บทที่ 50 คำเชิญของวั่งซู

บุหลันเคียงรัก

เทพมั่วเจาหน้าทิ่มพื้นดิน ผมที่ถูกกระบี่ตัดกระจายไปทั่วพื้น รอยเลือดสีแดงเปรอะเปื้อนอาภรณ์สวรรค์สีขาวของเขา

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงต่ำ “…เขาตายแล้ว?”

 

 

ฝูชางพิจารณาดูนาง พอเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็กล่าวว่า “คนธรรมดาถึงจะเรียกว่าตาย เผ่าเทพมีแต่ดับสูญ”

 

 

ตอนนี้ใช่เวลามาพูดเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า เสวียนอี่ยิ่งงงงันเข้าไปใหญ่ นางมีท่าทีตั้งสติไม่ทันอย่างเห็นได้น้อยครั้ง เดี๋ยวก่อน ให้นางเข้าใจสถานการณ์หน่อย เมื่อครู่นี้ฝูชางกำลังรำกระบี่อยู่ นางถูกเทพมั่วเจาจับมาที่ป่าเซียนเหมย แล้วฝูชางก็ปรากฏตัวขึ้นที่ป่าเซียนเหมย เทพมั่วเจาตายแล้ว

 

 

นางพลันยิ้มออกมา เจ้านี่ฆ่าเผ่าเทพที่จวนจูเซวียนอวี้หยาง! นางยื่นมือไปลูบหน้าผากของฝูชาง หรือว่าเขาจะเสียสติไปแล้ว

 

 

ฝูชางเบือนหน้าออกจากมือของนาง เขาหยิบกระบี่ฉุนจวินขึ้น จากนั้นก็เช็ดรอยเลือดที่ชุดของเทพมั่วเจาจนสะอาด แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ก็แค่ให้บทเรียนกับพวกเขาเท่านั้น”

 

 

เขาหันหน้ากลับไปเห็นเสวียนอี่กำลังเรียกหิมะจู๋อินออกมา และคิดจะฝังเหล่าเทพพวกนี้ เขาก็รู้สึกว่าเพลิงโทสะร้ายกาจที่เขาเพิ่งจะกลืนลงท้องไปพลันพุ่งขึ้นมาที่ศีรษะอีก “ทำอะไร”

 

 

“ทำลายหลักฐาน” เสวียนอี่จงใจดันเหล่าเทพที่ถูกฝังหมดแล้วไปยังกองหิมะธรรมดาของป่าเซียนเหมย เพื่อป้องกันคนมาพบเห็นเข้า

 

 

ถูกนางจัดการทำลายหลักฐานอย่างนี้ ต่อให้พวกเขาไม่ดับสูญก็คงต้องดับสูญแน่! เส้นเลือดดำที่หน้าผากของฝูชางปูดนูนออกมา เขาไปขุดเอาเหล่าเทพที่น่าสงสารพวกนั้นออกมาจากหิมะจู๋อิน ลืมความจริงไปหมดแล้วว่าที่พวกเขาหมดสติไปก็เพราะตัวเขาเอง

 

 

“ห้ามขยับอีก” เขาหิ้วองค์หญิงมังกรประหลาดนี่ขึ้นมาแล้วหมุนตัวเดินไป

 

 

เสวียนอี่ยืดคอจ้องมาที่เขา คางของเขาสวยราวกับหยกชั้นดี ริมฝีปากของเขาเม้มกันราวกับกำลังโมโห เหมือนว่าเขาจะรับรู้ถึงสายตาของนางจึงก้มหน้าลงมา ดวงตาสีดำและเยือกเย็นคู่นั้นสบเข้ากับตาของนาง

 

 

นางกะพริบตา “ศิษย์พี่ฝูชางรำกระบี่เสร็จแล้วหรือ”

 

 

เขากล่าวเสียงเรียบ “อืม”

 

 

นางกล่าวเสียงอ่อนเสียงหวาน “พอรำกระบี่เสร็จก็รีบมาช่วยข้าทันที ศิษย์พี่ฝูชางช่างห่วงใยข้าจริงๆ”

 

 

ฝูชางทำราวกับไม่ได้ยินนาง คำพูดล้อเล่นที่แฝงไปด้วยความเสียดสีขององค์หญิงมังกรราวกับไปกระแทกถูกจุดอ่อนอะไรของเขาเข้า ความคิดชั่วร้ายทั้งหลายที่แฝงอยู่ในใจของเขาพลันพุ่งออกมา เขาคิดอยากจะสวนกลับไป แต่กลับพบว่าเขาไม่มีอะไรจะพูด

 

 

ออกมาจากป่าเซียนเหมยแล้วก็พลันได้ยินเสียงกระพรวนใสดังมาจากที่ไม่ไกล เสวียนอี่หันหัวกลับไปมองก็เห็นเทพเฟยเหลียนที่บนศีรษะส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งกับเทพีวั่งซูกำลังเดินมาทางนี้

 

 

เห็นพวกเขาทั้งสอง เฟยเหลียนกับวั่งซูกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เทพเฟยเหลียนยังยิ้มเย็นแล้วมองประเมินเสวียนอี่ แววตาเขาวนเวียนอยู่ที่ขาข้างขวาของนางนานเป็นพิเศษ

 

 

เสวียนอี่ยิ้มแล้วกล่าว “ผมของท่านเทพดูแล้วนุ่มลื่นเงางามมาก เห็นอย่างนี้ข้าก็วางใจแล้ว”

 

 

เทพเฟยเหลียนสีหน้าคล้ำลงทันใด “เจ้าเด็กนี่ช่างกล้านัก! บัญชีเก่าข้ายังไม่ทันได้ชำระกับพวกเจ้าเลย! วันนี้เจ้ามาอยู่ในกำมือของข้าเอง ข้าจะตัดแขนเจ้าข้างหนึ่ง! แล้วตัดขาเจ้าอีกข้าง! ดูสิว่าวันหลังเจ้ายังจะกำแหงอีกไหม!”

 

 

เทพีวั่งซูที่อยู่ด้านหลังพลันเอ่ยปาก” เทพเฟยเหลียน อย่าวู่วาม ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีธุระ”

 

 

เทพเฟยเหลียนกล่าวเสียงเย็น “เทพี เจ้าปีศาจน้อยสารเลวนี่เจ้าเล่ห์กลับกลอกยิ่งนัก! ตอนนั้นนางเล่นแง่กับข้ามากมาย! แล้วบิดาน่าตายของนางยังทำร้ายและสร้างความอัปยศให้ข้าอีก แล้วข้าจะลืมความแค้นนี้ลงได้อย่างไร!”

 

 

“หวังว่าท่านเทพจะเห็นแก่ไมตรีที่ข้ากับองค์หญิงตระกูลจู๋อินเป็นศิษย์ร่วมสำนักกัน อย่าได้เก็บความแค้นไว้ในใจเลย”

 

 

เมื่อวาจานี้ออกไป เทพเฟยเหลียนพลันสงบลงทันที แล้วพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเทพีพูดถึงขนาดนี้ ข้าก็จะไม่โมโหแล้ว”

 

 

เอ๋ เทพเฟยเหลียนที่โอหังกลับยอมฟังคำของเทพีวั่งซู เสวียนอี่อดหันไปมองเขามิได้

 

 

เทพีวั่งซูเดินนวยนาดมาถึงหน้าเสวียนอี่ แววตานั้นพินิจมองใบหน้าของนางอีกครั้งอย่างประเมิน เสวียนอี่ไม่รู้ว่านางต้องการอะไรกันแน่ จึงไม่พูดอะไรแล้วหดตัวลีบซุกอยู่ในอกของฝูชาง พลางเอียงคอแล้วยิ้มให้นาง

 

 

ฝูชางพลันเอ่ยปาก “เทพีวั่งซู ลำบากท่านแล้ว ไม่ทราบว่าเทพีอยากจะใช้พลังที่ไหน”

 

 

วั่งซูกล่าว “เมื่อครู่นี้ข้ากับเทพเฟยเฟลียนเดินหารอบจวนจูเซวียนอวี้หยางแล้ว สถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์เข้มข้นที่สุดก็คือที่ป่าเซียนเหมยแห่งนี้ ต้องเชิญท่านเทพกับองค์หญิงเข้าไปในป่าด้วย”

 

 

ไอหยา หลักฐานความผิดพวกนั้นยังนอนอยู่ในป่าเซียนเหมยอยู่เลย…เสวียนอี่ถูกอุ้มเข้าไปเงียบๆ แล้วเทพเฟยเหลียนก็เห็นเทพเหล่านั้นที่หมดสติอยู่ที่พื้น ก็ยิ้มเย็น “เจ้าเด็กใจเ**้ยมสองคน!”

 

 

เขาโปรยทรายจันทราแล้วจับพวกเขาขึ้นมาพลางถามว่า “เทพี จะทำอย่างไรกับพวกเขาดี”

 

 

“พวกเจาจับองค์หญิง ต้องจับไปอบรมสักรอบ รบกวนท่านเทพช่วยส่งพวกเขากลับไปให้มหาเทพหลีจูด้วย เทพเหล่านี้คือลูกศิษย์ของเขา”

 

 

เทพเฟยเหลียนพลิกมั่วเจาขึ้นมา หูข้างซ้ายของเขาถูกตัดเป็นแผล ผมบนศีรษะก็แทบจะถูกตัดออกหมดจนเห็นหัวล้านสะท้อนแสง มองแล้วดูน่าขันอยู่บ้าง

 

 

เจ้าเด็กที่ชื่อฝูชางนั่น วิถีกระบี่ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้วใช่หรือไม่ เทพเฟยเหลียนแอบคิดในใจ แล้วใช้ทรายจันทราลากเทพเหล่านั้นออกไปจากป่าเซียนเหมย

 

 

“เทพฝูชาง ให้ข้าดูแผลขององค์หญิงได้หรือไม่” เทพีวั่งซูดีดปลายนิ้วเบาๆ ป่าเซียนเหมยที่ว่างเปล่าพลันมีโต๊ะแก้วตัวหนึ่ง และเก้าอี้แก้วสามตัวปรากฏขึ้นมา เสวียนอี่นั้นประหลาดใจมาก นางก็ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ

 

 

ฝูชางเอานางวางไปบนเก้าอี้แก้วแล้วม้วนกระโปรงนางขึ้นไป แกะผ้าสีขาวออก “รบกวนเทพีแล้ว”

 

 

เทพีวั่งซูใช้มือลูบแผลที่เกือบจะสมานกันแล้วนั้นเบาๆ พอเห็นสายตาของเสวียนอี่ที่มักจะมองไปที่โต๊ะแก้วบ่อยๆ นางก็กล่าวเสียงเบาว่า “องค์หญิงเสวียนอี่ เดิมข้าเองก็เป็นลูกหลานรุ่นหลังของเทพมังกรเขาไท่อิน และเขาไท่อินนั้นในสมัยโบราณคือตระกูลสาขาในตระกูลจู๋อิน แน่นอนว่าการสร้างน้ำเป็นน้ำแข็งนั้นข้าเองก็ทำได้”

 

 

อ้อ เป็นอย่างนี้เอง…เสวียนอี่ยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ใครจะรู้ว่าวั่งซูพลันเอ่ยปากอีกว่า “รอให้องค์หญิงมีอายุครบห้าหมื่นปีแล้ว จะยินดีมารับตำแหน่งวั่งซูของข้าต่อหรือไม่”

 

 

เสวียนอี่คิดแล้วคิดอีก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเทพีคนนี้เอ่ยปากออกมากลับเชิญให้นางไปเป็นเทพธิดาจันทราวั่งซู จึงนิ่งอึ้งไปทันที

 

 

“เขาไท่อินนั้นเสื่อมโทรมลงไปนานแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้อายุน้อยๆ อีกแล้ว ทั้งยังไม่มีความคิดจะแต่งงานมีลูกด้วย ตำแหน่งวั่งซูนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังเทพหยินที่เยือกเย็น ข้าคิดแล้วคิดอีก ก็มีแต่เพียงองค์หญิงเสวียนอี่เท่านั้นที่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลจู๋อินยังเป็นตระกูลที่ไม่แข็งแกร่งแต่กำเนิด หากว่าองค์หญิงรับตำแหน่งวั่งซูนี้ไป จะต้องแข็งแกร่งกว่าข้ามากแน่ ขอให้องค์หญิงลองพิจารณาดู”

 

 

ถูกหมวกสูง[1]เข้ามาอย่างนี้ ทำเอาเสวียนอี่ถึงกับเวียนหัวขึ้นมา นางนิ่งเหม่อไปนานแล้วจึงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เทพีตั้งใจมาที่จวนจูเซวียนอวี้หยางนี่ หรือว่าเพราะอยากจะเชิญข้าให้รับตำแหน่งวั่งซูนี้”

 

 

วั่งซูกล่าวเนิบนาบว่า “พูดตามตรง ข้าไม่ชอบการกระทำและนิสัยของตระกูลจู๋อินมาตลอด แต่ว่ามีมหาเทพคนหนึ่งที่มีพระคุณกับข้ามาชี้แนะให้ข้า เทียบกับความแค้นส่วนตัวเหล่านี้แล้ว กฎเกณฑ์ธรรมชาตินั้นสำคัญยิ่งกว่า ตำแหน่งวั่งซูจะว่าสำคัญก็สำคัญ จะว่าไม่สำคัญก็ไม่สำคัญ แต่ว่าก็ยังต้องให้ผู้ที่เหมาะสมที่สุดมารับตำแหน่ง องค์หญิงไม่ต้องรีบร้อนตอบข้าในตอนนี้ ข้าหวังว่าชะตาที่ได้มาเจอกันในวันนี้จะทำให้ท่านมีทางเลือกมากขึ้นตอนอายุครบห้าหมื่นปี”

 

 

นางเอาถุงแพรสีเขียวใบหนึ่งออกมาจากในอก ด้านในมีแสงจางๆ เย็นยะเยือก นั่นก็คือแก่นจันทรา เสวียนอี่เบิกตามองนางเอาพวกมันเทลงไปบนขาขวาของนาง ความรู้สึกเย็นสบายวาบขึ้นมา แก่นจันทราที่ราวกับหยดน้ำตาเหล่านี้กลับซึมผ่านบาดแผลเข้าไปในร่างของตระกูลจู๋อินได้อย่างไม่ถูกขวางกั้น

 

 

ไม่นาน แก่นจันทราที่ถูกย้อมเป็นสีดำก็ซึมออกมาจากร่างของนางจุดแล้วจุดเล่า เทพวั่งซูคว้าไปในอากาศ พิษปีศาจในนั้นก็ถูกดึงออกมา กลุ่มไอสีดำขนาดประมาณกำปั้นกลุ่มหนึ่ง หมุนวนอยู่บนฝ่ามือของนาง แต่ละสายเล็กละเอียดราวกับควัน

 

 

“พิษปีศาจอยู่ที่นี่หมดแล้ว”

 

 

เทพีวั่งซูดีดปลายนิ้วเบาๆ พิษปีศาจที่เหมือนขนวัวเหล่านั้นก็กลายเป็นน้ำแข็งแล้วแตกสลายไปไม่เหลือร่องรอย

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเข้มว่า “เทพีวั่งซู ขอบคุณท่านมาก มหาเทพผู้นั้นที่มีบุญคุณกับท่าน ไม่ทราบว่าคือท่านไหน ข้าควรจะไปขอบคุณเขาด้วยตนเอง”

 

 

เทพีวั่งซูเก็บแก่นจันทราไปในถุงแพร นางไม่ตอบคำถามแต่ลุกขึ้นแล้วคารวะให้กับฝูชางอีกครั้ง “เสร็จเรื่องนี้แล้ว รบกวนเทพฝูชางช่วยกล่าวกับเทพบูรพาให้ด้วยว่า บุญคุณก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะทดแทนแล้ว แต่ว่าข้ายังคงติดหนี้ที่มหาเทพช่วยชี้แนะให้กับข้าอีกเรื่อง”

 

 

นางพูดจบก็หมุนตัวแล้วเหาะจากไป ไม่มีการรีรอใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

ฝูชางก้มเอวลงแล้วจับขาเปลือยเปล่าของนางเอาไว้พร้อมพันผ้าสีขาวใหม่ เขาเอาชายกระโปรงลง แต่องค์หญิงมังกรที่อยู่ตรงหน้ากลับมีท่าทีผิดปกติ ไม่พูดอะไรออกมา

 

 

เขาเงยหน้าแล้วปรายตามองนาง นางเองก็กำลังหรี่ตาลงมองมาที่เขา มีผ้าสีดำกั้นเอาไว้ ท่าทีของนางนิ่งสงบ แต่สายตากลับทำให้เขานึกไปถึงตอนที่ได้เจอกับนางครั้งแรกที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผา ท่าทีภายนอกที่สง่างามของนางกลับซ่อนความห่างเหินอย่างลึกล้ำเอาไว้

 

 

ฝูชางหลบเลี่ยงสายตานางแล้วอุ้มนางขึ้นมาอีกครั้ง นางกลับเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ที่แท้ก็เป็นเทพบูรพาที่ออกหน้า ศิษย์พี่ฝูชาง ท่าน…”

 

 

ความคิดชั่วร้ายที่เขากดลงไปเมื่อครู่นี้เริ่มจะขยับอีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่อยากจะฟังนางพูดเลยสักนิด

 

 

“หุบปาก” เขารีบเดินออกไปจากป่าเซียนเหมยอย่างรวดเร็ว

 

 

เสวียนอี่สนใจเขาที่ไหน “ข้าบาดเจ็บก็เพราะว่าท่าน ศิษย์พี่ฝูชาง คำขอโทษของท่าน ข้ารับไว้แล้ว”

 

 

ขอโทษ? ฝูชางสูดลมหายใจเข้าลึก เท้าก็พลันหยุดลง

 

 

เขาไหว้วานท่านพ่อให้ไปหาเทพีวั่งซู ความคิดของเขาง่ายมาก เพราะการที่เสวียนอี่บาดเจ็บเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์หรือเหตุผลเขาก็ไม่อาจเพิกเฉยได้ ไม่ว่าอย่างไรในกระดูกของเขาก็ยังคงเป็นตระกูลหวาซวีที่ให้ความสำคัญกับพิธีการมารยาทและความสงบ หากว่าสามารถใช้เรื่องนี้แก้ไขความโกรธที่น่าประหลาดนั่นได้ก็จะดีที่สุด

 

 

เขาไม่ได้คิดถึงปฏิกิริยาของนางมาก่อน ความจริงแล้วที่ไปหาวั่งซูให้มารักษานาง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความคิดว่าจะจบปัญหาลงแล้วกลายเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน

 

 

แต่ว่าคำตอบที่นางให้มานั้นกลับทำให้ความคิดชั่วร้ายในร่างเริ่มบ้าคลั่งขึ้นมา

 

 

ขอโทษ? เขา? ขอโทษนาง?

 

 

ฝูชางยิ้มเย็น เขายกมือขึ้นแล้วกดหัวนางที่หันมามองเขากลับไปอย่างแรงจนนางร้องเสียงดังด้วยความเจ็บ ความคิดชั่วร้ายที่พุ่งขึ้นมาทำให้เขากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงน่ากลัวอย่างประหลาด “ขอโทษเจ้ารึ ฝันไปเถอะ!”

 

 

บนแท่นหยกยังคงมีการร้องเล่นอย่างครึกครื้นสนุกสนาน การที่เสวียนอี่หายตัวไปชั่วครู่นั้นไม่มีศิษย์คนใดรู้ตัว เป็นกู่ถิงที่เห็นฝูชางพานางกลับมาจึงถามออกไปอย่างประหลาดใจ “เอ๋ เมื่อครู่นี้เจ้าไปซ่อนตัวที่ไหนมา การรำกระบี่ของเจ้าก็ไม่เห็น”

 

 

เสวียนอี่หน้าตึง ดิ้นหลุดจากพันธนาการของฝูชาง นางขึ้นไปอยู่บนเก้าอี้ลอย ถึงได้บ่นอุบออกมากับฟ้าว่า “ข้าไม่สนใจ!”

 

 

พวกเขาทั้งสองคนอยู่ดีๆ ทำไมทะเลาะกันอีกแล้ว กู่ถิงคร้านจะยุ่งวุ่นวายจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝูชาง ทำไมเมื่อครู่นี้ถึงรำกระบี่ไปแค่ครึ่งเดียวเล่า”

 

 

ฝูชางรินสุราหนึ่งแก้วแล้วดื่มรวดเดียวหมด “ที่ข้าฝึกฝนกระบี่ไม่ใช่เพื่อเอามาระกระบี่สร้างความสนุกสนาน”

 

 

แย่แล้ว ดูท่าพวกเขาทั้งสองคนน่าจะทะเลาะกันไม่น้อย ฝูชางกลับโมโหขนาดนี้

 

 

กู่ถิงจึงไม่ไปหาเรื่องคุย เขาริมสุรามาแก้วหนึ่งเตรียมจะไปดื่มกับจื่อซี แต่ใครจะรู้ว่าจื่อซีที่เมื่อครู่นี้ยังอยู่ตรงนี้ ตอนนี้กลับไม่รู้ไปที่ไหนแล้ว ในใจกู่ถิงเต็มไปด้วยความสงสัย วันนี้ทำไมพวกเขาถึงได้อยู่ๆ หายๆ กันอย่างนี้ ทำอะไรกัน

 

 

 

 

 

 

[1]ได้รับหมวกสูง เป็นสำนวน หมายถึงได้รับการยกยอและชื่นชม