ตอนที่ 238-2 ตามตอแย

ชายาเคียงหทัย

ในที่สุดเยี่ยหลีก็ได้เข้าใจ ที่ม่อจิ่งฉีกระทำเช่นนี้ มิใช่เพราะต้องการสานสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับหนานจ้าวเท่านั้น แต่อยากใช้โอกาสนี้ในการทำให้ฮองเฮาและตระกูลฮว่าต้องอับอาย แต่ต่อให้ม่อจิ่งฉีไม่พอใจฮองเฮาและตระกูลฮว่าเพียงใด แต่เขาลืมเลือนไปแล้วหรือว่าองค์หญิงฉางเล่อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

 

 

เยี่ยหลีมองเด็กน้อยที่งดงามตรงหน้า แล้วก็ได้แต่ถอนใจออกมาเบาๆ เอ่ยถามว่า “เจ้าคิดจะทำตามที่เสด็จพ่อเจ้าจัดการไว้หรือ ถึงแม้ข้าจะไม่มีบุตรสาว แต่ก็เป็นคนมีบุตร หากบุตรของข้าต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ คนเป็นแม่จะต้องเจ็บปวดเพียงใด เสด็จพ่อของเจ้าไม่ต้องไปพูดถึง แต่เสด็จแม่ของเจ้า…หากเจ้าถูกมอบให้หนานจ้าวอ๋องเช่นนี้จริง ข้าเกรงว่าเสด็จแม่ของเจ้าคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”

 

 

องค์หญิงฉางเล่อยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา พลางเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดไว้กับเสด็จแม่ ว่าต่อไปหากต้าฉู่ต้องการให้ข้าแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ ข้าที่เป็นองค์หญิงย่อมจะปฏิบัติตามโดยไม่บิดพลิ้ว แต่ยามนี้ข้าถึงเพิ่งได้รู้…หน้าที่ความรับผิดชอบขององค์หญิง เป็นสิ่งที่ข้าคิดไปเองเท่านั้น เสด็จพ่อมิได้จำเป็นต้องให้ข้าแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ หรือผูกมิตรไมตรีระหว่างสองแคว้นเพื่อท่าน สิ่งที่ท่านต้องการก็คืออยากเห็นพวกท่านตาและเสด็จแม่เป็นทุกข์ใจเท่านั้น ท่านต้องการให้ตระกูลฮว่าอับอาย วันนั้นเสด็จแม่เสด็จไปพูดคุยกับเสด็จพ่อเรื่องการแต่งงานของข้า ข้าอยู่ด้านนอกจึงได้ยินทั้งหมด เสด็จพ่อตรัสว่า ไม่มีทางให้ข้าแต่งงานสานสัมพันธ์ออกไปอย่างสมเกียรติ ด้วยฐานะของข้า หากแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับแคว้นอื่น อย่างต่ำที่สุดก็ต้องได้เป็นชายาเอกของพระโอรส ท่านบอกว่าต่อไปหากข้าเอาใจออกห่าง จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้มาเล่นงานพระองค์ หากแต่งงานกับคนในเมืองหลวง ก็จะต้องดึงตระกูลฝ่ายสามีมาเป็นพรรคพวก คอยช่วยตระกูลฮว่าให้มาหาเรื่องพระองค์ ดังนั้นท่านถึงได้ต้องการส่งข้ามาหนานจ้าว และต้องการให้ข้าไม่ได้เป็นอัครชายาตลอดไป จะเป็นได้เพียงพระสนมขั้นต่ำเท่านั้น”

 

 

เมื่อได้ฟังสิ่งที่องค์หญิงฉางเล่อเอ่ย ในใจก็คิดอยากซัดม่อจิ่งฉีหนักๆ สักรอบหนึ่ง นางถอนหายใจเอ่ยว่า “องค์หญิง ข้าจะให้คนพาท่านออกไปจากที่นี่”

 

 

องค์หญิงฉางเล่อส่ายหน้า “ขอบพระคุณพระชายามาก ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอก ในเมื่อฉางเล่อรับปากเสด็จพ่อแล้วว่าจะเดินทางมาหนานจ้าว ก็จะไม่หนีไประหว่างทาง ขอเพียงพระชายา ต่อไปหากมีโอกาส ช่วยดูและเสด็จแม่และตระกูลฮว่าบ้างก็พอ”

 

 

เยี่ยหลียังคิดอยากเกลี้ยกล่อมองค์หญิงฉางเล่อ แต่ก็มีองครักษ์เข้ามารายงานว่า มีนางกำนัลจากต้าฉู่มาตามองค์หญิงฉางเล่อเสียก่อน คงเพราะเมื่อครู่หลิ่วกุ้ยเฟยลนลานกลับไป พอกลับไปถึงเรือนแล้วถึงได้พบว่าองค์หญิงฉางเล่อยังอยู่ที่นี่ ถึงได้ให้คนมาตาม

 

 

องค์หญิงฉางเล่อลุกยืนขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “พระชายา ข้าไปก่อนล่ะ ใช่สิ ท่านระวังหลิ่วกุ้ยเฟยไว้หน่อยก็ดี ผู้หญิงคนนั้นบ้าพอดูทีเดียว”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยกำชับว่า “เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย หากมีเรื่องอันใดต้องการให้ข้าช่วย ก็ส่งคนมาบอกข้า”

 

 

“ขอบคุณพระชายามาก ข้าขอตัว”

 

 

อีกวันสองวันกว่าจะถึงวันอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี ประชาชนของหนานจ้าวดูจะให้ความเคารพรัชทายาทหญิงผู้นี้เป็นอย่างมาก บรรยากาศทั่วทั้งเมืองหนานจ้าวก็คึกคักขึ้นผิดหูผิดตา มีประชาชนหนานจ้าวจำนวนไม่น้อย ที่ตั้งใจเดินทางกลับมาจากที่อื่นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในครั้งนี้

 

 

ภายในห้องๆ หนึ่งในโรงน้ำชาที่เห็นได้ชัดว่ามีคนต้าฉู่อยู่ด้านใน เยี่ยหลีนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง จิบชาสบายๆ อยู่ ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองบุรุษสองคนที่รกหูรกตาเสียเต็มกำลังด้วยสายตาเย็นเยียบ “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร”

 

 

หานหมิงซียกสุรารสเลิศขึ้นจิบด้วยท่าทางสง่างาม สีหน้าเกียจคร้านพร้อมรอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้า “ท่านอ๋องพูดอันใดเช่นนี้ งานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซีมิใช่เรื่องเล็กๆ ข้าน้อยเป็นคนค้าขาย ก็ต้องมองหากำไร เหตุใดข้าน้อยจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้”

 

 

ม่อซิวเหยาหรี่ตาลงอย่างอันตราย เอ่ยเสียงเย็นว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไปทำการค้าของเจ้าสิ จะมาหาพวกข้าไปไย”

 

 

หานหมิงซีวางถ้วยสุราลง ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยมิได้มาหาท่าน ข้าน้อยมาขอพบพระชายา แต่ท่านดันตามมาด้วยเองต่างหาก”

 

 

“หึหึ…” คนที่นั่งอยู่ข้างหานหมิงซี ก็คือคุณชายหมิงเย่ว์ หานหมิงเย่ว์ ถึงแม้รัศมีจะยังสู้คุณชายหมิงเย่ว์เมื่อครั้งอดีตไม่ได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า หลายปีมานี้ หานหมิงซีดูแลพี่ใหญ่ของตนได้ไม่เลวทีเดียว ถึงแม้บนใบหน้าหานหมิงเย่ว์จะยังดูมีร่องรอยจากการผ่านเรื่องราวร้ายๆ มาอยู่หลายส่วน แต่ดูอารมณ์เขาก็ออกจะไม่เลวเลยทีเดียว

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าม่อซิวเหยาเปลี่ยนไป หานหมิงเย่ว์ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่ก็กลัวว่าม่อซิวเหยาจะพาลมาโกรธน้องชายตน จึงเอ่ยปากขึ้นว่า “หลายปีมาแล้ว น้อยนักที่จะเห็นสีหน้าท่านอ๋องเปลี่ยนไป”

 

 

ถึงแม้หลายปีมานี้หานหมิงเย่ว์จะอยู่ที่เมืองหลีมาโดยตลอด ซูจุ้ยเตี๋ยก็มิได้อยู่ในโลกนี้นานแล้ว แต่ความเป็นพี่เป็นน้องที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ กลับไม่สามารถทำให้เป็นเหมือนเดิมได้อีก หานหมิงเย่ว์จึงไม่เรียกม่อซิวเหยาด้วยชื่อดังเช่นแต่ก่อนประหนึ่งว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นอีก การเรียกขานว่าท่านอ๋องนี้ ก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และระยะห่างระหว่างพวกเขาได้เป็นอย่างดี

 

 

หานหมิงซีส่งเสียงหึเบาๆ เลิกคิ้วคมขึ้น ท่านอ๋องเปลี่ยนสีหน้าบ่อยออกจะตายมิใช่หรือ ถึงว่าพี่ใหญ่ของเขามองคนไม่ทะลุปรุโปร่ง

 

 

“เอาล่ะ หมิงซี ที่เจ้าตั้งใจเดินทางมาหนานจ้าว ด้วยเพราะมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่” เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาจะอาละวาดขึ้นจริงๆ เยี่ยหลีจึงรีบเอ่ยปากขัดขึ้น

 

 

หานหมิงซีปรับสีหน้าทันที พยักหน้าเอ่ยว่า ”ถูกต้อง พอข้าส่งเหยาจีกลับเมืองหลวงไป ก็มีโอกาสได้พบเหลิ่งเฮ่าอวี่ เป็นเขาที่มีเรื่องอยากให้ข้านำมาเรียนแก่ท่านอ๋องและพระชายา”

 

 

เมื่อหานหมิงซีเอ่ยเช่นนี้ ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีก็รู้ว่าจะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเหลิ่งเฮ่าอวี่คงไม่ให้หานหมิงซีช่วยส่งสารให้ แต่คงส่งคนให้นำจดหมายมาให้ที่เมืองหลี

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่เมืองหลวงหรือ”

 

 

หานหมิงซีส่ายหน้า “เมืองหลวงมิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่เกรงว่าน่าจะเกิดเรื่องกับม่อจิ่งฉี”

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึด้วยความดูแคลน จะเกิดเรื่องกับม่อจิ่งฉีแล้วแปลกนักหรือ แม้แต่น้องชายตนเองยังหมายเอาชีวิตเขา ก็เห็นๆ อยูว่าเขาทำตัวน่าโมโหเพียงใด ไม่เกิดเรื่องกับเขาสิแปลก

 

 

หานหมิงซีเห็นสีหน้าทั้งสองก็พอเข้าใจ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ดูท่าคงมิได้มีคนเพียงกลุ่มเดียวที่อยากจัดการม่อจิ่งฉีสินะ หรือว่าท่านอ๋องก็ไปรู้อันใดมา ถ้าให้ข้าลองเดาดู…คงเป็นม่อจิ่งหลี?”

 

 

เยี่ยหลีไม่ตอบ ยิ้มเอ่ยถามว่า “คนที่เจ้าจะพูดถึงคงมิใช่ม่อจิ่งหลีสินะ”

 

 

หานหมิงซียิ้ม เอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ เป็นตระกูลหลิ่ว”

 

 

ตระกูลหลิ่ว? เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะคาดเดาไว้ว่าตระกูลหลิ่วมีใจคิดทะเยอะทะยาน แต่หากเขาต้องการจัดการม่อจิ่งฉี นั่นจะด้วยเพราะเหตุใดกัน ยามนี้คนที่ม่อจิ่งฉีไว้ใจเป็นที่สุดก็คือตระกูลหลิ่ว คนที่โปรดปรานที่สุดก็คือหลิ่วกุ้ยเฟย การจัดการกับม่อจิ่งฉีมีข้อดีอันใดกับพวกเขากัน

 

 

ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยถามว่า “ตระกูลหลิ่วต้องการยกให้พระโอรสที่เกิดจากหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นครองราชย์หรือ”

 

 

แววตาหานหมิงซีมีประกายแห่งความชื่นชม พยักหน้าเอ่ยว่า “ถูกต้อง จะว่าไปม่อจิ่งฉีก็ดวงดีไม่น้อย เดิมทีตระกูลหลิ่วคิดจะลงมือในเร็ววันนี้ แต่จู่ๆ ม่อจิ่งฉีกลับส่งเสนาบดีหลิ่วมาหนานจ้าวเสียก่อน จนทำให้ตระกูลหลิ่วสับสนอลม่านจนคนของพวกเราจับไต๋ได้ มิเช่นนั้นไม่แน่ว่า ข่าวที่พวกเราได้รับ คงเป็นข่าวว่าต้าฉู่จะเปลี่ยนองค์ฮ่องเต้ ม่อจิ่งฉีสววรคตก็เป็นได้”

 

 

เยี่ยหลีถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ ม่อจิ่งฉีผู้นี้มีความสามารถอันใดถึงได้ทำให้ทุกคนคิดจะทรยศ ญาติพี่น้องคิดจะตีตัวออกห่างเช่นนี้นะ

 

 

ม่อซิวเหยากลับไม่รู้สึกอันใดกับเรื่องนี้ “นี่ถือเป็นข่าวสำคัญหรือ เหลิ่งเฮ่าอวี่อยู่ว่างมากเกินไปจนไม่มีอันใดทำแล้วหรือ”

 

 

ม่อจิ่งฉีจะตายไม่ตาย เกี่ยวอันใดกับเขากัน ยิ่งม่อจิ่งฉีตายอย่างน่าสมเพชเท่าไร เขาก็ยิ่งดีใจเท่านั้น ถึงแม้การมิได้ลงมือด้วยตนเอง จะทำให้เสียใจอยู่บ้าง แต่หากมีคนยินดีจะลงแรงให้ เขาก็ไม่รังเกียจ

 

 

หานหมิงซีกรอกตาบน “หากเป็นเพียงเท่านี้จริง ย่อมไม่มีผู้ใดใส่ใจเรื่องนี้ เพียงแต่เหลิ่งเฮ่าอวี่บอกว่า เรื่องนี้ดูเหมือนจะมิได้เป็นแผนการของตระกูลหลิ่วเพียงตระกูลเดียว แต่ดูจะมีเป่ยหรงและชนเผ่าทางตอนเหนืออีกจำนวนหนึ่งรวมอยู่ด้วย เกรงว่าวันที่ม่อจิ่งฉีสวรรคต คงเป็นวันที่คนเหล่านี้บุกเข้าโจมตีต้าฉู่ จนทำให้แคว้นต้องล่มสลาย”

 

 

“เป่ยหรงกับชนเผ่าทางตอนเหนือก็ยื่นมือเข้ามายุ่งด้วยหรือ”

 

 

หานหมิงซีพยักหน้า “มิเช่นนั้นด้วยความสามารถของตระกูลหลิ่ว หากไม่มีคนคอยหนุนหลัง จะกล้าวางอุบายทรยศราชสำนัก ชิงบัลลังก์ได้อย่างไร”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขรึมว่า “องค์หญิงฉางเล่อ…เกรงว่าคงจะมีอันตราย”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “มีคนต้องการให้ม่อจิ่งฉีออกห่างจากตระกูลฮว่า หากเริ่มลงมือกับองค์หญิงฉางเล่อ ก็ถือทางเลือกที่ดีที่สุด”