉวียนหนิงเหาไม่ได้คิดจะทำเช่นนั้น พอทุกคนดื่มเสร็จ เขาก็ดื่มอึกสุดท้ายจนเกลี้ยง ก่อนจะยกมือขว้างเพียงครั้ง ชามกระแทกเข้ากับโขดหินจนแหลกละเอียด

 

 

“นายท่าน!” ยามโค้งคำนับอีกครั้งทุกคนก็เปลี่ยนวาจาเรียกขานแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ…วันนี้ ในที่สุดพี่ก็มีลูกน้องสายตรงเป็นของตัวเอง!

 

 

พอเงยหน้ามองก็เห็นบนศีรษะปรากฏแสงท้องฟ้ารำไร แสงทองสายหนึ่งทำลายหมอกหนา ทะลุผ่านท้องฟ้าประหนึ่งกระบี่ มาถึงยอดเขาแล้วสาดส่องลงมาจากยอดเขา กลายเป็นเส้นทางทองคำที่ทอดยาวเหยียดไร้ที่สิ้นสุด

 

 

นั่นคือเส้นทางสวรรค์ ดูคล้ายห่างไกล ทว่าเพียงอยู่ใต้ฝ่าเท้า

 

 

“พวกข้าน้อยไร้ความปรารถนาอื่นใด” เฉวียนหนิงเหาอยู่ข้างหลังนาง เอ่ยอย่างจริงใจว่า “ข้าน้อยมองเห็นปณิธานอันยิ่งใหญ่และความไม่ยินยอมในแววตาของท่าน ท่านเป็นคนประเภทเดียวกันกับพวกข้าน้อย พวกข้าน้อยจึงยอมติดตามท่าน นับแต่นี้ขึ้นเหนือล่องใต้ย่อมฟันฝ่าขวากหนามให้ท่าน พวกข้าน้อยหวังเพียงว่าภายภาคหน้าหากผู้มีพระคุณสมปรารถนาแล้ว ท่านจะมอบโอกาสให้พวกเรากลับตี้เกอไปแก้แค้น สังหารเฉิงกูมั่วด้วยมือตนเอง”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ หันหลังกลับมาตบไหล่ของเขา

 

 

“บังเอิญนัก ข้ากับเจ้าก็คิดเช่นเดียวกัน” นางชี้ไปทางตี้เกอ กล่าวว่า “สิ่งที่ข้าคิดคือกลับตี้เกอไปแก้แค้น สังหารเฉิงกูมั่วเช่นกัน รวมทั้งคนมากมายที่เคยทำร้ายข้า เจ้าดูสิ พวกเราต่างก็คิดเช่นเดียวกัน เหตุใดไม่มาพยายามด้วยกันเล่า?”

 

 

เฉวียนหนิงเหาจ้องมองนาง สายตาตกตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงสูดหายใจ เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ขออภัยที่ข้าน้อยละลาบละล้วง ยังไม่ได้ขอทราบนามจริงของผู้มีพระคุณ…”

 

 

“เรียกข้าว่าจิ่งเหิงปัว”

 

 

เกิดเป็นความเงียบสงัดระลอกหนึ่ง

 

 

ก่อนจะมีเสียงร้องอุทานดังขึ้นว่า

 

 

“ราชินี!”

 

 

 

 

“นายน้อยรอง อากาศเย็น มาผิงไฟเถิด” เหยียลี่ว์ฉีจุดไฟพลางร้องเรียกเซวียนหยวนฉี่

 

 

เซวียนหยวนฉี่เข้ามาใกล้อย่างไว้หน้ายิ่งนัก เมื่อครู่เขาพลั้งปากเอ่ยออกไปว่าทหารคั่งหลงคือผู้สำรวจเส้นทางที่ถูกใช้ประโยชน์ โดยที่ไม่คาดคิดว่าจะถูกทหารคั่งหลงได้ยินเข้า โชคดีที่เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยวาจาเพียงเล็กน้อยแล้วแก้ไขได้อย่างสบาย ทำให้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือดได้ แม้เซวียนหยวนฉี่จะเอ่ยว่าไม่คิดเช่นนั้น แต่ในใจก็บังเกิดความสนิทสนมกับเหยียลี่ว์ฉีมากขึ้นหลายส่วน

 

 

เซวียนหยวนฉี่สั่งให้คนนำอาหารกับสุรามาบ้าง สองคนย่างเนื้อดื่มสุราคุยเล่นกันข้างกองไฟ เซวียนหยวนฉี่เป็นหนุ่มเสเพลโด่งดังในตี้เกอ เข้าใจเรื่องดนตรีปี่พาทย์ระบำรำฟ้อนยิ่งนัก เหยียลี่ว์ฉีมาจากตระกูลใหญ่โตเช่นเดียวกัน เป็นราชครูนานหลายปีขนาดนั้น ซ้ำยังเป็นพวกร่ำสุราร่ายกลอนเที่ยวท่องหอคณิกา ทั่วโลกหล้าไม่มีหัวข้อสนทนาที่เขารับมือไม่ได้ สองคนยิ่งเอ่ยยิ่งถูกอัธยาศัย ผ่านไปไม่นานเซวียนหยวนฉี่ใกล้จะถือว่าเหยียลี่ว์ฉีเป็นสหายรู้ใจคนใหม่แล้ว

 

 

ผ่านไปไม่นานเซวียนหยวนฉี่ดื่มจนเมาเล็กน้อยแล้ว ในแววตามึนเมาพลันมองเห็นดอกไม้ไฟลุกไหม้กลางหุบเขาอย่างเลือนราง ซ้ำยังเป็นเครื่องหมายว่าค้นพบเหมืองทอง ดวงตาสว่างขึ้นโดยพลัน ลุกขึ้นร้องตะโกนว่า “เร็ว! เร็ว! ทุกคนรีบเข้าหุบเขาไปสนับสนุน!”

 

 

“นายน้อยรอง” เหยียลี่ว์ฉีจูงแขนเสื้อเขาไว้ด้วยท่าทางมึนเมา กระซิบว่า “ข้าว่านะ ท่านส่งทหารคั่งหลงเข้าไปก่อนดีกว่า…”

 

 

“ด้วยเพราะเหตุใด…เอิ๊ก หากมัวชักช้า…คนของพวกเรา…เอิ๊ก…จะสูญเสียโอกาสสำคัญแล้ว…”

 

 

นายกองบรรดาศักดิ์กับผู้ควบคุมสัตว์ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามเพิ่งค้นพบเหมืองทอง เห็นได้ว่าเหมืองอยู่ส่วนลึกของหุบเขา ทว่าดูจากความลึกของหุบเขานี้แล้ว ต่อให้อยู่ตรงนั้นของหุบเขา ด้วยความสามารถของเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งชั่วยาม อุปสรรคบนเส้นทางต้องมากมายแน่แท้ และไม่ได้กำจัดจนสะอาดเป็นแน่…ท่านว่าในเมื่อเป็นผู้สำรวจเส้นทาง เหตุใดจึงไม่ให้ทหารคั่งหลงสำรวจเส้นทางจนถึงที่สุดเล่า? รอให้พวกเขากวาดล้างเส้นทางสายนี้จนสะอาด พวกเราถึงเป็นผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง พอถึงยามนั้นเหมืองทองอยู่ที่ใด ใหญ่เพียงใด ผลผลิตมากเพียงใด ทางผู้บัญชาการเฉิงนั้นย่อมแล้วแต่พวกเราจะเอ่ยไม่ใช่หรือ…”

 

 

“อา! พี่จย่าแปด! เจ้าฉลาดยิ่งนัก! ประเดี๋ยวเรื่องนี้เสร็จสิ้น ข้าต้องได้ก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูล พอถึงยามนั้นเชิญเจ้ามาเป็นนายทหารผู้ช่วยสูงสุดของข้าดีหรือไม่?”

 

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”

 

 

สองคนหัวเราะฮ่าๆ ทหารคั่งหลงถูกส่งไปสนับสนุนเป็นกลุ่มที่สอง มองดูทหารค่ายเจ็ดสีกลุ่มนั้นพร้อมอาวุธครบมือเข้าไปในหุบเขา เหยียลี่ว์ฉีประคองกระบอกสุรา ยกขึ้นคารวะเล็กน้อย

 

 

คารวะพวกเจ้า ครั้งนี้เดินสู่เส้นทางยมโลก

 

 

คารวะเหิงปัว ครั้งเดียวสยบวีรบุรุษทั่วหล้า

 

 

“เจ้ากำลังคารวะผู้ใดกัน…” เซวียนหยวนฉี่จับไหล่ของเขา เอ่ยว่า “เอิ๊ก เจ้าว่าหากข้าได้เป็นผู้นำตระกูล ข้าควรจะรับมือพี่ชายน้องชายที่ไม่อยู่ในโอวาทหลายคนนั้นของข้าอย่างไรดี”

 

 

“นายน้อยรอง ล้วนเป็นพี่ชายน้องชายทั้งนั้น ภายหลังย่อมเป็นผู้ใต้บัญชาของท่าน เหตุใดต้องสังหารล้างบาง? พี่ชายน้องชายน้อยลงแล้ว นั่นเท่ากับผู้ช่วยน้อยลงนะ”

 

 

“เจ้าจะไปเข้าใจอะไรกัน! เอิ๊ก พี่ชายน้องชาย พวกเขานับเป็นพี่ชายน้องชายอะไร? เอาแต่ชิงไหวชิงพริบ คอยสอดแนมคิดร้าย จ้องมองผู้อื่นปานศัตรูคู่แค้น ระแวงว่าผู้ใดจะคว้าขนจากทางท่านผู้ชรามากกว่าตนสักเส้น…เอิ๊ก เจ้าเชื่อหรือไม่ พอพี่ใหญ่ข้าสิ้นชีพ ยามนี้พี่ชายน้องชายทุกคนของข้าคงตามมาถึงบริเวณนี้ คอยแบ่งปันผลประโยชน์หรือคอยเอาใจต่อหน้าท่านผู้ชราทุกเวลา เจ้าเชื่อหรือไม่ ภายในกองทัพองครักษ์ระดับหัวกะทิของตระกูลเซวียนหยวนที่ข้าพามาด้วย อย่างน้อยที่สุดคงเป็นสายลับของบรรดาเหล่าพี่น้องของข้ามากกว่าครึ่งหนึ่ง…เอิ๊ก หากรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้ใด ข้าจะแขวนคอพวกเขาไว้ตรงปากหุบเขาทีละคน!”

 

 

“อา! ขนาดนั้นเชียว!”

 

 

“ใช่แล้ว!”

 

 

“เช่นนี้คงไม่ได้การ” เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้ากลัดกลุ้ม แนบข้างหูเขากระซิบว่า “สายลับมากขนาดนั้น ซ้ำยังไม่ได้มาจากกลุ่มเดียวกัน นายน้อยรองเคยคิดหรือไม่ เช่นนี้หากท่านขนข้าวขนของกลับมาจากหุบเขาเทียนฮุย พวกเขาจะให้ท่านสมปรารถนาหรือ? พวกเขาจะอยู่เฉยมองท่านก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูลใหญ่หรือ? พวกเขาจะให้ท่านไปแจ้งข่าวทางท่านผู้ชรานั้นอย่างอยู่รอดปลอดภัยหรือ? หากว่าระหว่างทาง…” นิ้วมือเขาปัดแผ่วเบาคล้ายปัดละอองธุลีออกไป หัวเราะแผ่วเบาครั้งหนึ่ง

 

 

ทว่าเซวียนหยวนฉี่เห็นสีหน้ากับท่าทางอึมครึมนี้แล้วก็ตกใจจนสร่างเมาครึ่งหนึ่ง

 

 

“หากเจ้าไม่เอ่ยข้าคงไม่รู้สึก หลายปีมานี้เป็นเช่นนี้จนเคยชิน…ทว่าบัดนี้คิดแล้วสถานการณ์ครั้งนี้ต่างออกไป จะประมาทเลินเล่ออีกไม่ได้…” เขายิ่งเอ่ยสีหน้ายิ่งจริงจัง คล้ายมองเห็นเงาร่างมากมายนับมิถ้วนของสายลับล้อมตนเองไว้ตรงกลาง สั่นเทิ้มครั้งหนึ่ง

 

 

“เหตุใดนายน้อยรองต้องกลัดกลุ้มถึงเพียงนี้? เรื่องนี้จัดการได้ง่ายนัก!”

 

 

“ท่านโปรดชี้แนะข้า!”

 

 

“ในเมื่อได้รับความโปรดปรานจากนายน้อยรอง ข้าย่อมต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงตอบแทน ช่างเถิด วันนี้จะค้นหาสายลับเพื่อนายน้อยรอง นับว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่มอบให้ท่าน”