ตอนที่ 169 ข้าเป็นหญิงโลกีย์
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก
มองผู้ติดตามเย่จื่อหนานด้วยความแปลกใจ นางนกต่อ?
นางถามด้วยความสงสัย “คำพูดนี้เจ้าได้ยินมาจากที่ใด”
“แผ่นดินอีกผืนหนึ่ง มียอดสตรีนามว่าถานไถหวง นางเป็นคนเอ่ยคำพูดนี้ หลังจากรวบรวมแผ่นดินเป่ยหมิงแล้ว นางกับจวินจิงหลันขึ้นครองราชย์ กลายเป็นกษัตริย์และกษัตรี ดังนั้นคำพูดนี้ของนางย่อมเป็นตำนาน ข้าจำได้” ผู้ติดตามรีบตอบ
พูดไปแล้วเขายังเสริมขึ้นว่า “นางบอกว่าความหมายของนางนกต่อก็คือ มีคนใช้หญิงงามเป็นเครื่องมือหลอกลวงบุรุษ เมื่อบุรุษผู้นั้นติดกับแล้ว จากนั้นก็ค่อยหลอกรีดเงินเขา”
เยี่ยเม่ยลูบคาง ไม่รู้สึกแปลกใจนัก
นางเดาได้ตั้งนานแล้วว่าเยาเนี่ยและลูกพี่ รวมถึงพวกเยาอู้ตกมาอยู่ในแผ่นดินคนละผืนกับนาง ไม่แน่ว่าจะเป็นคำพูดของพวกนางคนใดคนหนึ่ง แต่ว่าเป็นใครกันเล่า
อย่างไรเสียคำว่านางนกต่อนี้ไม่ใช่คำในยุคสมัยนี้
เมื่อคิดแล้วเยี่ยเม่ยก็รู้สึกว่าน่าขันมาก เบือนหน้ามองเขา เอ่ยว่า “ดังนั้นเจ้าคิดว่าข้าอยากหลอกเงินใต้เท้าเย่อย่างนั้นหรือ”
“เอ่อ…” ผู้ติดตามอธิบาย “ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านมิได้ขาดแคลนเงิน ข้าน้อยกังวลว่า ท่านคิดหลอกใต้เท้าเพื่อทำงานรับใช้ท่าน”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองเขาตอบว่า “ดูท่าเจ้าคิดมากกว่าใต้เท้าของเจ้ามากนัก ทั้งยังละเอียดกว่าอีกด้วย”
ผู้ติดตามรู้สึกได้ใจ
ไม่ใช่หรือไง
ดูใต้เท้าสิ พบสาวงามก็แทบโพล่งชื่อแซ่ตัวเองออกไปในบัดดล พูดอะไรก็สับสนไปหมด ตอนนี้ยังสนทนากับคนงาม ไม่มีใจสนใจเรื่องอื่นเลยแท้ๆ มีเพียงเขาที่อยู่ตรงนี้ ซ้ำมีสติปลอดโปร่ง รู้จักสังเกตการณ์…
ทว่า
ถัดมาเขาได้ยินเยี่ยเม่ยถาม “แต่ว่า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ใต้เท้าของเจ้ายังสังเกตไม่พบว่าข้าวางกับดักไว้ แต่เจ้ากลับพบแล้ว เพื่อไม่ให้ใต้เท้าของเจ้าระวังข้า ข้าอาจสังหารเจ้าเพื่อลดปัญหาลง”
“นี่…”
ผู้ติดตามได้ฟังก็สะอึกไป
อีกทั้งเริ่มรู้สึกเสียใจ เยี่ยเม่ยโหดร้ายนัก ทั้งรู้สึกว่าความปลอดภัยในชีวิตกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก
เขาหน้าเศร้ามองเยี่ยเม่ย ถามว่า “เช่นนั้นเหอซั่วอ๋อง คำพูดของท่านจริงหรือไม่”
เยี่ยเม่ยในยามนี้กลั้นไม่ไหว หลุดหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริง”
พูดจบแล้ว นางก็เอ่ยต่อว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าทำดีสักครั้งหนึ่งช่วยเชื่อมวาสนาคู่นี้ ใต้เท้าของเจ้าไม่มีผลประโยชน์ให้ข้ากอบโกย”
ผู้ติดตามฟังแล้วค่อยวางใจ
นี่ก็ถูก เยี่ยเม่ยในยามนี้มียศเป็นเหอซั่วอ๋อง ไม่มีอะไรที่หาไม่ได้ ลาภยศสรรเสริญล้วนกอบกุมไว้ในมือ ซ้ำยังเป็นสะใภ้ของราชวงศ์ ถึงแม้ระยะนี้เจ้านายจะก้าวหน้าไม่เลว แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่แข็งแกร่งเท่าเยี่ยเม่ย ดังนั้นนางไม่น่าต้องการหาผลประโยชน์อันใดจากเจ้านายเขา
เมื่อคิดดังนี้
เขาก็ฝืนบังคับตัวให้สงบใจลง
……
อีกด้านหนึ่ง
เป่ยเฉินหลิวอวี่ลงจากรถ ดวงตายังบวมแดง เย่จื่อหนานมุ่นคิ้ว หลุดถามออกไป “แม่นาง เจ้าร้องไห้แล้วหรือ ใครทำให้เจ้าโมโหกัน”
เย่จื่อหนานเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ในระหว่างเอ่ยนั้นสีหน้าของเขาเย็นเยือก คล้ายกับหากเขาได้รู้ว่าใครรังแกเป่ยเฉินหลิวอวี่ ทำให้นางร้องไห้ เขาจะพุ่งไปหาเรื่องเจ้าคนนั้นทันทีก็ไม่ปาน
เป่ยเฉินหลิวอวี่ตอบ “เมื่อครู่ข้าอยู่ที่สวนดอกไม้ในจวนใต้เท้าจง ได้ยินคนในดวงใจข้าเอ่ยว่าเขาชอบคุณหนูจวนอดีตเสนาบดี ว่าที่พระชายาองค์ชายใหญ่ ทันทีที่ข้าได้ฟังก็เสียใจมาก ดังนั้นจึงกลั้นน้ำตาไม่ไหว”
เย่จื่อหนานตะลึงงัน
สวนดอกไม้จวนใต้เท้าจง คนที่ชอบคือคุณหนูจวนเสนาบดี…คนผู้นี้ คนผู้นี้ไม่ใช่เขาอย่างนั้นหรือ
คำตอบของเป่ยเฉินหลิวอวี่ในเวลานี้ ฟังแล้วกลับกลายเป็นคำสารภาพรัก
หลังจากหน้าเย่จื่อหนานแดงแล้วแดงอีก สีหน้าก็เปลี่ยนไปอึกๆ อักๆ ตอบว่า “คือว่าแม่นาง ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะ…เพราะวันนั้นข้าเห็นแม่นางโดยสารรถม้าจวนเสนาบดี ถึงได้เข้าใจผิด ดังนั้นถึงได้…”
อธิบายมาถึงตรงนี้ เขาพลันกลัดกลุ้ม มองเป่ยเฉินหลิวอวี่ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้าง
ยิ่งปวดใจเหลือประมาณ
โพล่งออกไปว่า “ข้าผิดเอง ข้าโง่เง่าไปเอง ถึงได้ทำร้ายเจ้า”
เป่ยเฉินหลิวอวี่เห็นท่าทางตำหนิตัวเองของเขา พลันอดใจไม่ไหว ยิ้มออกเอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าหยอกท่านเล่นเท่านั้น ตอนนี้ข้ารู้ความในใจท่านแล้ว ย่อมไม่เสียใจอีก ท่านอย่าได้ตำหนิตัวเองอีกเลย”
ระหว่างเอ่ยใบหน้าเป่ยเฉินหลิวอวี่แดงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เย่จื่อหนานก้าวเข้าไป เอ่ยว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นแม่นาง ไม่ทราบว่าบ้านแม่นางอยู่ที่ใด ในเมื่อแม่นางกับข้าต่างมีใจ มิสู้พรุ่งนี้ข้าไปสู่ขอที่บ้านเจ้า ถึงแม้เย่จื่อหนานเป็นขุนนางระดับสองครึ่งขั้น แต่เพราะชาติกำเนิดแร้นแค้น ดังนั้นสภาพทางบ้านมิได้มั่งคั่งนัก หวังว่าแม่นางจะไม่รังเกียจ”
เย่จื่อหนานเอ่ยไปก็กำชุดตัวเองแน่น
ชั่วขณะนั้นเขากังวลใจ
เขามีชาติกำเนิดยากจน ซ้ำยังเป็นขุนนางมือสะอาด ถึงวันนี้จะได้เลื่อนตำแหน่งขุนนาง แต่สถานะทางบ้านยังไม่อาจเทียบกับตระกูลใหญ่โตได้ ในใจเขาจะมากจะน้อยก็กังวลว่าเป่ยเฉินหลิวอวี่จะรังเกียจ
เป่ยเฉินหลิวอวี่เห็นว่าเขาเอ่ยด้วยท่าทางตื่นเต้น พลันกลั้นไม่ไหว คลี่ยิ้มออกมาแล้ว
เหตุใดนางดูไม่ออกเลยว่าเย่จื่อหนานเป็นคนใจร้อนถึงเพียงนี้ ได้ยินว่านางชอบเขา เขาก็แทบมาสู่ขอถึงบ้าน
ยามนี้นางใช้ความคิด อยากหยอกเย่จื่อหนานสักหน่อย แน่นอนว่า…หยอกก็เพื่อหยั่งเชิงเขา
ดังนั้นนางเอ่ยปากว่า “ข้าน่ะ ข้า…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้สีหน้านางเปลี่ยนไปเจ็บปวด เล่าว่า “ความจริงข้าเป็นหญิงโลกีย์ เพียงแค่เพราะบรรเลงพิณได้น่าฟังอยู่บ้าง คุณหนูของอดีตเสนาบดีชอบฟังเสียงพิณข้า ดังนั้นมักส่งรถม้ารับข้าไปแสดงที่จวนนาง ด้วยเหตุนี้เหอซั่วอ๋องถึงได้คบหากับข้า ฐานะชาติกำเนิดเช่นข้านี้ ความจริงไม่คู่ควรกับใต้เท้า หากแต่งกับข้า เกรงว่าใต้เท้าจะกลายเป็นตัวตลกแล้ว”
เย่จื่อหนานฟังแล้วก็ชะงักไป เดิมเขาเห็นเป่ยเฉินหลิวอวี่โดยสารรถม้าจวนเสนาบดี วันนี้นางอยู่กับเยี่ยเม่ยอีก ต้องมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์แน่ เขาเป็นขุนนางมือสะอาดชาติกำเนิดยากจนสองมือว่างเปล่าเกรงว่าจะไม่คู่ควรกับนาง คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นสตรีอาภัพ
เย่จื่อหนานกำหมัดแน่น เขาเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง ยามปกติไม่เข้าหอนางโลมเพราะเห็นว่าตัวเองสูงส่ง มีความภาคภูมิใจของบัณฑิต เวลานี้…
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้ามองเป่ยเฉินหลิวอวี่ กัดฟันเอ่ยว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไร เย่จื่อหนานชอบแม่นางจากใจจริง ดังนั้น เย่จื่อหนานไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ขอเพียง…ขอเพียงแม่นางยินยอมออกจากเรื่องโลกีย์เพื่อเย่จื่อหนาน ภายหน้าติดตามสามีอบรมบุตร ไม่พูดถึงเรื่องในอดีตอีก มิใช่เพราะข้ารังเกียจแม่นาง แต่กันไม่ให้ท่านแม่เสียใจเมื่อรู้ในภายหลังเพียงเท่านั้นลำบากแม่นางอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าแม่นางยินยอมหรือไม่”
ตอนที่ 170 ยอดบุรุษแห่งยุค
เป่ยเฉินหลิวอวี่ฟังแล้วฉุกคิดแผนการขึ้นมาได้เอ่ยว่า “พูดไปแล้ว ข้ากลัวว่าท่านพ่อคงไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานของพวกเรา เขายกข้าให้หมั้นหมายกับผู้อื่นแล้วเพื่อชำระหนี้พนันที่ท่านพ่อติดค้างไว้ อีกไม่กี่วันก็จะแต่งข้าแล้ว ไม่รู้ว่าใต้เท้า…”
เย่จื่อหนานขมวดคิ้วทันที ถามว่า “ไม่ทราบว่าบิดาของแม่นางเป็นหนี้พนันเท่าไร”
สีหน้าเป่ยเฉินหลิวอวี่เปลี่ยนเป็นลำบากใจ ในที่สุดก็ยอมเอ่ยว่า “เป็นหนี้หนึ่งพันตำลึงทอง”
“นี่…” เย่จื่อหนานตะลึงอึ้งไป
ตระกูลเย่ทั้งบ้านก็ไม่มีเงินมากขนาดนี้ เกรงว่าอย่างมากก็มีแค่สามพันตำลึงเงินเท่านั้น ยามนี้เขากำหมัดแน่น ไม่พูดมากความกับเป่ยเฉินหลิวอวี่อีก เอ่ยว่า “ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ไม่สู้แม่นางกลับไปก่อนดีกว่าหรือไม่”
ทันทีที่เป่ยเฉินหลิวอวี่ฟัง ใจก็ปรากฏความผิดหวัง
เงินหนึ่งพันตำลึงทอง เขาไม่ยินยอมแล้วหรือ ก็ถูก แม่นางที่ซื้อกลับมาจากหอนางโลมที่ไหนต้องใช้เงินมากมายเช่นนี้ ชั่วพริบตานั้น นางพลันรู้สึกเสียใจ นางไม่ควรคาดหวังกับชายหนุ่มมากนักใช่หรือไม่
เห็นเป่ยเฉินหลิวอวี่คล้ายจะผิดหวัง เย่จื่อหนานยิ่งกำหมัดแน่นขึ้นไปอีกแต่ก็ไม่ส่งเสียงออกมา มองเป่ยเฉินหลิวอวี่ขึ้นรถม้า
เยี่ยเม่ยมองพวกเขาสนทนากันจบอยู่ห่างๆ มุ่นคิ้ว ไวขนาดนี้เชียว นางเดินฉับๆ ไปทางนั้น เห็นเย่จื่อหนานสีหน้าลำบากใจยืนอยู่ข้างรถ
เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยเดินมา เย่จื่อหนานรีบเอ่ยปาก “เหอซั่วอ๋อง ผู้น้อยอยากคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวสักครู่”
หากสนทนากันที่นี่ ยากไม่ให้เป่ยเฉินหลิวอวี่ได้ฟัง ดังนั้นเขาอยากเดินไปคุยที่ไกลอีกหน่อย
เยี่ยเม่ยแปลกใจแต่ก็ไม่ปฏิเสธ รีบตามเย่จื่อหนานเดินไปหลายก้าว
ถัดมา
เย่จื่อหนานเอ่ยปากว่า “แม่นางผู้นั้นบอกกับผู้น้อยว่า บิดาของนางเป็นหนี้พนัน ต้องการยกนางให้กับผู้อื่น เงินพนันหนึ่งพันตำลึงทอง ในบ้านผู้น้อยไม่สามารถเอาเงินออกมาได้มากมายเพียงนั้น ดังนั้น ดังนั้น…”
เย่จื่อหนานเอ่ยไป ใบหน้าก็แดงก่ำ
เขาเอ่ยต่อว่า “ผู้น้อยอยู่ในราชสำนัก ใต้เท้าที่สนิทกันมีน้อย ในเมื่อท่านอ๋องยอมพาแม่นางมาที่นี่ ก็คงยินยอมเป็นแม่สื่อ ดังนั้นผู้น้อยอยากจะขอยืมเงินท่านอ๋องหน่อยได้หรือไม่ ผู้น้อยยินยอมเขียนสัญญากู้ยืม ภายหน้าจะชดใช้ทั้งต้นและดอกแก่ท่านอ๋อง”
เยี่ยเม่ยกลับอึ้งไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินหลิวอวี่จะใช้บททดสอบเช่นนี้
แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากพบบุรุษเสเพลจะทำอย่างไรกัน
เยี่ยเม่ยถามเย่จื่อหนานประโยคหนึ่ง “เช่นนั้นเมื่อครู่เจ้าบอกนางหรือไม่ว่า เจ้าคิดจะยืมเงินเพื่อแก้ไขปัญหานี้”
“เปล่า” เย่จื่อหนานส่ายหน้า ตอบตามตรงว่า “ประการแรก ผู้น้อยไม่อาจรับรองว่าจะยืมเงินก้อนนี้ได้จริง หากให้สัญญาแล้ว สุดท้ายยืมเงินไม่ได้ นั่นไม่เท่ากับเสียคำพูด ยิ่งสร้างความเสียใจให้แม่นางอีก เรื่องที่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ ผู้น้อยไม่กล้ารับปาก ประการที่สอง เงินก้อนนี้เมื่อยืมแล้ว ผู้น้อยต้องเป็นคนชดใช้ และไม่ควรก่อให้เกิดแรงกดดันนาง หากนางเอาแต่จำว่าผู้น้อยเป็นหนี้ก็เพราะนาง จิตใจไม่อาจสงบลงได้ แล้วจะอยู่ร่วมกับผู้น้อยได้อย่างมีความสุขหรือ”
เมื่อเขาเอ่ยมาถึงตรงนี้จึงสรุปว่า “ในเมื่อผู้น้อยคิดตบแต่งนางก็หวังว่าจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นาง ดูแลนางอย่างดี ไม่ให้นางทนทุกข์ ไม่ให้นางไร้ที่พึ่งพา ดังนั้นไม่ว่าท่านอ๋องจะยอมให้ผู้น้อยยืมเงินหรือไม่ก็หวังว่าท่านอ๋องจะไม่บอกกับนางว่าผู้น้อยขอยืมเงินท่าน”
เยี่ยเม่ยได้ฟังก็รู้สึกดีกับเย่จื่อหนานมาก ชั่วขณะนั้นรู้สึกว่า จงซานเลือกคนได้ไม่เลวเลย ถึงกับเลือกยอดบุรุษแห่งยุคผู้หนึ่งให้กับเป่ยเฉินหลิวอวี่