หลังเข้าสู่ฤดูหนาว เขาแรกอรุณก็มีหิมะตกมาสามสี่รอบ ยอดเขาทั้งเจ็ดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีเงินยวงงดงาม
ภาพทิวทัศน์หิมะแม้ว่างดงาม แต่ยามเดินนั้นไม่สะดวกอย่างมาก มักเกิดเหตุบรรดาศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักเหยียบลื่นล้มบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง
เช้าตรู่วันนี้ เหอตันผิงนำศิษย์รุ่นเยาว์สิบกว่าคนออกไปกวาดหิมะที่กองอยู่ลานหน้าประตูแต่ละเรือนของเส้าหยาง กวาดหิมะออกไปกองไว้สองข้างทาง ความสูงราวตัวคนกว่า เพียงคิดก็รู้ได้ว่าหิมะหลายรอบนี้หนักเพียงใด
หลายปีมานี้สำนักเส้าหยางยังรับศิษย์ใหม่ไม่น้อย รุ่นอักษรหมิ่นไม่ใช่รุ่นเล็กสุดอีกต่อไป ถัดลงไปยังมีศิษย์ใหม่รุ่นอักษรอื่นอีก เหมือนว่าสลัดความอัดอั้นที่ทับถมมาทิ้งไป พลิกตีลังกาทีก็ได้เป็นศิษย์พี่แล้ว
เห็นหิมะเส้าหยางทับถมหนา เหอตันผิงนำศิษย์สิบกว่าคนไปไม่เพียงพอเท่าไร ดังนั้นจึงสั่งการให้เฉินหมิ่นเจวี๋ยศิษย์ลำดับสองในรุ่นอักษรหมิ่นคอยช่วยกำกับอยู่ข้างๆ ศิษย์ใหม่ “หมิ่นเจวี๋ย เจ้าไปเรือนพักศิษย์ใหม่ด้านหน้าเขา ตามคนมาเพิ่มอีกสองสามคน ไปกวาดลานฝึกยุทธ์สักหน่อย ไม่เช่นนั้นพอพระอาทิตย์ขึ้นหิมะกลายเป็นน้ำแข็ง จะใช้การไม่ได้ระยะหนึ่งเลย”
ตอนนี้เฉินหมิ่นเจวี๋ยเป็นหนุ่มน้อยอายุราวยี่สิบกว่าแล้ว เมื่อก่อนเขามักชอบทำตัวสูงวัย วันๆ เอาแต่ลูบคางที่ไร้เครา ตอนนี้คางมีเคราเหมือนเคราแพะแล้ว เขารู้สึกน่าเกลียด ทุกวันเรื่องแรกที่ต้องทำก็คือโกนทิ้ง แต่นิสัยติดมาหลายปี ไม่อาจแก้ได้ในทันที
ยามนี้เขาเอาแต่ลูบคางที่ลื่นไร้เคราอีกแล้ว ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์หญิง ไม่สู้ให้ศิษย์น้องหกไปไหม เขาเพิ่งออกจากการกักตน คิดว่าน่าจะว่างมาก”
เหอตันผิงถลึงตาใส่เขา คล้ายยิ้มไม่ยิ้ม “รู้ว่าศิษย์น้องเพิ่งออกจากการกักตน เจ้ายังกล้าแอบเกียจคร้าน ช่างเถอะ เจ้าไปตามเขามาละกัน คิดว่าหลิงหลงก็อยู่กับเขา ให้สองคนพาคนมาจัดการลานฝึกยุทธ์ให้เรียบร้อย”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยหัวเราะแหะๆ ลูบศีรษะจากไป
ตั้งแต่สี่ปีก่อนหลังจบงานชุมนุมปักบุปผา อาจารย์เปลี่ยนท่าทีที่เข้มงวดในอดีต ไม่แยกรุ่นอายุอีก สั่งสอนศิษย์พรสวรรค์สูงด้วยตนเอง ไม่เพียงศิษย์พี่ใหญ่ได้เรียนเคล็ดวิชาหยางเชวี่ยกงขั้นสูงสุดล่วงหน้า แม้แต่ศิษย์น้องหก จงหมิ่นเหยียน ยังถึงกับได้รับการยอมรับ ไม่เพียงเรียนวิชากระบี่เหยาหวาเป็นแล้ว ยังได้ติดตามอาจารย์หญิงเรียนมนตร์คาถาวิชาเซียนหลายอย่าง
เขาเป็นศิษย์พี่รอง กลับกลายเป็นศิษย์รุ่นอักษรหมิ่นที่แย่ที่สุด ถึงตอนนี้ยังเป็นแค่เหินกระบี่ วิชาเซียนอันใดไม่เป็นแม้กระผีกเดียว
เขาไม่ใช่ไม่อิจฉา บางครั้งยามค่ำคืนสะดุ้งตื่นจากฝัน ก็แอบทอดถอนใจในพรสวรรค์ต่ำต้อยของตนเองเช่นกัน อาจารย์และอาจารย์หญิงลำเอียง ดังนั้นจึงคิดแต่หาทางรังแกจงหมิ่นเหยียน แต่หากกล่าวจากใจจริงแล้ว เขายังรู้สึกดีใจแทนศิษย์น้อง ทุกคนล้วนศิษย์สำนักเดียวกัน แยกก่อนแยกหลังกันทำไม
หนึ่งปีก่อน อาจารย์ถ่ายทอดวิชาหยางเชวี่ยกงให้จงหมิ่นเหยียนล่วงหน้า ยังกลัวว่าจะมีเรื่องหลายเรื่องทำให้เขาเสียสมาธิ เสียเวลาบำเพ็ญเพียร จึงมีคำสั่งให้เขาไปกักตนบำเพ็ญเพียรในถ้ำแสงฉานบนยอดเขาอรุณ
ชื่อเสียงถ้ำแสงฉาน ทุกคนสำนักเส้าหยางล้วนรู้ดี สี่ปีก่อน ศิษย์น้องเล็กเสวียนจีเคยถูกขังในนั้นหลายวัน ตอนออกมายังมีท่าทีหวาดกลัวดูน่าสงสาร จากนั้นถ้ำแสงฉานนอกจากใช้เพื่อลงโทษศิษย์ผิดกฎแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับให้ศิษย์ได้กักตนบำเพ็ญฝึกยุทธ์
จงหมิ่นเหยียนเองก็เข้มแข็งตั้งมั่นพอ ปิดตัวกักตนอยู่ถึงหนึ่งปี สามวันก่อนเพิ่งออกมา ผมเผ้าพันกันดูไม่ได้ ได้ยินว่าเขาทะลุด่านแรกที่ยากที่สุด พลังวัตรต่างกับเมื่อก่อน แต่แท้จริงแล้วร้ายกาจเพียงใด เขาเองก็ไม่รู้
ตลอดทางมายังเรือนพักรับรองหลังเขา เฉินหมิ่นเจวี๋ยใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่ายามนี้จงหมิ่นเหยียนย่อมไม่อยู่ในเรือนพักตน แต่ไปขลุกตัวเล่นกับหลิงหลง
ด้วยอายุที่เติบโตขึ้นของบรรดาเด็กน้อยพวกนี้ ความไร้เดียงสาในวันวานก็ควรค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเอียงอายของดรุณีแรกรุ่น มีเพียงหลิงหลงและจงหมิ่นเหยียนที่ยังคงสรวลเสเฮฮากันอย่างไม่คิดอันใด แต่ดูท่าทางแล้ว อาจารย์และอาจารย์หญิงก็พึงพอใจอย่างมากที่เขาสองคนอยู่ร่วมกัน ทุกคนในเส้าหยางเองก็ราวกับยอมรับกิ่งทองใบหยกคู่นี้ ดังนั้นยามปกติจึงไม่ค่อยมีผู้ใดพูดถึง ปกติที่คุยกันก็มักถามว่าเมื่อใดพวกเขาจะกำหนดชัดเจน กำหนดแต่งงานอย่างไร
ดังคาด พอเข้าใกล้ลานที่พักหลิงหลงก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักและเสียงคุยเอะอะดังมาจากด้านใน ไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนกำลังเล่นอันใดจึงได้หัวเราะเบิกบานเช่นนี้
เฉินหมิ่นเจวี๋ยเผยรอยยิ้มบางผลักประตูเข้าไป กล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนอิสระเสรีเช่นนี้เสมอหรือ ยังคุยเรื่องน่าขบขันอันใดกันอีก เล่าให้ข้าฟังบ้าง?”
สองคนในห้องเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เป็นหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียน พวกเขาสวมเสื้อนวมหนาแบบอยู่บ้านปกติ ข้างๆ ยังมีกระถางไฟ กำลังเล่นหมากล้อมอยู่ หลิงหลงพอเห็นเป็นศิษย์พี่รองก็รีบส่งรอยยิ้มบางพลางกวักมือเรียก “ศิษย์พี่รอง! กำลังบอกว่าครึกครื้นสักหน่อยก็ดี! ท่านเองก็มาเล่นสักตาไหม”
ตอนนี้นางอายุสิบห้าปีเต็มแล้ว ร่างกายเติบโตขึ้นบ้างแล้ว กวาดตามองไปยังความไร้เดียงสาเอาแต่ใจเบื้องหน้า เผยให้เห็นกลิ่นอายของดรุณีแรกแย้มอยู่บ้างแล้ว ผมยาวดำขลับปล่อยสยายระอยู่ข้างหูอย่างไม่สนใจ ใบหูยังประดับด้วยไข่มุกขนาดราวหัวแม่มือสองเม็ด ปากแดงผมดำขลับ รอยยิ้มสนิทสนม ก่อให้เกิดภาพสาวงามต้องใจ
เฉินหมิ่นเจวี๋ยเห็นนางเชื้อเชิญก็ไม่เกรงใจ เดินเข้าไปกวาดตามองกระดานหมากรุกแวบหนึ่ง ลูบคางไปมา กล่าวว่า “หมากตานี้…ศิษย์น้องใกล้แพ้แล้วกระมัง”
หลิงหลงแค่นเสียงฮึ “ก็ไม่แน่ ข้าไม่เชื่อว่าจะชนะเจ้าหกไม่ได้!”
นางขยี้เม็ดหมากสีขาวในมือ มองกระดานหมากอยู่เป็นนาน รู้สึกเพียงว่าตนตกที่นั่งลำบากแล้ว เหนือใต้ออกตกล้วนถูกปิดตายไว้แล้ว หมากตานี้หากวางลงไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
แต่นิสัยหลิงหลงเป็นคนไม่ยอมแพ้ ผู้ใดยิ่งบอกว่านางแพ้ นางก็ยิ่งไม่ยอมรับ นางมองครู่หนึ่ง จากนั้นโยนหมากลงไปยังตำแหน่งตะวันออกเฉียงใต้ ยู่ปากกล่าวว่า “วางตรงนี้ ดูว่าเจ้าจะไปต่ออย่างไร!”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยถอนหายใจเสียดาย “โอย วางตรงนี้ได้อย่างไร! น่าเสียดาย น่าเสียดาย เดิมยังมีทางฟื้นคืนได้!”
หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “ทำไมท่านไม่พูดให้เร็วหน่อย!”
นางแอบมองจงหมิ่นเหยียนแวบหนึ่ง หวังให้เขาไม่ทันสนใจ ตนเองยื่นมือเก็บหมากตานั้นกลับมา พอมือยื่นออกไป ก็ถูกคนตีเบาๆ จงหมิ่นเหยียนที่ฝั่งตรงข้าม หน้าตาเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เงยหน้ามองนาง กล่าวว่า “เดินหมากแล้วไม่นึกเสียใจภายหลัง”
หลิงหลงรู้สึกนึกเสียใจยิ่ง เสียหน้าเล็กน้อย ได้แต่กอดอกกล่าวดึงดันว่า “เจ้าใช้ตาข้างไหนเห็นว่าข้านึกเสียใจภายหลังคิดจะเอาคืน ใส่ร้ายข้า!”
จงหมิ่นเหยียนไม่สนนาง มองเฉินหมิ่นเจวี๋ย กล่าวว่า “ชมหมากไม่กล่าววาจา วิญญูชนแท้ ศิษย์พี่รอง ท่านอย่าได้เตือนนาง”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มกล่าวว่า “ข้าเดิมก็ไม่ใช่วิญญูชน จะว่าไป พวกเจ้าอย่าเล่นหมากต่อเลย มีเรื่องต้องทำ อาจารย์หญิงให้ข้ามาตามพวกเจ้า”
หลิงหลงยามนี้ดีใจยิ่ง อยากจะขี้โกงอยู่แล้ว จึงรีบกระโดดลุกขึ้นถามว่า “เรื่องอะไร เรื่องอะไร”
“หลายวันนี้หิมะตกหนักปิดกั้นทางหมด อาจารย์หญิงกลัวว่าลานฝึกยุทธ์จะเป็นน้ำแข็ง เรียกให้พวกเจ้าพาศิษย์ใหม่อีกสองสามคนไปจัดการ”
หลิงหลงได้ยินก็รีบหยิบคลุมเสื้อกันลม สวมหมวกหนังจิ้งจอก หันกลับไปกวักมือเรียกจงหมิ่นเหยียน “ไปเถอะ! ยังมัวตะลึงอะไรอยู่ ไปกวาดหิมะกัน!”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่ลุกตามนางเดินออกจากประตูไป ปากยังกล่าวว่า “พวกเรากลับมาค่อยเล่นหมากตานี้ต่อ เจ้าใกล้แพ้แล้ว พรุ่งนี้ต้องลงครัวทำอาหาร”
ที่แท้เขาสองคนเล่นหมากล้อมพนันกัน ผู้ใดแพ้ พรุ่งนี้ก็ต้องลงครัวทำอาหาร
“ใครกลัวใครล่ะ! กลับมาต่อ! ย่อมเป็นข้าชนะ!” หลิงหลงปากยังไม่ยอมแพ้
เฉินหมิ่นเจวี๋ยที่อยู่ด้านหลังได้ยินเขาสองคนโต้ฝีปากกันก็อดหัวเราะไม่ได้ เห็นจงหมิ่นเหยียนเดินมายังข้างกายตน ถึงกับสูงกว่าตนอยู่ถึงครึ่งศีรษะ ในใจก็ได้แต่ทอดถอนใจ หนึ่งปีก่อนเจ้าหมอนี่ไม่ได้สูงกว่าตนเลย ตอนนี้ถึงกับเติบโตหมดทุกสัดส่วนแล้ว
จงหมิ่นเหยียนแต่เล็กก็เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้าน ปากยังหวานและเฉลียวฉลาด ดังนั้นจึงได้รับเมตตาจากอาจารย์และอาจารย์หญิงอยู่มาก ตอนนี้เขาอายุสิบเก้าแล้ว เพิ่งผ่านวัยสวมกวานเป็นผู้ใหญ่มา วันนั้นออกมาจากถ้ำแสงฉานไม่ทันมองละเอียด วันนี้ได้มองระยะใกล้ รู้สึกเพียงว่ารูปงามบาดใจ เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าที่ไหล่กว้างเอวสอบ สง่าผ่าเผย ช่างองอาจทรนงอะไรอย่างนั้น…
เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ่งรู้สึกอิจฉา เดิมคิดกล่าววาจาเจ็บแสบสักสองสามประโยค พลันคิดอันใดขึ้นมาได้ กลับกล่าวว่า “ใช่แล้ว สองวันก่อนอาจารย์บอกว่า หลังผ่านปีใหม่ไป คิดว่าจะส่งศิษย์สองสามคนลงเขาไปฝึกประสบการณ์ หลายวันนี้พวกอาจารย์อาและอาจารย์ลุงก็จะนำศิษย์อายุเหมาะสมขึ้นมาเส้าหยาง ได้ยินว่าศิษย์น้องเสวียนจีก็จะมาด้วย”
เอ่ยถึงชื่อเสวียนจี จงหมิ่นเหยียนไม่เท่าไร หลิงหลงกลับตื่นเต้นขึ้นมาทันที หันกลับไปกล่าวอย่างใจร้อนว่า “จริงหรือ?! น้องจะมาหรือ”
“อืม อาจารย์บอกมา แต่แท้จริงแล้วมีนางหรือไม่ ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป”
หลิงหลงดีใจจนแทบกระโดด
ตั้งแต่สี่ปีก่อน เสวียนจีตามท่านอาหงไปยอดเขาเสี่ยวหยางก็ไม่เคยได้พบกับนางอีกเลย แม้ว่าสำนักเส้าหยางฉลองปีใหม่ทุกปี ทุกคนจะมาอยู่ร่วมกัน แต่เนื่องจากคนมากมายเกินไป นางมักจะพลาดจากเสวียนจี กอปรกับปกติต้องเร่งบำเพ็ญเพียรให้มากขึ้นอีกเท่า จึงไม่อาจไปเที่ยวที่อื่นได้ตามอำเภอใจ ผลปรากฏว่าพวกนางแยกจากกันถึงสี่ปีเต็ม ไม่เคยได้พบกันอีก
ยามนี้ได้ยินว่าเสวียนจีอาจจะมาเส้าหยาง นางตื่นเต้นกระโดดไปมา คว้ามือจงหมิ่นเหยียนไว้ กล่าวติดๆ กันว่า “เจ้าหก! เสวียนจีจะมาแล้ว! เจ้าได้ยินไหม เสวียนจีจะมาแล้ว!”
จงหมิ่นเหยียนตบบ่านาง กล่าวอ่อนโยนว่า “ข้าได้ยินแล้ว พวกเราไปกวาดหิมะก่อน กลับไปค่อยว่ากันก็ไม่สาย”
เขาดึงมือหลิงหลงไว้ เดินไปยังลานฝึกยุทธ์ ในใจพลันมีใบหน้าขาวราวหิมะลอยขึ้นมา แพขนตาสั่นไหวเล็กน้อย อารมณ์ความรู้สึกไม่ยี่หระต่อสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา
สี่ปีแล้ว…ที่แท้ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว
ไม่รู้ว่าเด็กหญิงที่ทำให้คนหลงรักก็ไม่ใช่ คับแค้นก็ไม่ใช่ เปลี่ยนไปเช่นไรแล้ว