“เรียนท่านอ๋อง พระชายา หลิ่วกุ้ยเฟยและองค์หญิงฉางเล่อขอพบพ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์ที่นอกประตูเข้ามารายงาน
แค่เพียงเยี่ยหลีคิดถึงหลิ่วกุ้ยเฟยก็ให้รู้สึกหัวเสียด้วยความรังเกียจ มิใช่ว่านางไม่เชื่อใจในความรู้สึกที่ม่อซิวเหยามีต่อตน เพียงแต่การมีแมลงวันมาบินวนไปวนมาตรงหน้า แต่กลับไม่สามารถตบมันให้ตายได้ อย่างไรก็ทำให้ไม่สบายใจนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยหลีพบว่า อันที่จริงคนที่นางเคยนึกรังเกียจอย่างซูจุ้ยเตี๋ยและคนที่นางไม่ชอบอย่างเยี่ยอิ๋ง เมื่อเทียบกับสตรีนางนี้แล้วกลับเทียบกันไม่ได้เลย ซูจุ้ยเตี๋ยแค่เพียงรักใคร่และหลงใหลในตนเองเท่านั้น เยี่ยอิ๋งก็เพียงเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง และมีความเห็นแก่ตัวอยู่เล็กน้อยเช่นเดียวกับที่ทุกคนมีเท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เมื่อเทียบกับหลิ่วกุ้ยเฟยที่ตามตอแยไม่เลือกแล้ว ถือว่าเทียบกันไม่ได้เลย ม่อซิวเหยาไร้มารยาทกับนางถึงเพียงนั้น แต่นางก็ยังคงมาหาถึงที่ เยี่ยหลีไม่รู้เลยว่า นางไปเอาสุขภาพจิตที่ดีเช่นนั้นมาจากที่ใด ถึงแม้จะกล่าวกันว่า สตรีที่โง่เขลาจะต่อกรแต่กับสตรี สตรีที่ฉลาดเฉลียวจะต่อกรแต่กับเพียงบุรุษ แต่กับสตรีเช่นหลิ่วกุ้ยเฟยนี้ ต่อให้บุรุษอยู่ในกฎระเบียบเพียงใด ก็คงไม่มีประโยชน์
เมื่อเห็นสีหน้าเยี่ยหลีดูไม่ดี ม่อซิวเหยากลับลิงโลดขึ้นมาทันที
เยี่ยหลีปรายตามองเขา เอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องยินดีเพียงนี้เชียวหรือ เช่นนั้นท่านอ๋องก็ออกไปพบหลิ่วกุ้ยเฟยเองก็แล้วกัน”
สวีชิงเฉินพยักหน้า “หลีเอ๋อร์พูดถูก พวกเจ้าเพิ่งกลับมาถึง หลิ่วกุ้ยเฟยที่รู้ข่าวก็รีบมาหาโดยทันที แปดส่วนคงไม่ได้มาเพื่อพบเยี่ยหลี ก็อย่าได้ไปให้เสียแรงเลย หลายวันนี้เยี่ยหลีก็คงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อซิวเหยาก็ถลึงตามองสวีชิงเฉินด้วยสายตาต่อว่า สองมือวางอยู่บนตัวเยี่ยหลีไม่ยอมปล่อย “ไม่ได้ อาหลีห้ามไป…”
สวีชิงเฉินได้แต่มองบุรุษตรงหน้าที่ยิ่งโตยิ่งทำตัวเหมือนเด็กๆ อย่างพูดไม่ออก จึงลุกขึ้นเดินหนีออกไปเสีย ถึงแม้จะรู้ว่าม่อซิวเหยากำลังเล่นละคร และเยี่ยหลีกลับทำอันใดเขาไม่ลง แล้วจะทำอันใดได้ เขาจึงคร้านจะนั่งอยู่ตรงนั้นให้รกหูรกตาคนเช่นกัน โบราณกล่าวไว้ว่า ขุนนางที่ดียังยากจะจัดการเรื่องภายในบ้านได้ สองคนนั้นคนหนึ่งยอมให้ตี อีกคนก็ยอมให้อยู่ใกล้ ไม่ใช่เรื่องอันใดของเขาเลยจริงๆ เขาหันกลับไปมองทั้งสองที่นั่งกระหนุกระหนิงกันอยู่ สวีชิงเฉินก็ได้แต่ทอดถอนใจด้วยความจนใจ คนที่ผ่านมาครึ่งชีวิตแล้วแต่ยังมิเคยได้สัมผัสถึงรสชาติของความรักอย่างคุณชายชิงเฉิน มิอาจเข้าใจถึงความรู้สึกรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ได้จริงๆ หากถามว่าความรักเป็นเช่นไร…ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร
ม่อซิวเหยาพูดคำหวานงอนง้อภรรยาอยู่เป็นนาน ในใจก็ลอบคิดว่า เขาจะจำไว้ ต่อให้เขาจะรู้สึกดีใจที่อาหลีสนใจเขาเพียงใด ก็จะไม่มีทางแสดงออกให้อาหลีเห็นเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาหลีคงขัดเขินแย่
องครักษ์ที่อยู่ในลาน เห็นท่าทางท่านอ๋องของตนพะเน้าพะพะนอพระชายาเป็นเรื่องปกติไปเสียนานแล้ว คุณชายเฟิ่งซานพูดถูก การเหน็บแนมสามีอะไรนั่น ถือเป็นเรื่องปกติจริงๆ
กว่าหลิ่วกุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อจะถูกเชิญให้เข้ามาด้านใน สีหน้าก็ดูย่ำแย่พอตัวทีเดียว ด้วยเพราะท่านอ๋องยังงอนง้อภรรยาไม่เรียบร้อย หลิ่วกุ้ยเฟยจึงรออยู่เกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงจะได้เข้ามา
ส่วนองค์หญิงฉางเล่อเมื่อเห็นเยี่ยหลี ก็อมยิ้มกะพริบตาปริบๆ ให้นาง
เยี่ยหลีเพียงยิ้มเรียบๆ และพยักหน้าตอบ ยื่นมือให้องค์หญิงฉางเล่อ เป็นการเชื้อเชิญให้นางเข้ามานั่ง
องค์หญิงฉางเล่อก็ไม่เกรงใจ เดินเข้าไปนั่งลงข้างเยี่ยหลี เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ชายาติ้งอ๋อง ท่านกับท่านอาอ๋องออกไปเที่ยวเล่นกันหรือ เมื่อวานข้ายังว่าจะมานั่งคุยเล่นกับท่านอยู่ทีเดียว แต่คุณชายเฟิ่งซานกลับบอกว่าท่านไม่อยู่”
เยี่ยหลียิ้มพลางพยักหน้า “หลายวันนี้ข้ามิได้อยู่ที่นี่จริงๆ องค์หญิงเพิ่งมาถึงเมื่อวานหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อพยักหน้า “พวกท่านเดินทางกันรวดเร็วเหลือเกิน พวกเรานั่งรถม้าจึงตามพวกท่านไม่ทัน”
หลิ่วกุ้ยเฟิยเดินเข้ามา เอ่ยถามเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาว่า “หลายวันนี้ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่”
ม่อซิวเหยาเอนตัวเข้าใกล้เยี่ยหลี ไม่สนใจสิ่งที่นางพูด
หลิ่วกุ้ยเฟยอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ กัดฟันเอ่ยต่อว่า “พระชายา ข้ามีเรื่องอยากปรึกษากับท่านอ๋อง ท่านหลบไปก่อนได้หรือไม่”
เยี่ยหลีเลิกเปลือกตาขึ้นมองหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนก้มลงมองม่อซิวเหยาที่พิงอยู่กับตน
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างน่าสงสาร ดวงตาดำขลับคู่นั้น เมื่ออยู่กับเส้นผมสีขาวราวหิมะแล้ว ยิ่งดูทอประกายเป็นพิเศษ “ภรรยา สามีไม่มีอันใดจะพูดกับนาง อย่าทิ้งข้า…”
“พรืด…” องค์หญิงฉางเล่อที่นั่งอยู่อีกด้าน ถึงกับหัวเราะพรืดออกมาอย่างอดไม่อยู่ เกือบสำลักน้ำชาที่เพิ่งกลืนลงคอไป จนไอไม่ได้หยุด “พระชายา…ท่านอาติ้งอ๋อง…”
องค์หญิงฉางเล่อไม่รู้จะพูดเช่นไรดีจริงๆ ในสายตาของนาง ท่านอาติ้งอ๋องเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม มีวิทยายุทธเป็นเลิศ และเก่งกาจอย่างมิอาจเอื้อม แต่ยามนี้คนตรงหน้าที่มองชายาติ้งอ๋องอย่างน่าสงสาร ใช่ท่านอาติ้งอ๋องที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้นจริงๆ หรือ
เยี่ยหลีได้แต่กรอกตาบนใส่ม่อซิวเหยา
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยว่า “เขาเป็นบ้าไปแล้ว ท่านอย่าไปสนใจ”
ม่อซิวเหยาไม่พอใจ ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซร้ไปบนตัวเยี่ยหลี “ภรรยา สตรีนางนี้คิดไม่ดีกับสามี เจ้าต้องปกป้องข้านะ”
“เด็กดี…” เยี่ยหลียื่นมือไปตบหลังเขา พลางเอ่ยปลอบใจ เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “กุ้ยเฟย ท่านทำให้ท่านอ๋องตกใจแล้ว”
ใบหน้างดงามของหลิ่วกุ้ยเฟยดูเหยเกขึ้นชั่วขณะ ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “คุณหนูเยี่ยพูดเป็นเล่นไป ท่านอ๋องมีความสามารถเก่งกล้าหาใดเปรียบ ข้าจะทำให้เขาตกใจได้เช่นไร”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “นั่นก็ไม่แน่ สตรีที่คอยตามตอแยไม่ปล่อย น่ากลัวที่สุดแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา ท่านอ๋องก็กลัวสตรีที่ไร้ยางอายเป็นที่สุด ท่านลองดูสิ เขาไม่ได้ถูกทำให้ตกใจหรอกหรือ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าหงึกๆ ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าเขา แต่การที่เขาพยักหน้าโดยทันที ก็ทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยขายหน้าอย่างมาก
“เยี่ยหลี เจ้า…” ในที่สุดหลิ่วกุ้ยเฟยก็หลุดภาพลักษณ์ที่นางรักษาไว้เป็นอย่างดี เอ่ยตะคอกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้พูดอันใด ก็ถูกสายตาดุเย็นตวัดมองขัดคำพูดที่อยู่ในปากนางไว้
ม่อซิวเหยาเอนศีรษะลงบนบ่าของเยี่ยหลี ผินหน้ามองมา เส้นผมสีเงินของเขาก็ปิดใบหน้าเขาอยู่กว่าครึ่ง แต่สายตาคู่นั้นที่จ้องเขม็งไปทางหลิ่วกุ้ยเฟย กลับประหนึ่งมีความเยียบเย็นและดุร้ายประหนึ่งมาจากนรกแฝงอยู่
หลิ่วกุ้ยเฟยเคยคาดหวังเสมอมาให้บุรุษผู้นี้มองนางตรงๆ สักครั้ง แต่เมื่อสายตาของม่อซิวเหยาหันมามองนางจริงๆ เข้า กลับรู้สึกว่าตัวนางถูกแช่เย็นจนแข็งทื่อไปหมด ถึงแม้ความหวาดกลัวในใจจะแผ่ซานไปทั่วตัว แต่ตัวนางกลับแข็งเกร็งและไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ในดวงตาคู่งามที่ล้ำลึก มีรังสีสังหารอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลิ่วกุ้ยเฟิยถึงขั้นนึกสงสัยว่า ตนตาฝาดไปหรือไม่ ที่เห็นว่าในแววตาของม่อซิวเหยามีประกายเลือดสะท้อนออกมาให้เห็น
“ในเมื่อ…ในเมื่อท่านอ๋องมีธุระ ข้าก็ขอตัวก่อน” พูดจบ หลิ่วกุ้ยเฟยก็เดินลิ่วออกจากลานไปประหนึ่งมีภูตผีปีศาจไล่ตามอยู่ที่ด้านหลังกระนั้น ลืมแม้ทั่งจะเรียกให้องค์หญิงฉางเล่อกลับไปด้วยกัน
เยี่ยหลีและองค์หญิงฉางเล่อหันมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใด ก่อนหน้านี้ที่หลิ่วกุ้ยเฟยยังตามตอแยไม่เลิก กลับวิ่งออกไปประหนึ่งเห็นผีเช่นนั้น
“ทานอ๋อง ท่านทำอันใดหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นถาม
ม่อซิวเหยากะพริบตาอย่างใสซื่อ “ข้าจะไปทำอันใดนางได้ อาหลีคุยเล่นกับองค์หญิงฉางเล่อไปเถิด ข้าไปหาเฟิ่งซานดื่มสุราสักหน่อยดีกว่า”
เยี่ยหลีรู้ว่าที่เขาไปหาเฟิ่งจือเหยาด้วยเพราะมีธุระ จึงพยักหน้ามองเขาลุกเดินออกไป
จนเมื่อม่อซิวเหยาเดินไปจนไม่เห็นเงาแล้ว องค์หญิงฉางเล่อถึงได้วางถ้วยชาที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ หัวเราะคิกคักออกมา
เยี่ยหลีมองนางอย่างจนใจ “มีอันใดน่าขันหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะจนตาหยี เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี “ช่างน่าขันยิ่งนัก หากมิใช่เพราะพระชายาอยู่ที่นี่ ข้าคงไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่านั่นคือท่านอาติ้งอ๋องตัวจริง”
เยี่ยหลียื่นมือไปตีนางเบางๆ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าคิดว่าติ้งอ๋องเป็นเช่นไร ดุดันและหยาบกระด้างอยู่เสมอหรือ คนอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิต หากอยู่กันส่วนตัวก็ย่อมตามสบายกันบ้าง ว่าแต่เจ้า ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันดีๆ งานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี มิได้มีพระโอรสมาร่วมงาน คนเป็นองค์หญิงอย่างท่าน มาทำอันใดหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงฉางเล่อค่อยๆ จางลง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่าเพราะเสด็จพ่อมีรับสั่ง ให้ข้าเป็นตัวแทนของเชื้อพระวงศ์มาร่วมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงแห่งหนานจ้าว”
เยี่ยหลีส่งเสียงหึเบาๆ แล้วจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “พระโอรสของต้าฉู่ตายกันไปหมดแล้วหรือไร ถึงต้องให้เจ้าที่เป็นองค์หญิงเดินทางมาตัวคนเดียว แล้วยังหลิ่วกุ้ยเฟยนั่นอีก ในเมื่อนางเป็นพระสนมของวังหลัง ตามธรรมเนียมของต้าฉู่ นางไม่ควรมาอยู่ที่นี่เสียยิ่งกว่าเจ้าอีก”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยว่า “ได้ยินว่าหลิ่วกุ้ยเฟยขอร้องเสด็จพ่อเองว่าจะมา หลายปีมานี้ เสด็จพ่อดูจะเชื่อใจตระกูลหลิ่ว และโปรดปรานหลิ่วกุ้ยเฟยมากขึ้นไปอีก เชื่อว่าที่รับปากคำขอของนาง ก็คงมิใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงแต่…ยามนี้ข้าถึงเพิ่งได้รู้ว่า ที่หลิ่วกุ้ยเฟยขอเสด็จพ่อว่าจะมา ที่แท้ก็เพราะอยากมาพบท่านอาติ้งอ๋อง”
เยี่ยหลียื่นมือไปยังมือเรียวยาวประหนึ่งหยกขององค์หญิงฉางเล่อ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฉางเล่อ เจ้าอย่าได้เปลี่ยนเรื่อง ที่เสด็จพ่อเจ้าให้เจ้ามาหนานเจียง ด้วยเพราะเหตุใดกันแน่ เขาอยากให้เจ้าแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์หรือ”
องค์หญิงฉางเล่ออึ้งไป ยิ้มกัดฟันขาว “ปิดบังชายาติ้งอ๋องกับท่านอาติ้งอ๋องไม่ได้จริงๆ ด้วย เสด็จพ่อ…เสด็จพ่อมิได้คิดอยากให้ข้าแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ ท่านคิดอยาก…มอบข้าให้กับหนานจ้าวอ๋อง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็หน้าบึ้งลงทันที “ม่อจิ่งฉีบ้าไปแล้วหรือ เจ้าเป็นถึงองค์หญิงสายหลักของต้าฉู่ แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ก็เอาเถิด แต่อันใดกันที่เรียกว่าจะมอบเจ้าให้กับหนานจ้าวอ๋อง”
องค์หญิงฉางเล่อจับมือเยี่ยหลีไว้แน่น ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าพระชายาเป็นห่วงข้า เพียงแต่…จะมอบให้หรือจะแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ ก็มิได้มีอันใดต่างกันกระมัง สตรีในเชื้อพระวงศ์มิได้มีไว้เพื่อการนี้หรอกหรือ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ และความเศร้าหมองบนใบหน้าของเด็กสาว ก็ให้เยี่ยหลีปวดหนึบขึ้นในใจ เอ่ยถามเบาๆ ว่า “เสด็จแม่เจ้าว่าอย่างไร”
องค์หญิงฉางเล่อขมวดคิ้ว “เสด็จแม่ย่อมไม่ทรงเห็นด้วย เสด็จแม่ตรัสว่า หากจะแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ ก็ต้องทำตามขนบธรรมเนียม แต่อย่างไรเสด็จพอก็ไม่ทรงยอม ก่อนข้ามานี้ เสด็จแม่ทรงทะเลาะกับเสด็จพ่อเป็นการใหญ่ ถูกเสด็จพ่อสั่งขังให้อยู่แต่ในตำหนัก ก่อนมานี้…เสด็จพ่อก็ไม่ยอมให้ข้าไปพบหน้าเสด็จแม่ ไม่รู้ว่า…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เด็กสาวที่พยายามใช้รอยยิ้มปิดบังความรู้สึกในจิตใจอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็น้ำตาไหลออกมาอย่างอดไม่อยู่ นึกถึงครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้าเสด็จแม่ สายตาของเสด็จแม่ที่มองมายังตนด้วยความรู้สึกผิด องค์หญิงฉางเล่อก็ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ แล้วหยดน้ำตาก็ไหลลงมาเป็นสาย