บทที่ 49 ระบำกระบี่อันงดงาม

บุหลันเคียงรัก

เห็นแขกมากันพอประมาณแล้ว มหาเทพจูเซวียนก็ยิ้มแล้วเอาของล้ำค่าของวันนี้ออกมา เป็นหินวิญญาณก้อนหนึ่งที่เขาไปเสาะหามาจากโลกเบื้องล่าง ซึ่งว่ากันว่ามีดวงวิญญาณถือกำเนิดขึ้นในนั้น

 

 

น่าเสียดายที่เทพทั้งหลายต่างก็ไม่ได้สนใจกันมากนัก ใครจะมองออกว่าหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำสีเขียวนั่นมีวิญญาณหรือไม่ ส่วนที่มหาเทพจูเซวียนพูดถึงเสียงหายใจ หรือมีการขยับตัวอะไรนั่น พวกเขาไม่มีใครมองเห็นเงื่อนงำอะไรเลย ล้อมวงกันดูหินอยู่ครู่หนึ่งก็พากันสลายตัว

 

 

คิดไม่ถึงว่า รายการก่อนรั้งท้ายจะกลายเป็นไม่ดีเช่นนี้ มหาเทพจูเซวียนจึงได้แต่หันไปกระซิบกระซาบกำชับอะไรบางอย่างกับเหล่าเทพบริวาร ผ่านไปครู่หนึ่ง ด้านหลังพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้นมา และมีเทพบริวารสิบกว่าคนดันรถเข็นล้อเดียวขนาดใหญ่เข้ามา บนรถเหมือนจะมีกล่องกระดาษใบใหญ่อยู่กล่องหนึ่ง พอเข้าไปใกล้แล้วถึงได้รู้ว่ากล่องนั้นแปะกระดาษสีขาวไว้ทั่ว และบนกระดาษทุกแผ่นก็จะใช้ชาดวาดคาถาเอาไว้จนเต็ม

 

 

เทพที่ไม่เข้าใจต่างก็พูดคุยกัน ได้ยินว่ามหาเทพจูเซวียนเก็บเล็บของราชาชือโยวกับกะโหลกของราชาก้งกงเอาไว้ หรือว่าเพราะทุกคนไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบรับกับหินวิญญาณนัก เขาจึงได้เอาของสองสิ่งนั้นออกมาให้ทุกคนได้ชื่นชมกัน

 

 

มหาเทพจูเซวียนพยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณ บรรดาเทพบริวารก็พากันฉีกกระดาษที่เต็มไปด้วยคาถาบนกล่องนั้นออกอย่างคล่องแคล่วว่องไว เผยให้เห็นกล่องโลหะสีดำสนิทกล่องหนึ่ง จากนั้นก็พากันแยกย้ายออกไปอย่างกริ่งเกรง

 

 

มหาเทพจูเซวียนอดยิ้มออกมาไม่ได้แล้วกล่าวว่า “ของสิ่งนี้ถูกผนึกไว้ด้วยพลังเทพมหาศาล จะกลัวอะไร ทุกท่าน โฮ่วอี้ยิงพระอาทิตย์ที่โลกเบื้องล่างแล้ว เปิ่นจั้วก็พยายามอย่างยากลำบากเพื่อไปหาธนูดอกสุดท้ายที่โฮ่วอี้ใช้ยิงออกไปที่ดินแดนเหนือสุดของโลกเบื้องล่างแล้วเอากลับมา ซึ่งก็คือสิ่งนี้เอง ถึงแม้ว่าอายุจะเก่าแก่มากแล้ว แต่ว่าลูกธนูกลับยังคงแลดูดุดันอย่างประหลาด เป็นของใช้สังหารเทพที่รวมความเกลียดชังของเหล่าปุถุชนเอาไว้ เปิ่นจั้วใช้อากาศบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงมานานปี จนกระทั่งตอนนี้ถึงได้นำออกมาให้ทุกท่านได้ชื่นชม เสี่ยวเป้ย [1] ทุกท่านต้องระวังให้มาก อย่าเข้าไปใกล้มัน”

 

 

เขาสะบัดแขนเสื้อ กล่องสีดำสนิทใบนั้นก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ ตรงกลางมีลูกธนูสีแดงขนาดประมาณนิ้วมือดอกหนึ่งถูกโซ่ทองสวรรค์ผนึกเอาไว้ แม้ผ่านไปแล้วหลายปี แต่ของสังหารเทพที่มนุษย์บนโลกเบื้องล่างสร้างขึ้นกลับยังคงแหลมคมราวกับของใหม่ แค่มองก็ยังต้องใจเย็นวาบด้วยความกลัว

 

 

ในที่สุดเทพทุกคนก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตื่นตะลึง ของชิ้นนี้น่าสนใจกว่าหินสีเขียวประหลาดก้อนนั้นมากนัก

 

 

กู่ถิงมองไปรอบๆ แล้วอดที่จะดึงแขนเสื้อของฝูชางไม่ได้ พลางหัวเราะเสียงต่ำ “ยังดีที่วันนี้เทพีซีเหอไม่ได้มา”

 

 

ไม่อย่างนั้นเกรงว่าไม่เพียงแต่ฝูชางที่ต้องรู้สึกลำบาก แต่แขกทั้งหมดที่มาจวนจูเซวียนอวี้หยางเองก็ต้องพลอยรู้สึกลำบากไปด้วย หากว่าเทพีซีเหอได้เห็นธนูของโฮ่วอี้เข้า น้ำตาของนางคงสามารถแผดเผาจวนอวี้หยางทั้งจวนจนมอดไหม้ได้แน่

 

 

ของล้ำค่านำออกมาแล้ว เทพแต่ละคนต่างก็พากันเข้าไปชื่นชม ฉากกั้นลมรูปภูเขาและแม่น้ำปรากฏขึ้นบนแท่นหยก เหล่านักดนตรีของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ก็ลอยมาถึงหลังฉาก เสียงของปี่และเครื่องสายดังขึ้นอย่างไพเราะ เพลงที่บรรเลงออกมาก็คือเพลงจิ่วเสา

 

 

ตอนนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานครื้นเครง เทพองค์ใดใคร่จะไปชื่นชมของล้ำค่าก็ไป ใครใคร่จะพูดคุยกันก็คุย ใครอยากจะไปดื่มกินเล่นก็ไปทำ เป็นภาพที่แลดูสบายๆ ยิ่งนัก มีเพียงมหาเทพไป๋เจ๋อเท่านั้นที่ดึงแขนเสื้อของมหาเทพจูเซวียนเอาไว้ไม่ปล่อย “เจ้าจูเซวียน เล็บนิ้วของราชาชื่อโยวกับหัวกะโหลกของราชาก้งกงอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่เอาออกมา”

 

 

มหาเทพจูเซวียนรู้ถึงความประหลาดของเขาดี จึงฝืนยิ้มออกมา “มหาเทพไป๋เจ๋อ ของทั้งสองอย่างนั้นคือของที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงได้แต่เก็บรักษาไว้ในเจดีย์แก้วมรกต เอาออกมาไม่สะดวก หากว่าท่านอยากจะเห็น เปิ่นจั้วจะพาท่านไปที่เจดีย์แก้วมรกตเป็นอย่างไร”

 

 

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร มหาเทพไป๋เจ๋อก็เป็นเผ่าเทพรุ่นอาวุโส พาเขาไปดูครู่หนึ่งก็น่าจะขอตัวมาได้แล้ว มหาเทพจูเซวียนที่น่าสงสารพาเขาไปยังเจดีย์แก้วมรกตด้วยความคิดที่ไร้เดียงสา จากนั้นก็ต้องร้องอย่างขมขื่นด้วยน้ำตานองหน้าเสียเวลาอยู่ที่นั่นไปหลายชั่วยาม แต่ว่ามหาเทพไป๋เจ๋อก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมา นั่นคือเรื่องของภายหลัง

 

 

กู่ถิงเลือกเอาสุราไท่ชิงมาสองไห และรากบัวมรกตอีกจาน วันนี้เสวียนอี่ช่วยพูดคำที่ติดอยู่ในใจเขามานานเหล่านั้นออกไป เขารู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก และคิดอยากจะไปดื่มกับพวกเขาสักสามร้อยแก้วให้เมาหัวราน้ำสักครั้ง เขามองไปรอบๆ ไม่เห็นเสวียนอี่ แต่กลับเห็นฝูชางยืนอยู่ห่างออกไปอีกด้านแทน ตรงข้ามเขามีเทพเครายาวคนหนึ่งกำลังพูดคุยกับเขาอย่างกระตือรือร้น ด้านหลังเทพเครายาวคนนั้นยังมีเทพสาวตัวน้อยยืนหน้าแดงก่ำอยู่คนหนึ่ง และยังชายตามองไปที่เขาเป็นครั้งคราว

 

 

จื่อซีเห็นภาพนี้เข้า ใจก็เต้นรัวแล้วอดไม่ได้พร้อมเอ่ยปากออกมา “ศิษย์น้องฝูชางกำลังทำอะไร”

 

 

กูถิงกลับยิ้มแล้วกล่าวออกมาอย่างคุ้นชินว่า “มีเผ่าเทพอยากจะแนะนำบุตรสาวของตัวเองให้เขาอีกแล้ว เรื่องนี้เห็นได้บ่อยไป ท่านดูสิว่าเขาลูบแขนเสื้อไม่หยุด ในใจคงต้องเบื่อหน่ายมากเป็นแน่”

 

 

นับตั้งแต่ที่เขารำกระบี่ไปในงานเลี้ยงธิดาจักรพรรดิสวรรค์ ฝูชางก็พลันมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา หนึ่งเพราะเขามีฐานะสูงส่ง เป็นถึงบุตรชายคนเดียวของเทพบูรพา สองเพราะบุคลิกที่เขาเคารพกฎเกณฑ์ของแดนเทพ ไม่มีข่าวลือเสียหาย แค่ข้อนี้ก็ทำให้เผ่าเทพมากมายที่มีบุตรสาวชอบใจกันอย่างมากแล้ว ครั้งที่แล้วจักรพรรดิสวรรค์คิดจะจับคู่ให้เขากับองค์หญิงตระกูลจู๋อินแต่ว่าไม่สำเร็จ ยิ่งทำให้ทุกคนพากันเคลื่อนไหว ก่อนหน้านี้เขาอยู่แต่ในตำหนักหมิงซิ่งตลอดก็ยังไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้เข้ามาร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ แน่นอนว่าเป็นโอกาสที่ดีของพวกเขา

 

 

กู่ถิงมีใจจะช่วยเขาจึงตะโกนออกไปว่า “ฝูชาง! มาทางนี้หน่อย!”

 

 

ฝูชางพยักหน้า คารวะให้เทพเครายาวคนนั้น จากนั้นจึงเดินกลับมาแล้วถอนหายใจ “ขอบคุณมาก”

 

 

กู่ถิงยิ้มแล้วโอบบ่าของเขาไว้ “มา มาดื่มเป็นเพื่อนข้า น่าเสียดายเจ้าปีศาจน้อยเสวียนอี่มิรู้ไปซ่อนอยู่ไหน ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้นางดื่มหลายแก้วแน่”

 

 

หาเสวียนอี่ไม่เจอ? ฝูชางยกแก้วหยกน้ำเงินจรดริมฝีปากล่าง พอได้ยินที่กู่ถิงกล่าวก็มองไปรอบๆ แล้วเขาก็มองไปทางต้นหม่อนขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปทันที นางก็อยู่ตรงนั้นไม่ใช่หรือ กำลังก้มหน้าก้มตาปั้นเจดีย์แก้วสีขาวหิมะในมืออย่างตั้งใจ ร่างของนางกว่าครึ่งถูกเงาบดบังเอาไว้ ดูแล้วเงียบสงบอย่างประหลาด

 

 

เขาพลันพบว่า การจะหาองค์หญิงมังกรนั้นไม่อยาก หากเทียบกับการพูดคุยที่ครึกครื้นแบบนี้ นางดูเหมือนจะชอบการอยู่คนเดียว และซ่อนอยู่ในเงามืดมากกว่า นางกำลังคลึงก้อนสีขาวประหลาดนั่นซ้ำไปซ้ำมาราวกับกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องดนตรีมิปาน

 

 

กู่ถิงเหมือนว่ากำลังพูดอะไรกับเขา เขาจึงละสายตากลับมาแล้วตอบรับไปอย่างไม่มีสมาธินัก แต่ไม่นานเขาก็เบนสายตามองไปยังใต้ต้นหม่อนนั่นอีกอย่างไม่อาจห้ามใจ

 

 

สีเขียวเข้มตัดกับสีแดงอ่อน แสงสว่างกับเงามืดต่างกลืนกันและกัน ราวกับภาพที่โดดเดี่ยวภาพหนึ่ง

 

 

ฝูชางวางแก้วสุราในมือลงอย่างไม่รู้ตัว เกิดความคิดอยากจะเข้าไปหาขึ้นมากะทันหัน

 

 

ร่างเขาขยับตัว แต่พลันมีเสียงระฆังดังขึ้นพร้อมกับเสียงปี่ที่นุ่มนวลลอยมา จังหวะเร่งเร้าขึ้น ฝูชางพลันได้สติ ในใจก็ลอบคิดว่าไม่ดีแล้ว ตอนนี้ดนตรีกำลังบรรเลงเพลงจิ่วเกออยู่

 

 

แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของรัชทายาทฉางฉินเรียกเขา “ฝูชาง! มาร่วมรำกระบี่เพิ่มอรรถรสดีหรือไม่”

 

 

วาจาประโยคนี้กล่าวออกไป เทพทั้งหลายต่างก็พากันยินดี รำกระบี่ของเทพฝูชางในงานเลี้ยงธิดาจักรพรรดิสวรรค์ปีนั้นโด่งดังไปทั่วสารทิศ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็น! จื่อซีตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ รู้สึกเขินอายขึ้นมา นางไม่อยากจะให้คนอื่นมองเห็น แต่กลับไม่สามารถเก็บงำอารมณ์บนใบหน้าได้

 

 

ฝูชางหมุนตัวไป รัชทายาทฉางฉินกอดพิณห้าสิบสายไว้ในอก และกำลังกวักมือเรียกเขาพร้อมกับยิ้มออกมา เขาส่ายศีรษะช้าๆ ว่าไม่อยากเข้าไป แต่รัชทายาทฉางฉินสนใจเสียที่ไหน เสียงพิณห้าสิบสายดังขึ้น เสียงพิณราวกับเสียงที่เร่งเร้าให้เขาขึ้นไป

 

 

ฝูชางขมวดคิ้วน้อยๆ และก็ต้องถือกระบี่ฉุนจวินขึ้นไปอย่างจนใจ กระบี่ชี้ไปทางตะวันออก แล้วขึ้นไปบนนั้นอย่างงดงาม

 

 

เดิมเพลงจิ่วเกอก็เป็นเพลงที่คึกคักฮึมเหิมอยู่แล้ว เสียงพิณห้าสิบสายในอกที่รัชทายาทฉางฉินดีดมายิ่งทำให้ดนตรีมีทำนองรุนแรงขึ้น ฝูชางถือกระบี่ฉุนจวินไว้ในมือแล้วเริ่มรำกระบี่ ทั่วทุกด้านเต็มไปด้วยพลังรุนแรง เสียงดังลั่นไปทั่ว ขนาดเสวียนอี่อยู่ไกลขนาดนี้ยังถูกเสียงดังนั่นทำให้ปวดหัว

 

 

นางไม่ได้สนใจการรำกระบี่ของเขาเลย กระบี่และยังเสียงดังขนาดนี้ นางจึงมองไปรอบๆ เพื่อหาที่สงบแล้วจะได้ปั้นเจดีย์หิมะในมือของนางต่อ

 

 

ด้านหลังพลันได้ยินเสียงเ**้ยมดังขึ้นมา” ที่แท้ก็มาหลบอยู่ที่นี่เอง! หึ! ดูสิว่าคราวนี้ใครจะมาช่วยเจ้า!”

 

 

เสวียนอี่ตกใจไป แล้วก็ถูกคว้าตัวลงมาจากเก้าอี้นวมอย่างป่าเถื่อน

 

 

เทพที่คว้านางดูแล้วก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่านางกลับไม่มีแรงต่อต้านและถูกจับไว้ได้ง่ายขนาดนี้ จึงอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หนีบเสวียนอี่ไว้ใต้รักแร้ พลางใช้มือปิดปากกับจมูกของนางไว้เพื่อป้องกันนางร้องตะโกน

 

 

“ไปเร็ว อย่าให้พวกเขาเห็นเข้า!” เทพที่อยู่ด้านหลังเขามองไปรอบด้านแล้วกล่าวเสียงเครียด กลัวว่าจะถูกคนอื่นเห็นเข้า

 

 

เทพที่เป็นผู้ลงมือมองซ้ายมองขวา เห็นป่าเซียนเหมยที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีหอสูงที่โอ่อ่างดงามหลังหนึ่งบังอยู่ ก็ส่งสายตาแล้วให้เทพทุกองค์รีบไปที่ป่าเซียนเหมยนั่นทันที

 

 

พอเข้าไปในป่าเซียนเหมยแล้ว นางก็ถูกโยนลงไปที่พื้น แล้วเทพที่จับนางคนนั้นก็กล่าวเสียงเข้มว่า “ดูสิว่าเจ้ายังจะอวดดีอย่างไร! หึ! เทพสาวตัวน้อยที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกลับกล้าพูดจาอวดดี! วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนผู้ใหญ่ตระกูลเจ้าเอง! เจ้าจำไว้ว่า ข้าชื่อมั่วเจา! มั่วเจาตระกูลโหย่วอวี๋! ข้าจะดูสิว่าเจ้ากล้าหาเรื่องตระกูลโหย่วอวี๋ไหม!”

 

 

เสวียนอี่เงียบ ลูกตากลอกกลิ้งไปมา พินิจมองพวกเขาดูรอบหนึ่ง ที่แท้ก็คือเทพที่เมื่อครู่นี้อยู่ที่เจดีย์แก้วมรกตนี่เอง คิดว่าพวกเขาคงมาแก้แค้นนาง

 

 

“ทำไม ตกใจจนพูดไม่ออกหรือไร” เทพมั่วเจายิ้มเย็น “เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ตรงเจดีย์ เจ้าไม่ใช่ว่าปากดีนักหรอกหรือ! พูดอีกสิ!”

 

 

เดิมเขาอยากจะขู่เทพธิดาตัวน้อยคนนี้ อยากจะฟังนางร้องไห้ตะโกน แล้วค่อยให้นางขอโทษก็พอ แต่ใครจะรู้ว่านางกลับค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แค่นเสียงฮึอย่างดูถูกออกมาด้วยท่าทีสูงศักดิ์อย่างคนที่อยู่เหนือกว่า นี่มันทำให้เขาโมโหยิ่งกว่าท่าทีโอหังอวดดีเสียอีก

 

 

เทพมั่วเจาตะคอกอย่างมีโทสะ “ฮึอะไร?! รีบขอโทษซะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะถอดเสื้อผ้าของเจ้าออกให้หมด!”

 

 

นางค่อยๆ งอเข่าลงนั่งยองๆ ปัดฝุ่นที่กระโปรงออก แล้วเก็บเจดีย์สีขาวที่ปั้นไปกว่าครึ่งแล้วขึ้นมา จากนั้นเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระวัง

 

 

ดูแล้วการรับมือกับพวกสิบตรี ก็ต้องใช้วิธีแบบสิบตรีเสียแล้ว

 

 

บนพื้นหญ้าที่นุ่มนิ่มไม่รู้ว่ามีน้ำแข็งจับตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เริ่มมีหิมะตกลงมากลางอากาศ เทพทั้งหลายรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างประหลาด ขนาดกระดูกยังเหมือนกับจะแข็งตัว และที่น่าแปลกกว่าก็คือ ป่าเซียนเหมยที่เดิมมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมากลับพลันมืดครื้ม

 

 

ทีนี้ เทพทั้งหลายต่างก็เข้าใจขึ้นมาได้ทันที แล้วต่างก็กล่าวอย่างตกใจว่า “ตระกูลจู๋อิน! นางคือองค์หญิงน้อยของตระกูลจู๋อินคนนั้น!”

 

 

“ตระกูลจู๋อินแล้วจะทำไม!” มั่วเจาแอบตกใจแต่ยังปากแข็ง “เป็นตระกูลจู๋อินแล้วสามารถพูดจาอวดดีได้งั้นหรือ?! ข้าต้องลองพูดกับมหาเทพจงซานดูเสียหน่อยแล้ว!”

 

 

แต่เทพคนอื่นๆ กลับไม่ได้แข็งขืนต่อ พวกเขาต่างพากันถอยหลัง มั่วเจาจะต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ทะเลหลี่เฮิ่นที่ถูกความมืดแช่แข็งห่างจากที่นี่ไปหนึ่งร้อยลี้ ไม่ว่าใครผ่านไปก็ต้องหวาดกลัวฝีมือของตระกูลจู๋อินทั้งนั้น แต่ว่าเขากลับยังกล้าไปท้าทาย นี่เรียกว่าไม่รู้จักกลัวตายเสียแล้ว

 

 

เทพทั้งหลายต่างก็ประสานมือคารวะแล้วกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม “องค์หญิง เรื่องนี้ล้วนแต่เป็นเพราะมั่วเจาตระกูลโหย่วอวี๋ก่อขึ้น แค้นใครก็ชำระกับคนนั้น หากว่าองค์หญิงอยากจะเอาโทษ ได้โปรดอย่าได้พัวพันมาถึงพวกเราเลย”

 

 

เทพมั่วเจาคิดไม่ถึงว่าศิษย์ร่วมสำนักกลับเปลี่ยนหน้าเร็วราวกับพลิกกระดาษ ตวาดด้วยโทสะว่า “เจ้าพวกเหยาะแหยะ! ข้าไม่เชื่อว่านางจะกล้าทำอะไรข้าที่จวนจูเซวียนอวี้หยางนี้! มาเถอะ! หากว่าเจ้ากล้าก็มาทำให้ข้าดับสูญไปเสียตรงนี้เลย!”

 

 

สิ้นเสียงไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นมีเสน่ห์ดังขึ้นมา “สนองให้ตามที่เจ้าต้องการ”

 

 

เทพทั้งหลายเพียงรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ลอยถอยหลังออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ เทพมั่วเจาอยากจะร้องออกมา แต่ว่าตรงหน้ากลับมีแสงสว่างวาบไป หูเขาเย็นวาบ บนศีรษะเองก็เย็นวาบ แล้วหน้าอกก็เหมือนกับถูกหินขนาดใหญ่กระแทกเข้ามา เสียงร้องด้วยความตกใจของเขาก็ร้องไม่ออก ล้มลงไปที่พื้นหมดสติไปทันที

 

 

มือคู่หนึ่งคว้าเสวียนอี่ขึ้นมา นางเงยหน้าขึ้นอย่างงงงัน แล้วก็เห็นฝูชางที่ควรจะรำกระบี่อยู่ด้านหน้ากลับมายืนอยู่ตรงหน้านาง กระบี่ฉุนจวินที่ออกมาจากฝักทิ้งเอาไว้ที่พื้น บนตัวกระบี่มีรอยเลือดติดอยู่สายหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

[1] เสี่ยวเป้ย : คำเรียกผู้เยาว์หรือผู้ที่อาวุโสน้อยว่าผู้พูด