ตอนที่ 72 ประชันเพลงอีกแล้ว / ตอนที่ 73 รักฉันไหม

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 72 ประชันเพลงอีกแล้ว 

 

 

ชุยหังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกครั้งและไม่กล้าตอบโต้ใดๆ 

 

 

หลูจื้อเดินออกไปแล้ว ครั้งนี้เขาเดินออกไปแล้วจริงๆ 

 

 

คำพูดเมื่อครู่นี้ เขาคงอยากจะเตือนสติชุยหังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานว่าหลังจากที่ชุยหังดื่มมากไปจนเมาแล้วเขาก็ก่อเรื่อง 

 

 

ชุยหังเข้าใจแล้ว พอคิดแบบนี้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมันก็รู้สึกสบายลงไปมาก 

 

 

เขาปลอบใจตัวเองว่าไม่ต้องคิดมาก แค่คนอื่นทำดีทำตัวอบอุ่นด้วยนิดหน่อยก็อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาสนใจ 

 

 

ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่หลูจื้อปรากฎตัวจะไม่ใช่ทุกเวลา แต่มันเป็นเวลาที่ตัวเขารู้สึกอ่อนแอเปราะบางที่สุด 

 

 

ไม่ว่าสวรรค์กำลังล้อเล่นกับตัวเขา หรือเป็นตัวเขาที่กำลังล้อเล่นกับตัวเองอยู่ก็ตาม อดทนอีกแค่สิบกว่าวัน จากนั้นทั้งสองคนก็จะได้พูดบอกลากันแล้ว แล้วทุกอย่างมันก็จะผ่านไป 

 

 

ช่วงพักเบรก ชุยหังเอนตัวพิงกับต้นไม้มองไปทางหลูจื้อที่กำลังปรึกษาอะไรบางอย่างกับบรรดาครูฝึก ก่อนเขาจะเบือนสายตาไปทางอื่น 

 

 

เขาไม่สามารถให้ตัวเองเอาแต่จ้องมองหลูจื้อตลอดเวลา เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันจะเกิดเรื่องตามมาได้ง่ายๆ 

 

 

คนที่จะเกิดเรื่องคือตัวเขา ไม่ใช่หลูจื้อ 

 

 

เกย์ไปชอบผู้ชายแท้ เดิมทีมันก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดและไม่มีทางเป็นจริงได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะกับผู้ชายแท้ที่มีแฟนอยู่แล้ว 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็พึ่งจะอกหักมา ในเวลานี้กลับเอาแต่มองคนอื่นอันที่จริงมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ 

 

 

ความเจ็บปวดที่หลิวเฮ่อมอบให้เขา ที่จริงมันยังไม่ถึงกับผิดหวังหรอก 

 

 

หลังจากที่ตัวเขาเข้ามาอยู่ในวงการนี้มันเป็นความรักครั้งแรกที่เขาได้เจอ หรือพูดได้ว่ามันทื่อมากเกินไป โง่เขลามากเกินไป 

 

 

แต่ตัวเขาก็คอยดูแลตัวเองอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด โดยไม่มีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นกับเขาเลย 

 

 

ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองจะระมัดระวังตัวไปเพราะอะไรและกำลังลังเลอะไร 

 

 

แต่พอตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วเขากลับรู้สึกว่า ที่ตัวเองลังเลน่ะถูกต้องแล้ว 

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะหลิวเฮ่อเป็นคนแรกหลังจากที่ตนก้าวเข้ามาอยู่ในวงการนี้แบบจริงๆ จังๆ ดังนั้นถึงรู้สึกว่าเขาพิเศษ 

 

 

ชุยหังเผชิญหน้ากับแสงแดด เงยหน้าขึ้นมองแสงที่ทะลุผ่านใบไม้ มองไปทางทิศทางของดวงอาทิตย์ 

 

 

ยังดีที่ไม่แสบตามากนัก แค่ทำให้รู้สึกได้ถึงความพร่ามัว 

 

 

ไม่นานหลูจื้อก็กลับมา แล้วพูดกับพวกเขาว่า: “เมื่อครู่นี้ได้ทำการปรึกษาหารือกับบรรดาครูฝึกทุกคนแล้ว นักเรียนในห้องของพวกเขาอยากจะประชันเพลงอีกรอบ วันนั้นยังไม่ถึงอกถึงใจพอ” 

 

 

“ครูฝึกครับ คอพวกเราแหบกันหมดแล้วยังไม่ทันจะหายดีก็จะประชันอีกแล้วหรอ” มีคนพูดขึ้นทันที 

 

 

“ไม่เป็นไร ทำให้ชินก็พอแล้ว เหล่าชายหนุ่มแมนๆ จะคอแหบคอแตกหน่อยจะเป็นไร ไม่ถึงตายหรอก” 

 

 

“ครูฝึกครับ ถ้าอย่างนั้นให้มันสบายๆ ลงหน่อยได้ไหมครับ” มีคนพูดขึ้น 

 

 

หลูจื้อเอ่ยถาม: “นายอยากจะสบายยังไง” 

 

 

“ก็อยากร้องอะไรก็ร้อง เอาแต่ร้องเพลงทหารสามสี่เพลงซ้ำไปซ้ำมา พวกเราร้องจนคีย์เพี้ยนหมดแล้ว…” 

 

 

หลูจื้อหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น: “นายร้องเพลงป๊อบได้มากแค่ไหน” 

 

 

“ก็ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยหรอกครับ อย่างน้อยก็ไม่ผิดคีย์” 

 

 

“อีกเดี๋ยวอย่าทำให้ผมขายหน้านะ” หลูจื้อย้ำกับเขานิดหน่อยก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาเหล่าครูฝึกอีกครั้ง 

 

 

ไม่นานเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า แล้วพูดขึ้น: “ทั้งหมดยืน รวมตัว” 

 

 

ทุกคนลุกจากที่นั่งของตัวเองที่พึ่งจะนั่งพักอย่างอืดอาดยืดยาดสุดๆ 

 

 

ชุยหังก็ไม่อยากขยับเลย มีความรู้สึกว่าถ้าเป็นไปได้ก็มีความรู้สึกว่าอยากจะนั่งอยู่แบบนั้นอย่างเดิมไม่ขยับตลอดไปเลย 

 

 

หลังจากยืนเข้าแถวเรียบร้อยแล้ว หลูจื้อก็ตะโกนขึ้น: “ซ้ายหัน พร้อม…หน้าเดิน” 

 

 

ทุกคนมึนไปหมดแล้ว นี่จะให้พวกเขาไปที่ไหน? 

 

 

แต่สุดท้ายทุกคนก็ทำตาม ชุยหังอยู่แถวแรกสุด เมื่อเห็นว่าห้องอื่นๆ ต่างก็เอาคนตัวสูงขึ้นมาไว้ด้านหน้าหมด ที่จริงก็แอบงงอยู่นิดหน่อย 

 

 

ทุกๆ ห้องเรียนเข้ามารวมกันกลางสนามจากนั้นนั่งรวมกันเป็นวงกลมโดยมีเหล่าครูฝึกอยู่ตรงกลางของวง 

 

 

“ตรง ทั้งหมดนั่ง” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 73 รักฉันไหม 

 

 

ทุกคนต่างพากันนั่งลงกับพื้น มองบรรดาครูฝึกที่อยู่ตรงกลาง 

 

 

หลูจื้อไม่ได้เป็นคนออกมาพูด แต่เป็นครูฝึกประจำห้องสองที่ปกติเอาแต่หัวเราะร่าเริงคนนั้นลุกขึ้นมาพูด: “เมื่อครู่นี้แถวสามมีคนท้าทายมาว่าไม่อยากร้องเพลงทหาร แต่จะใช้เพลงป๊อบฮิตมาทำลายพวกนายซะ พวกนายกลัวไม่กลัว?” 

 

 

“ไม่กลัว ทำลายพวกเขาซะ” ห้องอื่นๆ ต่างตะโกนตอบขึ้นพร้อมเพรียงกัน 

 

 

บรรดานักเรียนห้องสามมึนกันไปทั้งแถว พวกเขาก็แค่เสนอแล้วมันเปลี่ยนเป็นท้าทายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 

 

 

อีกอย่างสำหรับข้อเสนอนี้ เชื่อว่านักเรียนห้องอื่นๆ จะต้องเห็นด้วยและสนับสนุนอย่างแน่นอนไม่ใช่หรอ 

 

 

ชุยหังที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดก็ได้แต่ดึงหมวกเบเร่ต์ของตัวเองลง พลางคิดในใจว่านายมองไม่เห็นฉัน มองไม่เห็นฉัน… 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญนักเรียนจากแถวสามร้องก่อนเลยแล้วกันดีไหม” ครูฝึกประจำห้องสองพูดขึ้น 

 

 

“ดี ห้องสามจัดมาหนึ่ง ห้องสามจัดมาหนึ่ง” 

 

 

ครูฝึกเรียกพวกเขาเป็นแถว แต่เหล่านักเรียนก็ยังคงไม่เปลี่ยนวิธีการเรียก ตะโกนเป็นห้องออกมาเหมือนเดิม 

 

 

ทุกคนหันมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าจะให้ใครขึ้นต้นออกหน้าไปก่อนดี 

 

 

หลูจื้อมองไปที่นักเรียนที่เป็นคนเสนอความคิดขึ้นเมื่อครู่นี้พลางเอ่ย: “เมื่อกี้นายเป็นคนเสนอไม่ใช่หรอ นายก็เอาเลยสิ” 

 

 

นักเรียนคนนั้น บีบคลึงตรงลำคอของตัวเองนิดหน่อยก่อนจะพูดขึ้น: “เอ่อ คือว่า ผมขอวอร์มก่อนสักหน่อย” 

 

 

นักเรียนห้องอื่นๆ พากันหัวเราะออกมาอย่างไร้ความปรานี 

 

 

วินาทีนี้เอง โจวเฉวียนก็ยืนขึ้นจากทางด้านหลังแล้วมองทุกคนพลางพูดขึ้น : “ครูฝึกครับ ผมขึ้นก่อนแล้วกันครับ โยนอิฐล่อหยก [1] สักหน่อยครับ” 

 

 

“มา ฮู้ว ฮู้ว” ครูฝึกห้องสองเป็นคนนำปรบมือเกรียวขึ้นมา 

 

 

ชุยหังทอดถอนใจ สมกับที่เป็นหัวหน้าจริงๆ ในเวลาแบบนี้ยังกล้าที่จะลุยก่อน 

 

 

แต่ว่าถ้าเขาพูดความคิดของตัวเขาในตอนนี้ออกไป โจวเฉวียนคงจะร้องไห้โฮแน่ๆ เขาคิดว่าทำไมตัวเขาถึงไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำเรื่อยน่าขายหน้าแบบนี้เลยนะ … 

 

 

“ชื่อเพลง (รักฉันไหม) [2] มอบให้สาวๆ สาขาการจัดการทางทะเลทุกคนครับ ใครที่รักผมโปรดยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเลยครับ!” หลังจากโจวเฉวียนพูดจบก็ทำเอาทั่วทั้งสนามเริ่มคึกคักเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมา 

 

 

ในที่สุดชุยหังก็หัวเราะออกมาแล้ว ประโยคนี้ ไม่ต้องเพิ่มเลยน่าจะดีกว่า 

 

 

ความสามารถในการล่อสาวดูเหมือนว่าจะเอามาใช้ผิดที่แล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นการโจมตีแบบกลุ่มหรือว่าการโจมตีแบบเจาะจงก็ตาม 

 

 

ห้องอื่นๆ มีผู้ชายอยู่ตั้งมากขนาดนั้น อีกอย่างสาขาการจัดการทางทะเลก็มีผู้ชายอยู่ด้วย เขาทำแบบนี้เท่ากับว่ากำลังดึงดูดความขุ่นเคืองจากสาธารณะชนเลยนะ 

 

 

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พวกผู้หญิงกำลังพากันโห่ร้อง ส่วนพวกผู้ชายต่างก็กำลังพากันส่งเสียง ‘ชิ’ ดังขึ้นอย่างล้อเล่น 

 

 

เหล่าครูฝึกก็เริ่มคึกขึ้นมาแล้ว พลางมองไปทางโจวเฉวียนแล้วพูด: “มาเถอะ ร้องเถอะ” 

 

 

“หาสักเหตุผล ให้ฉันยอมรับ…” โจวเฉวียนเริ่มเข้าสู่โหมดการต่อสู้ในทันที แถมยังติดเอามาตรฐานในการร้องโหมดมึนเมาจากคาราโอเกะออกมาอีกด้วย มือข้างหนึ่งวางทาบไว้ตรงอก มืออีกข้างก็โบกสะบัดไปตามจังหวะเพลง 

 

 

เมื่อมองท่าทางของเขา ขนาดชุยหังยังรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มจะชาขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เขาเอาแต่รู้สึกว่าเขาต้องเขินมากแน่ถ้าจะต้องมาเต้นแร้งเต้นกาต่อหน้าคนแปลกหน้ามากมายแบบนี้ 

 

 

“เธอรักฉันบ้างหรือเปล่า…” ตอนที่ร้องมาถึงท่อนนี้ โจวเฉวียนก็แหกปากร้องตะโกนไปทางฝั่งตรงข้าม “รักฉันบ้างไหม!” 

 

 

ผู้หญิงจากฝั่งตรงข้ามก็ตะโกนตอบกลับเป็นเสียงเดียวกันว่า: “ไม่รัก!” 

 

 

พวกครูฝึกต่างก็ขำจนแทบบ้า ฉากนี้มันช่างเป็นอะไรที่ตลกมาก 

 

 

แต่ว่าต้องนับถือใจของโจวเฉวียนมากจริงๆ เพราะเขาก็ยังคงร้องต่อไป: “เธอรักฉันบ้างหรือเปล่า ฉันไม่รู้ควรจะพูดอะไร…” 

 

 

สายตาของชุยหังเริ่มจะเคลื่อนไหวแล้ว เขามองไปทางโจวเฉวียนที่กำลังอินสุดๆ มองไปทางกลุ่มคนที่กำลังมีความสุข 

 

 

ทุกคนต่างกำลังช่วยเสริมแรงให้โจวเฉวียน ตะโกนร้องช่วยกันไม่หยุด ชุยหังก็เริ่มตะโกนตามแล้วสองสามคำ แต่เมื่อสายตาของเขากวาดมองไปทางบรรดาครูฝึกก็เห็นสายตาของหลูจื้อกำลังมองมาที่ตนเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ 

 

 

จากนั้นวินาทีนั้นทั้งสองคนก็เลื่อนสายตาเลี่ยงไปอย่างรู้กันทั้งสองฝ่าย 

 

 

“เธอรักฉันบ้างไหม รักฉันบ้างไหม…” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] โยนอิฐล่อหยก (抛砖引玉)อุปมาว่า ใช้ความคิดเห็นที่ตื้นๆ เพื่อล่อให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นที่ลึกซึ้งและเฉียบแหลมออกมา 

 

 

[2] รักฉันไหม (爱不爱我-零点乐队)ชื่อเพลง