ตอนที่ 74 ตีกลองส่งดอกไม้ / ตอนที่ 75 น้ำตาที่แฝงในเพลงรักทะเลตะวันตก

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 74 ตีกลองส่งดอกไม้

 

 

“เยี่ยม เยี่ยม!”

 

 

หลังจากโจวเฉวียนร้องเสร็จ เขายังทำท่าส่งจูบให้สาวๆ ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางที่ดูมึนเมาสุดๆ อีกด้วย

 

 

บรรดาครูฝึกหัวเราะกันเกรียวกราว เจ้าเด็กคนนี้น่าสนใจดีเหมือนกัน

 

 

ชุยหังกำลังคิดว่าโจวเฉวียนอยากจะแสดงหน้าของตัวเองต่ออาจารย์ที่ปรึกษาและบรรดาครูฝึก ครั้งนี้อย่างน้อยที่สุดก็คงจะทำให้มีคนจดจำเขาได้แน่นอน

 

 

ในมหาวิทยาลัยนี้อาจารย์ที่ปรึกษาทุกคนต้องคอยดูแลนักศึกษาตั้งหลายคน การจะทำให้เขาจดจำใครได้สักคนนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

 

 

อีกทั้งผู้ที่จะปฏิบัติการดูแลห้องและผู้ปฏิบัติการดูแลกลุ่มเดิมทีก็มีจำนวนจำกัด ดังนั้นการที่สามารถทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาจดจำได้นับว่าเป็นกุญแจสำคัญ

 

 

การแสดงออกของโจวเฉวียนที่มีประสิทธิภาพสูง ในตอนนี้มันมากพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้คนแล้ว

 

 

ชุยหังไม่ค่อยให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องออกหน้าออกตาอะไรพวกนี้ แต่ว่าต้องกดไลค์ยอดเยี่ยมให้กับโจวเฉวียนเลยจริงๆ

 

 

เมื่อครู่นี้ถ้าหากทุกคนต่างก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา ห้องสามคงจะต้องอับอายขายหน้ามากแน่

 

 

ดังนั้นประโยชน์ของการขึ้นต้นนำทีมของเขานี้นับว่าดีมากเลยทีเดียว

 

 

หลังจากที่โจวเฉวียนนั่งลงห้องสามก็ท้าทายห้องสองต่อ เพราะเมื่อครู่นี้เป็นครูฝึกของห้องสองที่พูดอยู่ตลอด และเป็นเขาที่บอกให้ห้องสามนำร้องขึ้นมาก่อน

 

 

หลังจากห้องสองคัดเลือกคนอยู่สักพักก็เป็นหัวหน้าชั่วคราวขึ้นมาร้องเพลงเหมือนกัน

 

 

ต่อมาก็ตามด้วยห้องสี่ ห้องหนึ่ง ห้องห้า ตลอดจนห้องของพวกการจัดการทางทะเลต่างก็ร้องกันหมดแล้ว

 

 

บรรยากาศภายในสนามกีฬาดีกว่าก่อนหน้านี้มาก ทุกวันเอาแต่ยืนท่าระเบียบตลอด เมื่อจู่ๆ ก็มีกิจกรรมสนุกสนานแบบนี้ขึ้นมาต่างก็ทำให้พวกเขาตื่นเต้นอย่างมาก

 

 

ถึงแม้ว่าเมื่อวนไปถึงห้องไหน ห้องนั้นต่างก็พากันหลบหน้าหลบตา แต่ว่าความสนุกมันก็อยู่ในช่วงกิจกรรมฆ่าเวลาแบบนี้แหละ

 

 

“เอาล่ะ พอสมควรแล้วนะ เล่นกันพอหรือยัง” หลูจื้อถาม

 

 

“ยังค่ะ ครูฝึกครับอีกสักคนเถอะ?” ผู้หญิงจากการจัดการทางทะเลพูดขึ้น

 

 

หลูจื้อหันไปมองพวกเขาก่อนจะพูดต่อ: “ถ้าอย่างนั้นพวกผู้หญิงก็แล้วกัน”

 

 

“ไม่ได้ พวกเราร้องไม่เป็น” เหล่าผู้หญิงไม่กี่คนนั้นพูดขึ้น

 

 

หลูจื้อพูดต่อ: “พวกเธอเองร้องไม่ได้ เอาแต่จะให้คนอื่นร้อง แล้วพวกเธอจะมาร้องโวยวายอะไรเล่า”

 

 

“ครูฝึกร้องสักเพลงเถอะค่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น

 

 

จากนั้นก็มีคนสนับสนุนอยากให้หลูจื้อร้องบ้าง

 

 

หลูจื้อปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา: “ครูฝึกของพวกนายร้องดี ให้เขาร้องเถอะ”

 

 

ทุกคนต่างฝ่ายต่างยืนกรานไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายครูฝึกประจำห้องสองคิดวิธีการออกอย่างหนึ่งจึงพูดขึ้น: “เพลงสุดท้ายนี้ ถ้าหากหมวกในมือของผมมันส่งตกไปอยู่ในมือของใคร คนนั้นต้องร้อง”

 

 

“ดี ดี” ทุกคนแสดงออกแบบนี้ถือเป็นการสนับสนุน แบบนี้ก็ยุติธรรมดี และเนื่องจากมันมีความไม่แน่นอนอยู่ในนั้นจึงทำให้ทุกคนต่างก็ตื่นเต้น

 

 

อันที่จริงมันก็เหมือนกับพื้นฐานของการตีกลองส่งดอกไม้ เพียงแต่ครูฝึกใช้การตะโกนเสียงสัญญาณมาแทนการตีกลอง

 

 

ครูฝึกของห้องสองเบิกตาขึ้นจากนั้นเอาหมวกเบเร่ต์ที่พึ่งจะหยิบมาจากคนอื่นโยนออกไป ก่อนจะเริ่มตะโกน: “หนึ่ง สอง สาม สี่…”

 

 

ปรากฏว่าสุดท้ายหมวกมันก็ยังเลือกที่มาตกลงทางฝั่งของห้องสาม

 

 

หลูจื้อดูออกว่าเขาตั้งใจอยากจะให้ห้องสามออกมาร้องอีกสักเพลง แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน เขาจึงไม่ได้พูดอะไร

 

 

ไม่นานหมวกมันก็ส่งมาตกอยู่ในมือของเหลียงจื้อ ชุยหังส่งสัญญาณให้เขารีบส่งต่อออกไป แต่ว่าเหลียงจื้อกลับหันมองเขายิ้มๆ พลางกำหมวกไว้ในมือไม่ยอมปล่อย

 

 

ชุยหังสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากจะหลบไปด้านหลัง แต่วินาทีนี้เองครูฝึกของห้องสองกลับตะโดนขึ้นมากะทันหัน: “หยุด!”

 

 

ในวินาทีนั้น เหลียงจื้อก็เอาหมวกในมือยัดใส่ในมือของชุยหัง

 

 

ชุยหังรับหมวกเหมือนกลับจับโดนมันเทศที่พึ่งจะออกจากเตาไฟไม่มีผิด รู้สึกว่ามันลวกมืออยากจะโยนออกไปแต่กลับทำไม่ได้

 

 

หลูจื้อมองมาทางชุยหัง นิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่ได้มีท่าทางว่าจะช่วยชุยหังพูดอะไร ก่อนจะค่อยๆ เบือนสายตามองไปทางอื่นแทน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 75 น้ำตาที่แฝงในเพลงรักทะเลตะวันตก

 

 

“นี่มันของนายนะ นี่นับว่านายเล่นโกงนะ” ชุยหังหันไปพูดกับเหลียงจื้อ

 

 

“ฉันไม่สน ในเมื่อตอนนี้หมวกมันอยู่ในมือของนายแล้ว” เหลียงจื้อพูดยิ้มๆ

 

 

ชุยหังทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ชินกับการร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้เลยจริงๆ นะ

 

 

ครูฝึกประจำห้องสองหันกลับมาพูดขึ้น: “หมวกล่ะ? อยู่ในมือใคร ทำไมไม่มีคนลุกขึ้นล่ะ”

 

 

ครูฝึกที่ยืนอยู่ข้างห้องสามมองเห็นชุยหังแล้ว ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า : “ในมืออาซ้อ นายดูสีหน้าผบ.ของพวกเราสิ”

 

 

ครูฝึกทุกคนหันไปมองทางหลูจื้อ ด้านหลูจื้อก็กระแอมออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น: “มองฉันทำไมเล่า ใครต้องร้องก็ร้องไปสิ พอดีฉันก็ไม่เคยฟังเขาร้องเลยเหมือนกัน”

 

 

“เหลาอู่ ร้องสักเพลงเร็ว” จ้าวหลินตะโกนขึ้นมา

 

 

ถังเฉิงก็จงใจเปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเองแล้วตะโกนขึ้น: “เสี่ยวอู่จึ ฉันรักนาย นายหล่อมากเลย ร้องสักเพลงเร็ว”

 

 

ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมายิ่งทำให้ชุยหังเก้อเขินมากขึ้นไปอีก

 

 

เหลียงจื้อดึงเขาขึ้นจากนั้นก็แย่งหมวกในมือเขาส่งคืนให้ครูฝึก

 

 

ครูฝึกห้องสองเดินเข้ามาหา พลางกลั้นขำก่อนจะถามขึ้น: “ชื่ออะไร ร้องเพลงอะไร”

 

 

“เอ่อคือ…แค้กแค้ก…ชุยหัง”

 

 

ชุยหังก็กระแอมเสียงไอออกมาเบาๆ เพื่อปิดบังความตื่นเต้นของตัวเอง

 

 

“ชุยหัง จัดมาเร็ว!” จู่ๆ ครูฝึกประจำห้องสองก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง ทำเอาชุยหังตกอกตกใจหมด

 

 

จากนั้นบรรดาเพื่อนนักเรียนที่อยู่รอบบริเวณนั้นก็พากันตะโกนให้เขาร้องสักเพลง

 

 

ชุยหางมองใบหน้าที่ยิ้มกรุ้มกริ่มของพวกเขา ความรู้สึกแบบเหมือนขี่หลังเสือแล้วลงยากอะไรแบบนั้น

 

 

“เอาล่ะทุกคนเงียบหน่อย ให้เขาร้อง” ครูฝึกห้องสองควบคุมสถานการณ์อย่างดี

 

 

ทุกคนต่างกำลังคาดหวังว่าชุยหังจะร้องเพลงอะไรออกมา โจวเฉวียนยืนมองอยู่อีกทางด้านหนึ่ง ดูเหมือนอยากลองทำดูอีก

 

 

พอครูฝึกคนอื่นๆ เห็นเขาก็ร้องถามออกมาตรงๆ : “ก่อนหน้านี้นายร้องไปแล้วไม่ใช่หรอ ห้ามร้องแทนยังอยากจีบสาวอีกหรือไง”

 

 

โจวเฉวียนก็นั่งลงกับที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ก่อนจะพูดกับชุยหังว่า: “พี่น้อง ฉันช่วยนายไม่ได้แล้วล่ะ”

 

 

ชุยหังทนต่อไปไม่ไหวจึงเหลือบไปมองทางหลูจื้อกลับพบว่าเขายังคงหันมองไปทางอื่น

 

 

ความรู้สึกแบบฉันกำลังมองนาย แต่นายกลับมองไม่เห็นมันทำให้เขาเจ็บปวด

 

 

เขากระแอมในคอเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น: “ถ้าร้องไม่ดีก็หวังว่าทุกคนจะให้อภัยด้วยนะ”

 

 

“ไม่เป็นไร ร้องออกมาก็พอแล้ว” ครูฝึกห้องสองตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดขึ้น

 

 

ชุยหังกัดฟันแน่น พลางควบคุมลมหายใจก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพยายามให้ตัวเองเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแต่ไม่ใช่กลุ่มคนที่กำลังโห่ร้องอยู่นั้น

 

 

“นับตั้งแต่ที่เธอจากไป ความอบอุ่นก็พลันเลือนหาย รอคอยบนภูเขาหิมะอยู่เนิ่นนาน ฟังเสียงลมหนาวที่ยังดังก้อง”

 

 

เพลงนี้เป็นเพลงที่ชุยหังชอบมากที่สุดเพลงหนึ่ง เหมือนทุกครั้งที่ไปคาราโอเกะจะต้องเลือกมัน

 

 

เพียงแต่ตอนนี้พึ่งจะตระหนักได้ถึงความวังเวงที่อยู่ข้างในนั้น

 

 

วินาทีนั้นทุกคนถูกดึงเข้าบรรยากาศไปด้วยทันที ถึงแม้ว่าชุยหังร้องเพลงจะไม่มีเทคนิคพิเศษอะไร แต่เขาร้องเพลงสื่ออารมณ์ได้ดีมาก

 

 

ขนาดหลูจื้อก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองชุยหัง

 

 

“ยังจำที่เธอเคยสัญญาว่า ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ไปไหน แต่เธอกลับตามนกย้ายถิ่นบินกลับลงใต้ไปไกลแสนไกล ความรักเหมือนว่าวที่เชือกขาด ไม่อาจฉุดรั้งคำสัญญาของเธอ”

 

 

“เยี่ยม!” ชุยหังพึ่งจะร้องถึงท่อนรองก็มีคนร้องออกมาว่าเยี่ยมยอดแล้ว

 

 

ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสดชื่น กับเสียงสูงต่ำทรงพลังที่ดูไม่ค่อยจะเข้ากับรูปร่างของเขามากเท่าไหร่ ประกอบกันออกมาเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ความรู้สึกเหมือนใจแตกสลายทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งอินกับมันได้อย่างง่ายดาย

 

 

บรรดาพวกผู้หญิงที่พึ่งจะตะโกนโห่ร้องอยู่เมื่อครู่ ต่างจ้องมองมาที่ชุยหังด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือ มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันวางไว้ใต้คางของตัวเองอย่างตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

 

 

“ฉันรอคอยความอบอุ่นบนยอดเขาในวันฤดูใบไม้ผลิอย่างทรมาน รอคอยการกลับมาของห่านป่าบนที่ราบสูงหลังหิมะละลาย รักไม่อาจยั่งยืนต่อไปได้ เราไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเช่นเคย”

 

 

หลังเสียงเพลงจบลงทุกคนก็พากันส่งเสียงปรบมือเกรียวกราว น้ำตาที่คลอเคลียอยู่ในดวงตาของชุยหังเมื่อครู่ ร่วงหล่นลงจากหางตาอย่างเงียบๆ

 

 

และน้ำตาหยดนี้หลูจื้อก็เห็นมันเข้าพอดี ความรู้สึกประดังประเดเข้ามาพร้อมกันหมด