ตอนที่ 171 มีเงินช่างมีความสุข

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

กับแม่นางที่พบหน้าเพียงสองครั้ง แม้กระทั่งเป่ยเฉินหลิวอวี่จริงใจกับเขาหรือไม่ เขายังไม่รู้ชัดเลย แต่เพราะว่าเขาชอบนาง ดังนั้นแม่นางผู้นี้พูดอะไร เขาก็เชื่อ

 

 

อีกอย่าง ลงแรงแบกรับความรับผิดชอบในสิ่งที่เดิมทีไม่ใช่หน้าที่ของเขาเลยสักน้อย

 

 

อย่างไรเสียหากพ่อของเป่ยเฉินหลิวอวี่ติดหนี้พนันก้อนโตจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงหลบไปแล้ว เขากลับหยิบยืมเพื่อหาเงินก้อนนี้

 

 

สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือเขามีแผนยืมเงิน ยังไม่คิดให้เป่ยเฉินหลิวอวี่รู้เรื่อง หนึ่ง เป็นเพราะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้แน่ๆ เขาไม่กล้าให้คำสัญญา บุรุษเช่นนี้มีความน่าเชื่อถืออย่างมาก สอง เขาไม่อยากให้เป่ยเฉินหลิวอวี่เกิดความรู้สึกรับผิดชอบอยู่ในใจ

 

 

กระทั่งเรื่องขอยืมเงิน ยังพูดออกมาเป็นหลักการ เขียนสัญญายืมเงิน ไม่ใช่แค่ยืมแต่ปากก็พอให้เห็นว่าคนผู้นี้มีนิสัยดีงาม

 

 

เพียงแค่…

 

 

เยี่ยเม่ยถามเขาอีกประโยคว่า “แต่เจ้าคิดหรือไม่ว่า ตอนนี้พ่อของนางยอมขายลูกสาวเพื่อเงินพนัน หากภายหน้าพ่อของนางติดหนี้พนันอีกครั้ง มาให้เจ้าช่วยเหลือ เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย”

 

 

นี่เป็นคำถามยากข้อหนึ่ง

 

 

มีคนจำนวนมากคิดว่าการแต่งงานก็เป็นแค่เรื่องของคนสองคน เดิมทีไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน คนสองคนอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตที่เหลือกับคนรักนั้นเป็นเรื่องสวยงามอย่างที่สุด

 

 

แต่ในความเป็นจริง งานแต่งงานคือเรื่องของสองตระกูล

 

 

หากเป่ยเฉินหลิวอวี่มีพ่อเช่นนี้ หลังจากแต่งไปแล้ว พ่อคนนี้ติดหนี้พนันอีก ในฐานะลูกสาวจะไม่ช่วยเลยได้อย่างนั้นหรือ ปล่อยให้พ่อเกิดเรื่อง หรือไม่ก็ถูกคนทวงหนี้ตีตายหรืออย่างไร

 

 

เช่นนั้นหากเย่จื่อหนานจะช่วยบิดาของเป่ยเฉินหลิวอวี่ ในฐานะลูกเขย เขาจะช่วยหรือไม่

 

 

ตอนนี้ยังไม่ทันแต่งงานก็หยิบยืมเงินจำนวนมากขนาดนี้เพื่อใช้หนี้ให้กับว่าที่พ่อตาในอนาคต เช่นนั้นหลังจากแต่งไปแล้วเล่า หากต้องการใช้เงินอีกจะเอาเงินจากไหน ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นหลุมที่ไร้ก้นก็เป็นได้

 

 

เย่จื่อหนานได้ฟังคำถาม สีหน้าเปลี่ยนไปเคร่งขรึมขึ้นบ้างแล้ว

 

 

เดิมเขาคิดว่าแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้ก็ดี คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยจะคิดไปไกลถึงเพียงนั้น อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนซื้อลูกสาวผู้อื่น แต่งงานคนรักกลับมาแล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก อีกอย่างนี่ยังเป็นการแต่งงานตามขนบประเพณี

 

 

ดังนั้น หากพ่อตาของเขาติดหนี้พนันอีก เขาควรทำอย่างไร

 

 

หลังจากคิดไปสักพัก

 

 

เย่จื่อหนานมองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ผู้น้อยคิดว่าถ้าหากข้าแต่งงานนางในดวงใจได้แล้วจริงๆ ข้ากับนางจะพยายามเปลี่ยนแปลงนิสัยของท่านพ่อตาชักนำให้เขาเดินทางที่ถูก หากผู้น้อยโชคดีทำสำเร็จอย่างนั้นก็เป็นเรื่องดี แต่หากผู้น้อยทำไม่ได้จริงๆ อย่างมากเมื่อถึงยามนั้นยังมีเรื่องประเภทนี้อีก ผู้น้อยจะจำนำทรัพย์สินทั้งหมดและจวน หากเป็นเช่นนั้น ภรรยาก็จะรู้ว่า ผู้น้อยทุ่มเทเพื่อนางอย่างถึงที่สุดแล้ว นางย่อมไม่รู้สึกติดค้างท่านพ่อก็พอ”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ เย่จื่อหนานเอ่ยปากต่อว่า “ผู้น้อยกระทำเรื่องใดๆ ขอให้ไม่ผิดต่อคุณธรรมในใจ ไม่ยอมให้ติดค้างผู้อื่น ก็ไม่หวังให้ภรรยารู้สึกติดต้าง หากทำเช่นนี้ได้ ผู้น้อยก็พอใจแล้ว ส่วนที่ภายหน้าจะทำอย่างไร ผู้น้อยยังไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น เมื่อคาดการณ์ไม่ได้ก็ได้แต่เดินไปทีละก้าวๆ แล้ว ผู้น้อยไม่ให้นางถูกขายเพราะพ่อนางติดหนี้ผู้อื่นแน่”

 

 

หากแม่นางผู้นั้นไม่ชอบเขาก็ช่างเถิด แต่ว่านางชอบเขา เขาก็ชอบนาง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร เย่จื่อหนานไม่ยอมถอยแน่

 

 

เยี่ยเม่ยถูกบุรุษผู้นี้ทำให้ตกตะลึง

 

 

ไม่เลว หากมีวันนั้นจริงๆ เย่จื่อหนานยินยอมจำนำสมบัติทั้งหมดเพื่อพ่อตา นั่นก็ดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว ช่วยได้แค่ไหนก็ช่วยแล้ว หากพ่อตายังไม่ได้เรื่องอีก นั่นก็เกินความสามารถคนจะควบคุมได้แล้ว แต่เมื่อดำเนินไปถึงจุดนั้นไม่ว่าเป่ยเฉินหลิวอวี่ที่เป็นลูกสาวหรือว่าลูกเขยอย่างเย่จื่อหนานมีอะไรที่ติดค้างคนที่มีหนี้พนันหลายต่อครั้งอีกเล่า

 

 

เรื่องที่ทำได้ เรื่องที่ทำไม่ได้ เรื่องที่ยอมทำ เรื่องที่ไม่ยอมทำก็ได้กระทำไปหมดแล้ว

 

 

เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้ เย่จื่อหนานโค้งคำนับเยี่ยเม่ย “ความจริง ผู้น้อยเข้าใจว่าการเลือกแม่นางผู้นี้บางทีในอนาคตอาจนำปัญหาไม่จบสิ้นมาเพราะท่านพ่อตา แต่ว่า…เพราะนางมีพ่อที่ติดการพนัน นางจะไม่มีสิทธิ์เลือกแต่งงานกับความรักได้เลยหรือ เป็นเพราะนางอาจนำเรื่องวุ่นวายสู่ตระกูลเย่ ดังนั้นข้าจึงต้องปล่อยคนที่ข้าชอบไปหรือ เช่นนั้นเย่จื่อหนานคิดว่าไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ดังนั้นหากท่านอ๋องยอมใจกว้างสักครั้งหวังว่าท่านอ๋องจะยอมช่วยผู้น้อย หากเป็นไปไม่ได้ผู้น้อยก็ไม่โกรธเคืองท่านอ๋องเลย”

 

 

เยี่ยเม่ยเองก็ไม่ได้พูดอันใด ล้วงตั๋วแลกเงินออกจากชายเสื้อ ส่งให้กับเย่จื่อหนาน

 

 

ถัดมาเยี่ยเม่ยรู้สึกว่านางมีความสุขมาก หลังจากมาอยู่ในยุคนี้ เงินไม่เคยขาดมือมาก่อน

 

 

ไม่ว่าจิ่วหุนที่ร่ำรวยมหาศาล หรือว่าหลังจากแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้วใช้ทรัพย์สินขององค์ชายสี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิ่วหุนพาพวกเซียวเซ่อหยางกลับไปเอาสมบัติที่ราชสำนักจงเจิ้ง อืม…ไม่ขาดเงินเป็นความสุขของแท้แน่นอน เงินช่วยแก้ปัญหาได้มากจริงๆ

 

 

ด้วยเหตุนี้ต่อไปเป่ยเฉินหลิวอวี่เตรียมจะพูดอะไรกับเย่จื่อหนานอีก เยี่ยเม่ยก็ไม่สนใจแล้ว

 

 

นางไม่อยากปากมากเปิดโปงฐานะของเป่ยเฉินหลิวอวี่

 

 

และก็เชื่อว่าเป่ยเฉินหลิวอวี่รู้ว่าควรพูดอะไรเมื่อไร

 

 

หลังจากเยี่ยเม่ยมอบเงินให้แล้วก็เอ่ยว่า “ข้าว่าเจ้าน่าจะยังมีคำพูดจะพูดกับนาง ข้าจะรอพวกเจ้าอีกเดี๋ยว”

 

 

เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเม่ยได้ทำการอุ้มสมคู่รักคู่หนึ่ง รู้สึกไม่เลวเลย

 

 

พูดจบแล้ว เยี่ยเม่ยมองเย่จื่อหนานที่ตั้งใจรับรองว่าพรุ่งนี้จะเขียนสัญญายืมเงินฉบับหนึ่งส่งให้นางเดินไปที่รถม้า

 

 

……

 

 

ในขณะนี้เป่ยเฉินหลิวอวี่กำลังผิดหวัง

 

 

พอเย่จื่อหนานได้ฟังว่าบ้านนางเป็นหนี้หนึ่งพันตำลึงทองก็ไม่พูดอะไร ซ้ำยังบอกให้นางกลับไปบนรถ ในใจก็เริ่มปวดร้าว

 

 

นางเริ่มสงสัยว่าเพิ่งจะรู้จักเย่จื่อหนานเป็นเวลาสั้นๆ มอบบททดสอบยากแบบนี้ให้เขา นางทำถูกหรือไม่ บางทีเมื่อรู้จักกันไปสักระยะ มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอีกสักหน่อยค่อยทดสอบเขาก็ได้

 

 

แต่คราวนี้พูดไปแล้ว คิดจะย้อนคืนก็ไม่ได้อีก

 

 

ในขณะนี้เอง นางก็ได้ยินเสียงมาจากนอกรถ เป็นเสียงของเย่จื่อหนานส่งมา “แม่นาง เจ้าลงมาจากรถม้าได้หรือไม่”

 

 

……

 

 

ไม่ไกลออกไป

 

 

เยี่ยเม่ยมองอยู่ห่างๆ ในเวลานี้จงซานเดินมาหยุดข้างกายนาง เขาเอามือไพล่หลัง เอ่ยว่า “เย่จื่อหนานผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เยี่ยเม่ยแสดงความเห็น “ไม่เลวเลย ทั้งความสามารถและนิสัยใจคอ คู่ควรแก่การเชื่อถือ”

 

 

จงซานพยักหน้า “ถูกแล้ว ความจริงครั้งนี้ข้าก็ตั้งใจให้ท่านได้รู้จักเขา”

 

 

ต่อมาเยี่ยเม่ยมองจงซานด้วยสายตาแปลกใจ

 

 

จงซานอธิบายต่อ “ช้าเร็วข้าก็ต้องจากไป เย่จื่อหนานเป็นคนที่เหมาะกับตำแหน่งข้าในอนาคตมากที่สุด เขาต้องการเวลาเติบโตอีกสองปี เมื่อถึงเวลานั้นผลงานในราชสำนักของเขา ไม่มีทางต่ำกว่าข้า”

 

 

เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว มองจงซาน “ท่านคิดจากไปหรือ”

 

 

“ถูกแล้ว เดิมทีข้าอยากมีชีวิตอิสระเสรี ปีนั้นรับราชการเป็นขุนนางก็เพราะอายุเยาว์ หวังจะพิสูจน์ตัวเองด้วยวิธีนี้ แต่ใครจะรู้ว่าราชสำนักจงเจิ้งล่มสลายแล้ว เพื่อตอบแทบบุญคุณเสด็จพ่อของท่าน ถึงได้หลบซ่อนตัวในราชสำนักเป่ยเฉิน ทำทุกสิ่งเหล่านี้ ”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จงซานมองเยี่ยเม่ย “เมื่อเรื่องราวสำเร็จ ข้าก็ไม่มีเหตุผลอยู่ต่อไป คนที่จะมาทำงานแทนข้าข้าก็ช่วยท่านหาแล้ว เมื่อถึงเวลาข้าจากไปหวังว่าท่านอย่าได้รั้งข้าไว้”

 

 

เขาพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หากเยี่ยเม่ยยังบอกว่านางจะฝืนรั้งไว้ นั่นก็แสดงว่าไม่เคารพความเห็นของจงซานอีก

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้าย่อมเคารพความคิดของท่าน”

 

 

จงซานคลี่ยิ้มออกทันที เยี่ยเม่ยมีเหตุผล พูดด้วยง่ายแบบนี้เขาย่อมดีใจ

 

 

ถัดมาเขามองเย่จื่อหนานกับเป่ยเฉินหลิวอวี่ไกลๆ “เย่จื่อหนานผู้นี้พึ่งพาได้จริงๆ เดิมทีข้าอยากให้เขาเป็นลูกเขย ใครจะรู้ว่าปิงปิงชอบเซี่ยโหวเฉินแล้ว ข้าเพียงหวังว่าภายหน้าเซี่ยโหวเฉินอย่าได้ทำให้ปิงปิงเสียใจ”

 

 

สายตาเยี่ยเม่ยสงบนิ่งลง ก็จริง.. เซี่ยโหวเฉินผู้นี้ยากคาดเดา อีกทั้งมีใจทะเยอทะยาน เยี่ยเม่ยเองก็ไม่รู้ว่าเขาจริงใจกับจงรั่วปิงถึงเพียงไหน

 

 

“ช่างเถอะ” จงซานส่ายหน้า เอ่ยว่า “ลูกหลานต่างก็มีวาสนาของตน ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้”

 

 

ครั้นเอ่ยจบ เขามองเยี่ยเม่ย “ช่วงนี้ พวกเราพยายามทำให้เขาเข้ากับพวกเรา ภายหน้าถึงช่วยท่านทำงานได้ ท่านอย่าเห็นว่าในราชสำนักเขาไม่มีพรรคพวก กระทั่งฝ่าบาทยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขา แต่ว่าการไม่มีพรรคพวกก็พิสูจน์ว่านี่คือขุมกำลังที่สาม”

 

 

เพราะว่าในราชสำนัก มีขุนนางจำนวนมากที่ไม่มีพรรคพวก

 

 

จุดยืนของพวกเขาคือใครเป็นฮ่องเต้ก็ภักดีต่อผู้นั้น ไม่สนการแย่งชิงบัลลังก์ ไม่เข้าร่วมปัญหาระหว่างจงซานซือถูจ้าว

 

 

ส่วนเย่จื่อหนาน เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญนั้น อายุยังน้อยแต่ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสองครึ่งขั้น ทุกคนก็ต้องยอม เห็นทิศทางของเย่จื่อหนานเป็นเป้าหมาย ไม่ว่าอย่างไรคนที่ไม่เข้ากับฝ่ายใดโดยทั่วไปแล้วเมื่อเลื่อนมาถึงขุนนางระดับสี่ ก็ถือว่าถึงขึดจำกัด เพราะไม่มีฝักฝ่ายก็ไม่มีคนคอยช่วยเหลือ

 

 

เย่จื่อหนานเป็นขุนนางระดับสองครึ่งขั้นได้

 

 

ในโลกนี้มีคนคิดไม่เข้าฝั่งใด แต่จะมีสักกี่คนไม่อยากเลื่อนตำแหน่ง ทุกคนเห็นผลประโยชน์ที่เย่จื่อหนานได้รับ ยากจะไม่ตีสนิทกับเขา

 

 

เยี่ยเม่ยรู้เลศนัยของเรื่องนี้ “เย่จื่อหนานมีตำแหน่งขุนนางระดับสองครึ่งขั้นแล้ว เมื่อก่อนขุนนางที่ไม่เข้าฝ่ายใดไร้ผู้นำ เพราะว่ามีหลายคนเป็นขุนนางระดับสี่ ไม่อาจสยบกันและกันเป็นผู้นำได้ วันนี้เย่จื่อหนานเลื่อนตำแหน่ง ก็เท่ากับล้างไพ่ใหม่ เมื่อถึงเวลานั้น ได้รับการสนันสนุนจากเย่จื่อหนาน เท่ากับได้รับการสนับสนุนกับคนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ถึงจะเป็นขุนนางขั้นสี่หรือต่ำกว่าลงไป แต่ก็มีความหมายว่าพวกเรามีขุมกำลังเพิ่มขึ้น เพียงแต่จะได้รับการสนับสนุนจากเขาได้อย่างไร”

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยรู้สึกว่า ตอนนั้นจงซานจงใจเสนอชื่อเย่จื่อหนานเป็นต้าซือคง ให้เขาเลื่อนตำแหน่งเกรงว่าจะไม่ใช่เพราะต้องการชวนเขามาร่วมงานเลี้ยง แต่เพราะว่าต้องการให้เย่จื่อหนานกลายเป็นผู้นำของเหล่าขุนนางที่ไม่ผูกสมัครเข้าฝักฝ่ายใด

 

 

จงซานเอ่ยว่า “ข้าตรวจสอบแล้ว เย่จื่อหนานผู้นี้ไม่ต้องการเกียรติยศ ไม่ได้ต้องการลาภยศ เขาไม่ใช้ลูกไม้ต่างๆ เพื่อชื่อเสียง ยิ่งไม่มีนิสัยชอบท่องกลอนวาดภาพ ดังนั้นเป้าหมายของเขานั้นก็น่าจะเป็นทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน หากเลือกลงมือจากจุดนี้ ย่อมประสบความสำเร็จ”