ตอนที่ 467 เด็กหนุ่มผู้กลัดกลุ้ม

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินในตอนนี้ตัวแข็งกลายเป็นหิน 

 

 

นางฟังผิดไปหรือไม่ เด็กหนุ่มผู้นี้ เขา…เขาช่างกล้าอะไรอย่างนี้!

 

 

ในถุงสัตว์อสูร อีกาไฟหัวเราะจนแทบล้มคว่ำ 

 

 

เขาน้อยขยี้ตา แล้วถาม “พี่หญิงอู๋เย่ว์ ท่านขำอะไร”

 

 

หลับใหลเป็นเพื่อนมั่วชิงเฉินมากว่ายี่สิบปี พวกมันทั้งสองเองก็เลื่อนระดับขึ้น ตอนนี้ก็เป็นถึงอสูรขั้นหกเทียบได้กับมนุษย์ในระดับก่อแก่นปราณขั้นกลางแล้ว

 

 

แต่สัตว์อสูรเทียบกับมนุษย์ไม่ได้ เพราะอายุขัยยาวนาน อาศัยสัญชาตญาณในการฝึกบำเพ็ญ การเลื่อนระดับจึงเป็นไปโดยช้า 

 

 

อีกาไฟและเขาน้อยถึงแม้เป็นเพราะคอยติดตามมั่วชิงเฉินจึงไม่เคยขาดโอสถวิญญาณ โดยหลักการแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนขั้นเร็วเช่นนี้ 

 

 

พูดไปแล้ว การที่พวกมันเลื่อนระดับก็เหมือนกับมั่วชิงเฉิน ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะสิ่งอัศจรรย์นั่น 

 

 

อีกาไฟถึงแม้จะดีใจที่ได้เลื่อนระดับ แต่เป็นเพราะทำให้มันเสียเวลาในการฟักไข่ไปถึงยี่สิบปี จึงพูดด้วยความยินดีบนความโชคร้าย “เขาน้อยเจ้าช่างไม่รู้อะไรเลย ช่วงชีวิตของนายท่านหลายปีมานี้ นอกจากนักพรตลั่วหยางที่คอยตามติดพันไม่ลดละแม้ปลายเส้นผม ชูนิ้วนับดูก็เห็นจะมีอยู่อีกสองคนที่สนใจในตัวนายท่าน สองคนนั้น คนหนึ่งถูกนายท่านเอาอิฐปาอิฐใส่จนกระเด็น อีกคนก็ถูกนายท่านตีแทบตาย ฮ่าๆๆ เด็กหนุ่มที่อยู่ตอนนี้ ยังจะเป็นคนที่สามอีก น่าขันสิ้นดี”

 

 

เขาน้อยกะพริบตา แล้วพูดเสียงเบา “พี่หญิงอู๋เย่ว์ นายท่านจะตีเด็กหนุ่มนั่นกระเด็นไปด้วยไหม อืม เด็กหนุ่มนั้นน่าสงสารจัง…”

 

 

อีกาไฟตบกีบเท้าของเขาน้อยอย่างสงบนิ่ง “เขาไม่น่าสงสาร นายท่านต่างหากน่าสงสาร ต้องอดทนต่อการบาดเจ็บภายในอยู่แท้ ยังถูกคนอื่นทำให้ตกที่นั่งลำบาก”

 

 

“ทำไมหรือ” เขาน้อยไม่เข้าใจ 

 

 

อีกาไฟคิดอยู่ชั่วครู่ ทำตัวเป็นคนดีไม่เปิดเผยความจริงออกมา มันยิ้มร้ายแล้วพูด “คงเพราะเด็กหนุ่มนั่นเกิดมาหน้าตาดี นายท่านจึงอาลัยอาวรณ์กระมัง…”

 

 

เสียงตะคอกโมโหแว่วเข้ามา “อู๋เย่ว์ หุบปากอีกาของเจ้าเสีย!”

 

 

อีกาไฟยื่นปีกออกไปอย่างนิ่งเฉย เสยขนบนหัว แล้วเดินตุปัดตุเป๋ขาถ่างไปด้านหน้าไข่ดำ ตบเบาๆ แล้วจงใจพูดขึ้นเสียงดัง “ไอ้หยา ข้าฟักไข่แล้วกัน ดูสิว่าจะฟักออกมาเป็นอีกาตัวผู้รูปหล่อสะท้านฟ้าดินแม้แต่ผีสางเทวดายังต้องร้องฮือได้หรือเปล่านะ ฮ่าๆๆ”

 

 

มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึก แล้วดึงตัวเองออกจากความโกรธ มองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า แล้วปั้นหน้ายิ้ม “ตู้รั่ว เจ้าแน่ใจหรือ” 

 

 

ถ้าหากเจ้าเด็กน้อยนี้กล้าพยักหน้า นางก็จะเอาก้อนอิฐปาเจ้าเด็กนี่หนักๆ สักฉาดทันทีโดยไม่สนผลที่จะตามมาจากการละเมิดสัญญาก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน

 

 

ราวกับมีสัญชาตญาณรับรู้อันตราย ตู้รั่วก้มหน้าลง น้ำเสียงฟังดูเคารพขึ้นเล็กน้อย “ตู้รั่วเพียงอยากดูสักหน่อยว่าขอบเขตความสามารถที่ท่านเซียนบอกนั้น มากเพียงใด เช่นนั้น ท่านเซียนจะยอมรับตู้รั่วเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกโล่งอกอย่างยิ่ง

 

 

ถึงแม้ว่านางไม่เคยมีความคิดจะรับลูกศิษย์ แต่เมื่อเทียบกับคำขอเมื่อครู่ของเขาแล้ว คำขอนี้นับว่าเล็กน้อยยิ่งนัก 

 

 

จากการสังเกตสองสามวันมานี้ ก็พอเข้าใจเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่เล็กน้อย 

 

 

สุขุม หลักแหลม พร้อมจะยื่นมือช่วยเหลือผู้ที่ตนให้ความสำคัญ แต่ก็สามารถตัดสินใจได้อย่างไม่ลังเล

 

 

เด็กเช่นนี้ รับไว้เป็นลูกศิษย์ก็ไม่ได้เสียหาย 

 

 

เพียงอึดใจเดียวก็ตัดสินใจ นางพยักหน้าตอบ “ได้” 

 

 

“จริงหรือ” ตู้รั่วเงยหน้า ดวงตาหงส์ส่องประกาย ไปยังมั่วชิงเฉินอย่างเร่าร้อน

 

 

อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กหนุ่ม มั่วชิงเฉินแอบขำในใจ นางพยักหน้า “อืม”

 

 

เด็กหนุ่มราวกับไม่อยากเชื่อ มองไปยังมั่วชิงเฉินอีกที ทันใดนั้นก็เอามือลูบเสื้อผ้า แล้วคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “ศิษย์ตู้รั่ว คาราวะท่านอาจารย์”

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” มั่วชิงเฉินยื่นมือไป พลังอันไร้รูปร่างยกตัวตู้รั่วขึ้นมา 

 

 

วินาทีที่ตู้รั่วลุกขึ้นนั้น มั่วชิงเฉินก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว พันธนการอันไร้รูปร่างนั้น ในที่สุดก็หายไปตามที่คิดไว้

 

 

เจ้าเด็กบ้า เป็นศิษย์ของข้าแล้ว ดูเถอะว่าอาจารย์ผู้นี้จะจัดการเจ้าอย่างไร 

 

 

ทั้งๆ ที่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ตู้รั่วกับเย็นสันหลังวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว 

 

 

โลกแห่งการบำเพ็ญพรตนั้นอาจารย์บาอาจารย์สำคัญที่คุณธรรม ในเมื่อความเป็นศิษย์อาจารย์ถูกกำหนดแล้ว มั่วชิงเฉินเองก็ไม่ได้มองเด็กหนุ่มเป็นคนนอก นางหยิบจานทดสอบวิญญาณโยนออกไป “เอามือวางขึ้นไป อาจารย์จะดูรากวิญญาณของเจ้า”

 

 

ตู้รั่ววางมือลงไปกลางจานทดสอบวิญญาณตามคำพูดนั้น แสงวิญญาณสีเขียวส่องสว่างขึ้นมาใหญ่

 

 

มั่วชิงเฉินทำสีหน้าจริงจัง สะบัดมือเก็บจานทดสอบวิญญาณกลับขึ้นมา แล้วพูดพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นรากวิญญาณลม”

 

 

ในวินาทีนั้น นางก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ลั่วอวี้เฉิง!

 

 

รากวิญญาณในโลก รากวิญญาณสวรรค์นั้นดีที่สุด รากวิญญาณคู่รองลงมา รากวิญญาณสามธรรมดา ส่วนรากวิญญาณสี่และรากวิญญาณห้านั้นเป็นรากวิญญาณเทียม

 

 

นอกจากนี้ ยังมีร่างวิญญาณที่กลายพันธุ์อีกจำพวก ไม้ไฟกลายเป็นลม โลหะน้ำกลายเป็นสายฟ้า ดินน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง รากวิญญาณกลายพันธุ์ทั้งสามชนิดนี้แม้ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญจะไม่เทียบเท่ารากวิญญาณสวรรค์ แต่ในการโจมตีป้องกันต่อสู้ต่างมีข้อได้เปรียบของตน พลังนั้นอยู่เหนือกว่าผู้บำเพ็ญในระดับเดียวกันจนเทียบไม่ติด 

 

 

นางตอนนี้อายุหนึ่งร้อยสองปีแล้ว ดังนั้นในหมู่ผู้คนที่นางรู้จัก ก็มีพี่เก้ามั่วเฟยเยียนคือรากวิญญาณน้ำแข็ง หลัวอวี้เฉิงรากวิญญาณลม นึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มชาวประมงลูกศิษย์ที่นางจำใจรับเอาไว้ จะเป็นรากวิญญาณลม 

 

 

ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่ได้เข้าร่วมสำนักบำเพ็ญเพียรหรือตระกูลใดเลยหรือ 

 

 

“ตู้รั่ว ถึงแม้จะอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ยกให้เป็นศิษย์อาจารย์ ก็ไม่อาจก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกัน แต่อาจารย์ยังอยากถาม ว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นรากวิญญาณลม” เจตจำนงในการสืบหาข้อมูลในคำพูดของมั่วชิงเฉินไม่ได้แจ่มชัด แต่นางเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของตู้รั่วต้องฟังออกแน่ 

 

 

หากเขาบอกออกมาตามตรง เช่นนั้นผู้นี้ก็จริงใจรับไว้ได้ หากเขาตอบแบบคลุมเครือขอไปที เช่นนั้นความเป็นศิษย์อาจารย์ ก็คงจำกัดไว้เพียงนี้ 

 

 

ลูกศิษย์นั้นแบ่งออกเป็นลูกศิษย์ที่ชุบเลี้ยงและลูกศิษย์แต่ในนามไม่ใช่หรือ

 

 

เด็กหนุ่มเป็นตัวของตัวเองได้ปรับอารณ์กลับนานแล้ว ตู้รั่วปล่อยมือลงแล้วลุกขึ้น ตอบกลับด้วยความนอบน้อม “เรียนท่านอาจารย์ ศิษย์รู้ขอรับ”

 

 

“หา” มั่วเฉินเลิกคิ้ว ดูว่าเขาจะพูดอย่างไรต่อ 

 

 

แล้วตู้รั่วก็พูดขึ้นมา 

 

 

เดิมทีที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้เกาะเสี้ยวจันทร์

 

 

เกาะเสี้ยวจันทร์นั้นใหญ่โต ประกอบไปด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ก่อตัวเป็นรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว 

 

 

อีกด้านหนึ่งของเกาะจันทร์เสี้ยวคือมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต ผู้คนบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหรือคนธรรมดา ต่างก็อาศัยทะเลเพื่อดำรงชีวิต และอีกด้านหนึ่ง คือเทือกเขาลูกหนึ่ง มีชื่อว่าเขาหักเซียน 

 

 

เทือกเขาหักเซียนไม่รู้ว่าทอดยาวไปไกลกี่พันหมื่นลี้ โอบรอบมหาสมุทร สูงไม่รู้ว่าเพียงใด จากคำเล่าลือมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเท่านั้นถึงจะย่ำเข้าไปได้ มนุษย์คนอื่นที่เหลือ ทั้งชีวิตได้แต่อยู่อาศัยมีลูกหลานเพียงที่แห่งนี้ สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น 

 

 

สำหรับอีกด้านหนึ่งของภูเขานั้นคืออะไร ไม่มีผู้ใดรู้

 

 

ที่ต่างจากที่อื่นก็คือ ชาวบ้านบนเกาะเสี้ยวจันทร์ ในร้อยคนจะมีหนึ่งคนที่ครอบครองรากวิญญาณ อัตรามากจนน่าแปลกใจ

 

 

แต่ที่นี่อุปกรณ์ข้าวของสำหรับฝึกบำเพ็ญเพียรนั้นกลับขาดแคลน ในเมื่อเช่นนี้ การจะผ่านเข้าสู่ธรณีประตูของสำนักบำเพ็ญเพียรและตระกูลต่างๆ จึงมีเงื่อนไขสูง ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าสามรากวิญญาณไม่มีโอกาสเลยที่จะได้เข้า 

 

 

กาลเวลาผ่านมายาวนาน ผู้มีรากวิญญาณก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต่อให้พวกเขามีวิชาฝึกบำเพ็ญ เนื่องด้วยอุปกรณ์สำหรับฝึกบำเพ็ญขาดแคลนจึงแทบจะหยุดนิ่งไม่พัฒนา ส่วนใหญ่หยุดที่ระดับระดับหลอมลมปราณขั้นต้น 

 

 

และสถานที่ซึ่งตรวจสอบรากวิญญาณเหล่านั้นล้วนแต่เก็บค่าใช้จ่าย ผู้คนทั่วไปล้วนแต่ยากจนไม่มีเงินจะมาจ่าย อีกทั้งต่อให้รู้ว่าตนมีรากวิญญาณ หากเป็นร่างวิญญาณธรรมดาผลในการฝึกบำเพ็ญก็น้อยนิด อย่างเช่นตู้รั่วที่อยู่ห่างไกลยังหมู่บ้านประมงเช่นนี้ น้อยนักที่จะมีคนพาเด็กไปตรวจสอบรากวิญญาณ

 

 

ในสายตาของพวกเขา คนซึ่งฝึกบำเพ็ญเพียรเรานั้นก็เพียงแค่ร่างกายแข็งแรง กระฉับกระเฉงคล่องแคล่วเท่านั้น

 

 

“ถ้าเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มอย่างพวกเจ้าต่างได้ฝึกบำเพ็ญเพียรกัน เพราะมีเหตุปัจจัยอื่นสิใช่หรือไม่” มั่วชิงเฉินถาม เกิดความรู้สึกสนใจในเกาะจันทร์เสี้ยวขึ้นมา

 

 

ในร้อยคนจะมีหนึ่งคนครอบครองรากวิญญาณ คนที่นี่พูดได้ว่าได้รับพรจากสวรรค์อย่างมาก แต่อุปกรณ์ในการฝึกบำเพ็ญกับขาดแคลนเสีย ด้วยบริบทในการฝึกบำเพ็ญพรตมีข้อจำกัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์มีกำหนดยากจะคาดเดา หรือเพราะมีเหตุผลอย่างอื่น

 

 

ตู้รั่วพูด “ใช่ขอรับ หลายปีก่อนมีท่านอาจารย์ผู้หนึ่งมายังหมู่บ้าน แล้วทำงานอยู่ที่นี่ ท่านอาจารย์เป็นคนดีมาก สั่งสอนพวกข้าเขียนอ่านหนังสือ พวกเราค่อยๆ คุ้นเคยกัน มีวันหนึ่ง ท่านอาจารย์ก็เอาจานทดสอบวิญญาณออกมา ให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้ทดสอบ แล้วเรียกพวกเราทั้งเจ็ดคนซึ่งมีรากวิญญาณมาด้วยกัน แล้วให้วิชาการบำเพ็ญพรต แล้วคอยสั่งสอนพวกเราอีกหลายปี จากนั้นก็บินจากไป”

 

 

“รากวิญญาณลมในหมื่นหามิได้แม้เพียงหนึ่ง ท่านอาจารย์ผู้นั้นในเมื่อยอมพาพวกเจ้าสู่วิถีเซียน แล้วไยจึงไม่รับพวกเจ้าเป็นศิษย์แล้วพาไปด้วยเล่า” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

ตามหลักแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธลูกศิษย์ที่มีรากวิญญาณลม 

 

 

ตู้รั่วสีหน้าเหงาหงอย พูดครึ่งน้ำเสียงนิ่ง “ท่านอาจารย์บอกว่าท่านเป็นนักปราชญ์ พวกเราที่นี่ไม่มีใครเหมาะสมที่จะฝึกบำเพ็ญสายปราชญ์ แต่ในเมื่อได้รู้จักกันแล้ว ดังนั้นจึงนำพาพวกเราสู่วิถีเซียน ต่อจากนั้นแต่ละคนก็ต้องพึ่งพาตัวเอง”

 

 

มั่วชิงเฉินใจเต้นตุบ แล้วนึกเชื่อมโยงถึงคำว่า ‘คนในภาพ’ ที่ตู้รั่วพูดขึ้นเมื่อครั้งแรกที่ได้พบกับนาง เดาได้กลายๆ ว่าท่านอาจารย์ที่เขาพูดนั้นคือผู้ใด

 

 

ยื่นนิ้วไปเคาะหัวตู้รั่ว “เจ้าเด็กกะล่อน ดูเจ้าสิ คงคิดถึงท่านอาจารย์ผู้นั้นมากสินะ ถ้าอย่างนี้ แสดงว่าเจ้าไม่พอใจอาจารย์อย่างข้าใช่หรือไม่”

 

 

ตู้รั่วก้มหน้าทันที แล้วพูดขึ้นอย่างเคารพนอบน้อม “ศิษย์มิบังอาจ”

 

 

แต่เหงื่อกาฬไหลเต็มศีรษะ อาจารย์ของตนผู้นี้ ครั้งแรกที่ได้พบงามสง่าดุจดังเซียน กำจายด้วยกลิ่นอายแห่งเทพ แต่ในความจริงแล้วไยจึง…

 

 

เมื่อนึกถึงคนผู้ซึ่งโดนก้อนอิฐปาจนเลือดสาดผู้นั้น ตู้รั่วก็รีบหยุดความคิดของตน 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้สืบสาวเรื่องราวของท่านอาจารย์ผู้นั้นต่ออีก ในความเห็นของนาง จะเป็นหลี่จื้อหย่วนหรือไม่ก็ไม่สำคัญเท่าไร ไม่ว่าอย่างไรพวกนางไม่ได้พบกัน สุดท้ายก็ไร้วาสนานั้น

 

 

มองไปยังเด็กหนุ่มซึ่งจู่ๆ ก็เปลี่ยนมานอบน้อม ก็แอบรู้สึกสะใจลึกๆ รับเขาไว้เป็นลูกศิษย์นั้นไม่เลวจริงๆ การได้รังแกลูกศิษย์ เอ่อ…ไม่สิ…ได้สั่งสอนลูกศิษย์ ก็สนุกไปอีกอย่าง 

 

 

“ใช่แล้ว ในเมื่อพวกเจ้าที่นี่ขาดแคลนเครื่องมือฝึกฝน ไยหมู่บ้านประมงเล็กๆ แห่งนี้กลับยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานปรากฏตัวได้เล่า”

 

 

ตู้รั่วรีบตอบ “เจ้าพวกตระกูลวางอำนาจบาตรใหญ่นั้นย้ายมาที่ตำบลนี้เมื่อสามปีก่อน พี่ชายของมันทำงานอยู่ที่เกาะลั่วฝู อาศัยชื่อของพี่ชาย วางอำนาจบาตรใหญ่ก่อความเดือดร้อนให้หมู่บ้านต่างๆ อยู่เนืองๆ ฉุดคร่าหญิงสาวมาไม่รู้ต่อเท่าไหร่ นับแต่ได้พบแม่ของเสี่ยวยา ก็มาหาถี่ขึ้น แต่ละครั้งก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คนเช่นนี้ จะเก็บเอาไว้ไม่ได้…”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “สิ่งที่เจ้าทำก็ไม่ผิด เพียงแต่อย่าลืมว่าแผนการใดๆ ก็ไม่อาจตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่อะไรก็สามารถทำการโดยไม่มีแผนสำรอง ไม่อยากกลัวการเปลี่ยนแปลง มีสองคำเท่านั้นที่พึ่งพาได้”

 

 

เด็กหนุ่มมองมา มั่วชิงเฉินกล่าวต่อ “ความสามารถ”

 

 

“ศิษย์จะจดจำคำสอนของอาจารย์ขอรับ” ตู้รั่วโค้งกายคารวะ

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มบาง แล้วส่ายมือ “เอาเถอะ จากนี้ไปอาจารย์จะอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าสร้างบ้านให้ข้าสิ อืม ไม่ต้องใหญ่มาก มีสองห้องให้พักหันหน้าไปยังดวงตะวัน ห้องครัวจำไว้ว่าต้องระบายอากาศนะ แล้วข้างสวนสมุนไพรต้องขุดบ่อน้ำหนึ่งบ่อ…”

 

 

นางเอ่ยคำขอเป็นกระบุง แล้วมองไปยังเด็กหนุ่มที่เริ่มสับสนพลางยิ้มขึ้นหนึ่งที “เอาล่ะ ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน เจ้าไปเถอะ พรุ่งนี้ทันทีที่ฟ้าสางค่อยมาทำงาน”

 

 

นี่คือการแก้แค้น มันคือการแก้แค้นชัดๆ!

 

 

ตู้รั่วขบฟัน ปกปิดความไม่เคารพบนใบหน้าไม่ให้ลอดออกมาแม้เพียงนิด เขาหันกายกลับตัวตรงเผง แล้วออกวิ่งแจ้นไปอย่างกับจะวิ่งหนี

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะร่า