ตอนที่ 468 บันทึกอบรมศิษย์

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ท่านอาจารย์ นี่คือบ้านที่ท่านสร้างเองหรือ” ตู้รั่วทันทีฟ้าสาง หยดน้ำค้างบนใบหญ้าซึมกางเกงจนชุ่มโชก เมื่อพาเหล่าเด็กหนุ่มตามมาถึง เห็นบ้านเล็กขนาดงามประณีตกะทัดรัดหลังนั้นกลางป่าดอกสาลี่ ก็รู้สึกละอายทันใด

 

 

เขาเข้าใจอาจารย์ที่เป็นดั่งเซียนของเขาผิดได้อย่างไร นางทั้งงดงามทั้งจิตใจดี ที่พูดเมื่อวานนั้น คงเป็นการทดสอบเขาอย่างหนึ่ง ต้องใช่แน่ๆ ที่แท้บ้านก็สร้างเสร็จแต่แรกแล้ว

 

 

อีกาไฟน้ำตาเอ่อเงียบๆ เด็กน้อย เจ้าคิดเยอะไปแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปยังกลุ่มเด็กหนุ่มที่มองเหม่อมายังตน แล้วยิ้มขึ้นหนึ่งที “ของข้าเอง แต่อาจารย์สร้างบ้านไม่เป็นหรอกนะ ดังนั้นจึงได้ขอร้องลูกศิษย์อย่างเจ้า”

 

 

ตู้รั่วรู้ตัวทันทีว่าตนคิดมากไป สุดท้ายจึงพูดชิงพูดขึ้นว่า “แล้ว…แล้วบ้านหลังนั้น…”

 

 

มั่วชิงเฉินทำสีหน้าเข้าใจโดยฉับพลัน นางตอบ “เอ่อ บ้านหลังนั้นนะ อาจารย์กลัวว่าพวกเจ้าอายุยังน้อย ไม่รู้วิธีการสร้างบ้านว่าทำเช่นใด จึงเอาไว้ให้เจ้าอ้างอิง ไม่ต้องสร้างประณีตขนาดนั้น แค่ใกล้เคียงก็พอ”

 

 

ตู้รั่วมองไปยังบ้านหลังประณีตหาใดเทียมมิได้หลังนั้นแววตาก็มืดลง เขาเบะปากอยู่นานในที่สุดก็พูดออกมาสองสามคำ “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เห็นใจ”

 

 

มองไปยังเหล่าเด็กหนุ่มหุ่นผอมชะลูดดุจเรียวไผ่หันกายกลับ เหยียดหลังเดินตรงไปยังลานว่าง สามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของพวกเขา กระนั้นกลุ่มเด็กหนุ่มที่เอะอะโวยกลับขยันขันแข็งขึ้นมา มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ ทอดตามองไปยังบ้างหลังกะทัดรัด แววตาพลันฉายแววอ่อนโยน

 

 

ไม่รู้ด้วยเหตุใด ดักแด้ใหญ่นั้นดีดนางออกมาแล้วคืนสู่สภาพเดิมเหมือนตอนแรก ศิษย์พี่กลับยังคงหลับไหลอยู่ด้านใน หรือว่าเขาต้องรอระดับการบำเพ็ญเพียรก่อร่างชัดเจนก่อนจึงจะแหวกดักแด้ออกมาได้

 

 

เช่นนี้แล้ว นางก็ไม่สามารถพาเขาออกไปร่อนเร่ได้ ตั้งหลักอยู่ที่นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อาจจะหลายสิบปี หรือหลายร้อยปี ใครจะไปรู้ว่าช่วงก่อร่างอันพิลึกนั้นต้องใช้เวลานานเพียงใด

 

 

มั่วชิงเฉินค่อยๆ เลื่อนสายตาไปยังตู้รั่ว

 

 

มีศิษย์เช่นนี้ ชีวิตดูเหมือนจะไม่น่าเบื่อนัก

 

 

ตู้รั่วเย็นสันหลังวาบอย่างไม่มีเหตุผล มือไม้สั่นจนแทบทำไม้หล่นกระแทกเท้า

 

 

“ฮึ ไหว้อาจารย์ได้ ต้องมีความสุขขนาดนั้นเชียว” จางหยางที่อยู่ด้านข้างแค่เสียงเยาะ แต่แววตากลับอิจฉาไม่อาจปิดบัง

 

 

ตู้รั่วไม่ตอบ เพียงแต่มองไปยังจางหยางทีหนึ่ง แววตาดูประหลาด ตัวตนเล็กในใจเขาแทบจะตะโกนออกมาว่า ดวงตาน้อยๆ ของเจ้าเห็นข้ามีความสุขหรือ ข้าถูกใช้หาความสุขต่างหากเล่า

 

 

จางหยางถลึงตากับ แอบคิดอยู่ในใจว่า เรื่องอะไรจะยอม ดวงตาหงส์น้อยๆ ของเจ้าคู่นั้นยังใหญ่ไม่สู้ข้า ข้าพูดแทงใจดำเจ้าจึงอายจนโกรธสินะ ทำเป็นสุขุมนิ่งงันที่แท้ก็เสแสร้งสินะ พอมีอาจารย์ก็วางท่ายโสเชียว

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งเท้าคางในบ้านหลังกะทัดรัด มองไปยังสองเด็กหนุ่มที่กำลังประจันหน้ากันอยู่อย่างสนอกสนใจ นางแอบคิดในใจว่า เจ้ากับเด็กหนุ่มคนนั้นมองกันอย่างเปี่ยมอารมณ์ คิดจะทำอะไรกันแน่

 

 

“ตู้รั่ว”

 

 

“อาจารย์มีอะไรจะสั่งหรือขอรับ” ตู้รั่วทิ้งมือลุกขึ้นยืน สีหน้ากลับมานอบน้อม

 

 

เขาเองก็ไม่รู้ ทั้งที่เป็นศิษย์ได้เพียงวันเดียว ไยเสียงเรียกร้องที่ลากยาวสองคำว่า ‘ตู้รั่’ ซึ่งมาจากอาจารย์ จึงน่าขวัญหนีดีฝ่อเช่นนี้

 

 

มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้าน ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนหวาน “ศิษย์ข้าอย่าได้เคร่งเครียดขนาดนั้น อาจารย์ก็แค่เตือนเจ้า เวลาทำงานมัวส่งสายตากัน จะกระทบกับงานได้ อาจารย์ยังรอบ้านเพื่อเข้าอยู่นะ”

 

 

ส่งสายตา ส่งสายตา!

 

 

ถูกคำนี้ทำให้นิ่งอึ้งตาค้าง ตู้รั่วมองไปยังจางหยางโดยไม่รู้ตัว ก็บังเอิญเห็นจางหยางเองหน้าตางุนงงเช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มทั้งสองหันหน้าออกรวดเร็วราวกับโดนไฟเลีย คนหนึ่งก้มหน้าทำงาน อีกคนมองไปยังมั่วชิงเฉินใบหน้าเขียวปัด แอบคิดในใจ เหมือนท่านอาจารย์ปราชญ์ผู้นั้นเคยพูดไว้ว่า ทำร้ายครูบาอาจารย์จะไม่มีวันได้ดีสินะ

 

 

“ตู้รั่วเอ๋ย อาจารย์รู้ว่าเจ้ารีบร้อน ก่อนตะวันลับฟ้าสร้างได้เพียงครึ่งเดียวก็ได้แล้ว ถึงตอนนั้นอาจารย์จะได้เตรียมหุงหาอาหาร” มั่วชิงเฉินลุกขึ้น ทำท่าปัดฝุ่นบนชุดสีครามซึ่งไม่ได้มีอยู่จริง แล้วเดินลึกเข้าไปยังป่าดอกสาลี่

 

 

มองไปยังตู้รั่วที่นิ่งทื่อเป็นหิน เด็กหนุ่มผู้หนึ่งก็พูดขึ้นอย่างหวั่นๆ ว่า “ตู้รั่ว ความหมายของอาจารย์เจ้าคือ…” ถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนไม่กล้าพูดต่อ หยุดไปชั่วขณะแล้วกล่าวต่อ “ถ้าเราสร้างได้ไม่ถึงครึ่ง ค่ำนี้ก็ไม่มีข้าวกินใช่ไหม”

 

 

ตู้รั่วได้สติกลับ แล้วมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยสายตาเยือกเย็น “เอ้อร์โก่วจื่อ ในที่สุดเจ้าก็ฉลาดกับเขาบ้างสักครั้งนะ”

 

 

เอ้อร์โก่วจื่อสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา แล้วพูดขึ้นด้วยความคาดหวังอันริบหรี่ “แล้วข้าวเที่ยงเล่า”

 

 

ตู้รั่วทำหน้าทะเล้นไปยังเขาหนึ่งที แล้วก้มหน้ากุลีกุจอ

 

 

เวลาล่วงเลยไป ก็มาถึงตอนเที่ยงตรง ดวงอาทิตย์ส่องสว่างแผดเผาแผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของเด็กหนุ่มจนเกรียม ปากคอแห้งผาก 

 

 

ยุ่งกันอยู่อีกหนึ่งชั่วยาม ก็เริ่มมีคนที่ทนต่อไม่ไหว 

 

 

เห็นเด็กหนุ่มแต่ละคนนั่งลงบนพื้นหายใจหอบใหญ่ ตู้รั่วไม่พูดจา ยังคงทำงานตรากตรำต่อ สุดท้ายก็เหลือเพียงเขาและจางหยางแค่สองคน 

 

 

“ตู้…ตู้รั่ว…” จางหยางผู้ซึ่งแข็งแรงที่สุดในหมู่เด็กหนุ่ม มือที่หอบท่อนไม้อยู่เริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมา ตะโกนขึ้นพลางหายใจหอบ 

 

 

ตู้รั่วจ้องไปยังเขาทีหนึ่ง

 

 

“เจ้า…เจ้าแน่นะใจว่าท่านเซียนจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ไม่ใช่คนงาน”

 

 

ตู้รั่วก้มหน้า ทำงานต่อไม่หยุด และไม่ได้ใส่ใจ 

 

 

สักครู่ใหญ่ จางหยางก็ตบไหล่เขาเบาๆ “น้องชายเอ๋ย ข้าขอโทษ เมื่อคู่พี่ชายเข้าใจผิดไปจริงๆ…”

 

 

ตู้รั่วมองไปบนฟ้าไม่พูดไม่จา คำขอโทษเช่นนี้ เขาปฏิเสธได้หรือ 

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บกระบี่ชิงมู่ แล้วมองไปยังดอกสาลี่ที่ร่วงกราวเสียงดังสวบสาบนิ่งไม่ขยับอยู่นาน

 

 

นอนอยู่ในดักแด้ใหญ่ยี่สิบปี ตอนนี้ดูเหมือนยากจะกลับเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญเพียร จึงเริ่มฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ เมื่อได้กวัดแกว่งกระบี่อย่างผ่อนคลายกลางป่าดอกสาลี่ ทำให้จิตใจสงบยังไม่เคยเป็นมาก่อน 

 

 

หนึ่งดึงหนึ่งผ่อน หนึ่งนิ่งหนึ่งขยับ ทุกอย่างไม่ได้ไร้ซึ่งเหตุผล

 

 

เมื่อเห็นพระอาทิตย์เริ่มจมขอบฟ้า มั่วชิงเฉินหันกายเดินกลับ 

 

 

ภาพที่ปรากฏต่อสายตา ก็คือเค้าโครงบ้านที่กำลังค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง ใต้เงาย้อนแสง ยังมีเด็กหนุ่มที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ข้างๆ เขามีเด็กหนุ่มกำลังเอนกายนอนกลับหัวกลับหางกันอยู่สองสามคน มีเพียงคนเดียวที่กำลังนั่งอยู่ ดูเหมือนจะชื่อจางหยาง  

 

 

มั่วชิงเฉินยกมุมปากยิ้ม สะบัดมือหนึ่งทีโต๊ะหยกสีครามตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตามด้วยเสียงร้องด้วยความประหลาดใจของเหล่าเด็กหนุ่มแว่วตามมา

 

 

มองไปยังผลไม้แต่ละอย่างที่ไม่เคยเห็นซึ่งนางได้จัดเรียงเอาไว้ แล้วยังปล่อยอีกาไฟออกมา ให้มันพ่นไฟ ในขณะที่มือหนึ่งถือหม้อ มือหนึ่งผัดอาหาร เล่าเด็กหนุ่มที่ตอนแรกยำเกรงระดับการบำเพ็ญเพียรของนางเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะล้อมเข้ามามุงดูด้วยความใคร่รู้ 

 

 

อีกาไฟเหลือกตาเย้ยอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า มันก่อกรรมอะไรเอาไว้ เป็นถึงสัตว์อสูรระดับหกแท้ๆ กลับต้องตกต่ำมาเป็นผู้ช่วยแม่ครัว

 

 

เอ้อร์โก่วจื่อในที่สุดก็ทนไม่ไหว กดเสียงต่ำตามเพื่อนที่อยู่ด้านข้าง “อีกาตัวนั้น ตามันเหมือนจะไม่ดี เป็นโรคตาขาวหรือเปล่านะ”

 

 

มั่วชิงเฉินมือสั่น แทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา 

 

 

ขออภัยที่ความรู้ของนางนั้นลึกล้ำกว้างขวาง จึงรู้ว่าโรคตาขาวในอีกโลกหนึ่งเรียกว่า ‘ต้อกระจก’ !

 

 

“อู๋เย่ว์ ไยไม่พ่นไฟต่อเล่า” นางพบว่าไฟที่ก้นหม้อดับลง มั่วชิงเฉินหันหน้าไป

 

 

ก็เห็นหน้าอีกไฟเขียวปัดจนดำยิ่งกว่าขนบนตัวมัน แล้วกระโจนเข้าไปหาเอ้อร์โก่วจื่ออย่างแรง ใช้ปีกบีบคอเอ้อร์โก่วจื่อ แล้วแหกปากตะโกนด่าทอ “เจ้าต่างหากที่เป็นโรคตาขาว เจ้าเป็นโรคตาขาวกันทั้งบ้าน ดวงตาข้าสุกใสเป็นประกายถึงเพียงนี้เจ้าไม่เห็นหรือ หรือว่าเจ้าตาเหล่กันหา”

 

 

“แค่กๆๆ…” เอ้อร์โก่วจื่อตาเหลือก รู้สึกว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าเลือนรางขึ้นฉับพลัน 

 

 

มั่วชิงเฉินโค้งมุมปาก เจ้าตัวเก่งแค่กับผู้อ่อนแอ ตอนที่เผชิญหน้ากับอสูรปีศาจไม่เห็นมันจะวิ่งออกไปเช่นนี้ แต่กับเด็กระดับหลอมลมปราณกลับเก่งขึ้นมาเชียว

 

 

เห็นเอ้อร์โก่วจื่อถูกบีบคอใกล้จะขาดใจตาย มั่วชิงเฉินก็ยกมือขึ้นไปฟาดปีกอีกาไฟหนึ่งที แล้วคว้ามันโยนกลับถุงสัตว์อสูรไปโดยไม่ไยดี

 

 

ในถุงสัตว์อสูร ยังมีเสียงก่นด่าด้วยความโกรธเกรี้ยวของอีกาไฟแว่วออกมา มั่วชิงเฉินตัดขาดการเชื่อมต่อจิต เดินไปยังเอ้อร์โก่วจื่อ ยื่นมือไปลูกบนรอยรัดที่ลำคอเขาหนึ่งที แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเมตตาอ่อนโยน “เอ้อร์โก่วจื่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

 

 

เอ้อร์โก่วจื่อก้มหน้า ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนนั้นก็โผเข้าไปทันที กอดขามั่วชิงเฉินไว้ แล้วสะอึกสะอื้นถาม “ท่านเซียน ตามองไม่เห็นแล้วไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า” 

 

 

พูดเสร็จก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นางเห็นดวงตาของเด็กหนุ่มที่เดิมทีดำเป็นเงาปรากฏชั้นหมอกขาวขึ้นบางๆ

 

 

เจ้าปากอีกา!

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน พยายามสะกดความใจร้อนในจิตใต้สำนึกที่อยากจะเล่นงานใครสักฉาดไว้ แล้วยิ้มแข็งๆ ออกมา “อย่ากลัวเลย ให้ข้าดูหน่อย”

 

 

กำลังจะยื่นมือออกไป ก็เห็นตู้รั่วที่ทำงานอยู่เงียบๆ โดยไม่ได้สนใจความวุ่นวายตรงนี้จ้ำอ้าววิ่งเข้ามาราวกับดาวตก ยื่นหน้ามาดึงมือของเอ้อร์โก่วจื่อที่กอดขาของมั่วชิงเฉินเอาไว้ น้ำเสียงสงบนิ่งไร้อารมณ์ “เอ้อร์โก่วจื่อ ถ้าเจ้ามองไม่เห็นกอดข้าก็ได้นะ”

 

 

เขายื่นขาข้างหนึ่งออกมาจริงๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง มั่วชิงเฉินสะกดใจไม่ให้กลอกตาใส่ แล้วพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่ต้อง”

 

 

พูดแล้วนางก็ดีดปลายนิ้วหนึ่งที หยดน้ำใสๆ สองหยดร่วงลงกลางตาทั้งคู่ของเอ้อร์โก่วจื่อ 

 

 

เอ้อร์โก่วจื่อกะพริบตา พูดขึ้นอย่างลิงโลด “มองเห็นแล้ว ข้ากลับมามองเห็นอีกแล้ว” พูดพลางมองไปยังมั่วชิงเฉิน งอขาข้างหนึ่งเตรียมคุกเข่าลง

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายมือห้ามเขา แล้วพูดขึ้นอย่างหวั่นใจ “เอ้อร์โก่วจื่อ ทั้งบ้านเจ้า ยังมีใครอีก”

 

 

เอ้อร์โก่วจื่อยิงฟันยิ้ม “แค่ข้าเพียงคนเดียว แค่กินอิ่มทั้งบ้านก็จะไม่มีใครหิวแล้ว!”

 

 

เช่นนั้นก็ดี!

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นางสามารถทรมาน…เอ่อ…ไม่สิ…ทดสอบลูกศิษย์ของตนได้ แต่เด็กหนุ่มที่มาช่วยเขานั้น หากทำให้คนทั้งบ้านทั้งเด็กและแก่เกิดตาบอดขึ้นมาเสียเฉยๆ เช่นนั้นคนอื่นต้องกล่าวหาว่านางฝึกวิชามารแน่ 

 

 

“เอาล่ะ พวกเจ้ายุ่งกันมาทั้งวันคงจะเหนื่อย กินอะไรสักหน่อยแล้วกลับบ้านเถอะ”

 

 

เหล่าเด็กหนุ่มสีหน้ายินดี มองไปยังผลไม้สดที่หอมหวลไปด้วยกลิ่นอายวิญญาณและอาหารที่หอมเย้ายวน ก็รู้สึกทันทีว่าความเหนื่อยล้าในช่วงกลางวันนั้นคุ้มค่าแล้ว 

 

 

อ่อนโยนกังวานนั้นดังขึ้น “กลับไปรีบนอนนะ พรุ่งนี้มาเช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ข้าตื่นได้”

 

 

เหล่าเด็กหนุ่มมือชะงัก สายตาอาฆาตมองพุ่งไปยังตู้รั่วอย่างพร้อมเพรียง ในใจแผดร้องขึ้นว่า แต่พวกข้าต่างหากที่ตื่นไม่ได้!

 

 

ตู้รั่วนิ่งเงียบไม่แสดงทีท่า ใบหน้าน้อยๆ ซีดเผือด แล้วหยิบผลไม้วิญญาณลูกหนึ่งขึ้นมากิน

 

 

วันที่สอง 

 

 

เหล่าเด็กหนุ่มมองไปยังซากไม้ซุงและก้อนหินที่วางเกลื่อนเต็มพื้น ราวกับตกอยู่ในความฝัน 

 

 

“ท่านอาจารย์ นี่มันอะไรกันหรือ” ตู้รั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามพูดให้น้ำเสียงสงบที่สุด 

 

 

มั่วชิงเฉินชำเลืองมองปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะ “เมื่อวานมีลมพัด น่าจะถูกลมพัดพังนะ”

 

 

“ลมพัดหรือ” เหล่าเด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นอย่างโมโห ลมอะไรจะแรงขนาดนั้น แล้วทำไมหลังคาบ้านพวกเขายังคงอยู่

 

 

มั่วชิงเฉินจริงจังแล้วชี้ไปยังดอกสาลี่ที่กระจายเต็มผืน “ก็ใช่น่ะสิ ไม่เห็นหรือว่าดอกสาลี่ถูกพัดร่วงเต็มไปหมด”

 

 

เหล้าเด็กหนุ่มเงียบ ตู้รั่วพาเดินไปยังซากปรักหักพังกองนั้นอย่างเศร้าสร้อย

 

 

วันนี้พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องสร้างบ้าน ยังต้องจัดการที่นี่ให้เป็นระเบียบ หรือว่าวันนี้แม้แต่ข้าวเย็นก็จะไม่ได้กินอย่างนั้นหรือ 

 

 

แต่ละวันผ่านไป สิ่งที่รอต้อนรับเหล่าเด็กหนุ่ม ขึ้นซากปรักหักพังกองนั้นที่ไม่มีวันหมดสิ้น

 

 

ในขณะที่พวกเขาเริ่มด้านชาขึ้นทุกวันจากการโดนทำร้ายจิตใจ ก็ได้ค้นพบว่าพละกำลังค่อยๆ แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น

 

 

เมื่อเวลาผ่านไป ภายใต้รอยยิ้มบางๆ ของมั่วชิงเฉินนั้น แม้แต่เอ้อร์โก่วจื่อผู้ปัญญาน้อยที่สุดก็ยังเข้าใจ ว่าถ้าไม่สร้างบ้านให้เสร็จภายในหนึ่งวัน บ้านหลังนี้ก็จะถูกลมพัดถล่มเช่นนี้ไปตลอดกาล

 

 

สามเดือนให้หลัง 

 

 

ตู้รั่วพาเหล่าเด็กหนุ่มเดินไปยังด้านหน้าของมั่วชิงเฉิน สีหน้าสุขุมเยือกเย็น “ท่านอาจารย์ บ้านสร้างเสร็จแล้วขอรับ”

 

 

มั่วชิงเฉินหลับตานิ่ง ยื่นมือชี้ออกไปไกลๆ “ถ้าเช่นนั้นก็ไปขุดบ่อเถอะ”